กลับมาที่คฤหาสน์บ้านเจ้าของวันเกิด
ร่างสูงใหญ่ของขุนเขาลูกชายเจ้าของโรงสีนั่งบิดขี้เกียจอยู่บนโซฟา ใช้ปลายเท้าเขี่ยสะกิดให้น้องสาวตื่น หันมองรอบข้างก็พบว่าว่างเปล่าทุกคนกลับไปกันหมดแล้ว ใบหน้าคมหล่อเหลา ขมวดคิ้วอย่างคนใช้ความคิด เมื่อคืนทุกคนดื่มกันหนักมากจริงๆ
"หวาน หวานๆ ไอ้หวาน" คนเป็นพี่ใช้เท้าเขี่ยน้องสาวเหมือนเขี่ยลูกบอล
"อื้อ.." ริมฝีปากบางขยับบ่นพึมพำแต่ไม่ยอมลุก คนพี่ก็ก้มหน้าลงตะโกนใส่ข้างหูว่า
"ไฟไหม้!!!!" ตื่นมาก็แกล้งกันตามประสาพี่น้องที่สนิทกันมาก ทั้งรักทั้งตีกันเป็นประจำ
"หะเหี้ย ไฟไหม้!!" ร่างเล็กดีดผึ่งตาค้างมองเพดาน ตกใจกับคำว่าไฟไหม้เมื่อเงยหน้ามองเห็นพี่ชายยิ้มหัวเราะเธอก็ขยับลุกขึ้นฟาดเข้าที่แขนพี่ชายไปหนึ่งที
ตุบ!! เอาให้หนัก
"เฮียขุน ทำไมไม่ปลุกน้องดีๆ ฮะ!!" ใบหน้าเล็กบูดบึ้งพร้อมจะเอาเรื่อง
"แม่งหมัดหนักเหมือนหมีควาย" คนเป็นพี่ก็ยังเล่นไม่หยุด แต่ละคำที่พูดคือแรงมาก
"อิเฮียขุน!!" เริ่มละ สงครามได้เริ่มแล้ว
ในระหว่างที่สงครามกำลังจะเริ่ม ผู้เป็นพ่อก็เดินเข้ามาห้ามทับพอดี
"ตื่นมาก็ตีกัน อาขุนลื้อมันเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่อง ส่วนลื้ออาหวาน ลื้อเป็นผู้หญิงทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องดีๆ" เสี่ยเทพรู้สึกเหนื่อยกับลูกสาวลูกชาย ทำอะไรเป็นเด็กเป็นเล็ก ธุรกิจโรงสีคงถึงเวลาล่มสลายไม่มีใครมาสืบทอด
"ผมเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดแล้วครับเตี่ย ลุกไปอาบน้ำได้แล้วไป เหม็น" ยกมือขึ้นผลักหัวน้องสาว ต่อหน้าพ่อก็ยังแกล้งน้อง
"เฮีย!! เดี๋ยวเถอะ"คนตัวเล็กมองค้อนลุกขึ้นยืนก็นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสนิทมานอนค้างที่นี่ "เดี๋ยวหวานเดินไปปลุกน้ำขิงก่อนนะ" ป่านนี้คงนอนยังไม่ตื่น เธอรู้ว่าเพื่อนนอนอยู่ในห้องรับแขกฝั่งซ้ายที่เดิม
"คนอื่นเขากลับบ้านไปหมดแล้ว หนูน้ำขิงเขารู้เวลาตื่นมีแต่พวกลื้อสองคนนั่นแหละที่ยังไม่ตื่น รีบไปอาบน้ำอาบท่ามากินข้าว" พ่อละปวดประสาทโตๆ กันแล้วยังทำตัวเหมือนเด็ก
"อ้อ..แปลกแฮะ ปกติขิงจะมาปลุกหวานก่อนนะ" ยัยขิงนะยัยขิงตื่นก่อนแทนที่จะปลุกกันบ้าง
หญิงสาวลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอนส่วนตัว ส่วนคนที่ยังอยู่ก็แยกย้าย
แกร็ก!!
ในระหว่างที่ขุนเขากำลังจะเดินผ่านเข้าห้องประตูห้องรับแขกฝั่งซ้ายก็เปิดออก ใบหน้าหล่อเหลาฉบับลูกรักพระเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของบ้าน จากนั้นก็ก้มลงใส่นาฬิกาข้อมือ
"อ้าว!! ไอ้ภาม กูคิดว่ามึงกลับไปแล้ว เมาหนักเลยสิท่า ไอ้บาสแม่งผสมเหล้ามั่วซั่วทำเอากูมึนหัวเกือบตาย วันนี้มึงหยุดใช่ไหมเดี๋ยวตอนเย็นกูกับไอ้เอื้อจะเข้าไปนั่งแดกเหล้าที่บ้านมึง" ภามคือเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนเรียนจบหมอ ส่วนเขาจบคณะหมอลำ เมื่อหลายเดือนก่อนเพื่อนทักมาถามเรื่องอยากจะย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด เขาเลยแนะนำให้ย้ายมาอยู่จังหวัดเดียวกัน
"อืม" คนหล่อตอบกลับไปแค่นั้น แค่นั้นจริงๆ แต่เพื่อนสนิทรู้กัน
"แล้วเมื่อคืนมึงนอนห้องนี้เหรอวะ" เมื่อเห็นว่าเพื่อนออกมาจากห้องนอนฝั่งซ้ายก็ตกใจเล็กน้อย จำได้นิดๆ ว่าเมื่อคืนให้เพื่อนเข้าไปนอนห้องรับแขกฝั่งขวา ฝั่งซ้ายเป็นห้องนอนของแขกประจำบ้านนั่นคือน้องน้ำขิงแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร น้ำขิงคงไปนอนอีกห้อง
"อืม.." ใบหน้าหล่อพยักหน้าตอบเสียงเหนื่อยๆ แม้แต่คำว่าอืมคำเดียว เขายังดูเหนื่อยกับการที่ต้องพูด
"กูว่ามึงยังเมาค้างอยู่ กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวตอนเย็นกูซื้อเบียร์เย็นๆ เข้าไป" มันมีดีอยู่อย่างเดียวคือหล่อ หล่อแบบลูกรักพระเจ้าใบหน้าเข้ารูปรับกันทุกส่วนขนาดผู้ชายด้วยกันยังหลงในความหล่อของมันแต่เสียดายที่มันพูดน้อยปากหมาจึงทำให้ความมันหล่อลดลง มาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลได้แค่สี่ห้าเดือนโรงพยาบาลก็แทบแตก ป่วยไม่ป่วยก็ไปหาหมอตอนนี้คนไข้ล้นโรงพยาบาล
"อืม" พูดตอบไปหน้านิ่งๆ แค่นั้นจริงๆ
"พูดกับมึงเหมือนกูพูดคนเดียว ไอ้เหี้ย ตอนเด็กแม่มึงไม่ฝึกให้พูดเลยหรือไง" รู้ว่าเพื่อนเป็นแบบนี้มาตลอดแต่มันก็เกินไปเขาเป็นเพื่อนมันนะ ไม่ใช่ตอไม้ ที่มันจะตอบแค่อืม
"อื้ม" อื้มเสียงสูงคือเริ่มรำคาญอารมณ์ไม่ดี เพื่อนสนิทก็รับรู้ได้
"อืม เสียงสูงแม่งเริ่มรำคาญกู เอ้อ มึงกลับไปพักผ่อนเถอะ" คนเป็นเพื่อนต้องดูจากอากัปกิริยาถึงจะเข้าใจ
"อืม" พยักหน้าตอบจากนั้นก็แยกย้ายเดินออกไป
ขุนเขายกมือขึ้นเกาหัวแก๊กๆ วันๆ มันพูดอยู่แค่นี้ แล้วมันพูดกับคนไข้รู้เรื่องได้ยังไงวะ เริ่มสงสัย..แล้วคนไข้ก็ขยันป่วยไปหามันเหลือเกิน บางคนแค่ได้ไปเห็นหน้าหมอแค่นั้นก็เอา จากแต่ก่อนเป็นเขาลูกชายเจ้าของโรงสีที่หล่อฮอตที่สุดในจังหวัดแต่ตอนนี้ต้องยกตำแหน่งนี้ให้เพื่อน มันฮอตจริง แต่ความฮอตของมันก็ถูกกลบด้วยปาก ขุนเขารู้ว่าที่เพื่อนย้ายมาประจำโรงพยาบาลต่างจังหวัดเพราะต้องการความสงบสุขหลีกหนีจากคู่หมั้นสาวที่ทำตัวติดตามเป็นเงา ดีที่มันไม่หนีไปบวช เรื่องนี้เพื่อนๆ ทุกคนรู้กัน
กลับมาที่บ้านพักชั้นเดียวติดลำธาร
บรรยากาศเงียบสงบห่างไกลผู้คนเป็นบ้านที่คุณหมอหนุ่มออกแบบเองและตั้งใจเลือกที่นี่เพราะความสงบ เขาชอบธรรมชาติชอบความสันโดษไม่ชอบความวุ่นวายคิดว่าการได้มาอยู่ต่างจังหวัดจะทำให้ชีวิตสงบสุขมากขึ้นแต่เปล่า มันกลับวุ่นวายไปคนละแบบแต่ก็ยังดีกว่าชีวิตในเมืองกรุง...
ภาม ทิวากร
ผู้รักความสันโดษรักความเงียบสงบ เงียบชนิดที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง ใครๆ ก็บอกว่าเขาพูดน้อยหน้าเดียว ไม่ยิ้มไม่คุยกับใคร ก็แล้วแต่คนจะคิดกันไป ส่วนเขาไม่เคยสนใจ ใครอยากจะคิดอะไรก็คิดเขาไม่ใช่คนบ้าที่จะได้พูดคนเดียวทั้งวัน ใครชอบพูดก็พูดไป ส่วนเขาไม่ชอบพูดคือจบ...ยังไม่รู้จักอย่ามาตัดสิน!!
ร่างสูงใหญ่เดินหายเข้าไปในห้องนอนส่วนตัว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานก็เดินออกไปหลังบ้าน..
เจ้านกแก้วที่เขาเลี้ยงไว้ก็ไม่พูดไม่คุยมันแค่ส่งเสียงร้องอืมทักทาย..เหมือนเจ้าของไม่มีผิดเพี้ยน เจ้าของเป็นแบบไหนมันก็เป็นแบบนั้น เมื่อก่อนมันพูดได้หลายคำแต่ตอนนี้มันพูดได้แค่คำว่า อืม อื้ม อื๊มม..
เจ้านกแก้วตัวสีเขียวเหลืองบินไปบินมาในกรงดีใจที่นายแพทย์คนหล่อเดินมาเทอาหารให้ ชายหนุ่มเดินไปเทอาหารเปิดกรงให้เจ้านกน้อยบินออกมา ไร้เสียงพูดคุยแค่ทำทุกอย่างตามหน้าที่เท่านั้น
ใบหน้าหล่อเหลาหันมองลำธารหลังบ้านด้วยความรู้สึกสงบสุข ฟังเสียงน้ำไหลสูดอากาศบริสุทธิ์ใช้ชีวิตมีความสุขในแบบที่ตัวเองต้องการ ชายหนุ่มหลับตาลงเหมือนกำลังทำสมาธิ ยากที่จะคาดเดาอารมณ์...
หากดูเพียงภายนอกคงไม่มีใครคาดเดาอารมณ์เขาได้อย่างแน่นอน อากัปกิริยาที่เขาแสดงออกมีเพียงด้านเดียวคือนิ่งเงียบไร้ความรู้สึก...
นายแพทย์ทิวากรเดินไปหยิบตำราแพทย์เล่มหนามานั่งอ่านที่เก้าอี้ไม้หลังบ้าน นี่คือชีวิตที่เขาต้องการ เมื่อคืนถ้าไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนสนิทเขาก็ไม่ไป มาอยู่ที่นี่ได้สี่ห้าเดือนเขาแทบจะไม่ไปไหน ทำงานกลับบ้าน ชีวิตมีอยู่แค่นั้นจริงๆ
นี่คือชีวิตเรียบง่ายที่นายแพทย์หนุ่มต้องการ แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนี้ชีวิตอันแสนสงบสุขของเขากำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง...