1.ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?

2438 Words
ลลิตาลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกร่างกายตนอ่อนแรงไปหมด ‘ใช่สินะ ฉันรถชนนี่นา’ หญิงสาวคิดว่าร่างกายคงเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่รู้แตกหักตรงไหนบ้าง แต่ก็ยังดีที่รอดมาได้จากอุบัติเหตุรุนแรง ‘จริงสิ แล้วไทม์ล่ะ’ ความคิดของเธอกระหวัดไปถึงคู่หมั้นหนุ่ม ทว่าใบหน้าที่ชะโงกเข้ามาในคลองสายตานั้นเป็นผู้หญิงอายุราวสี่สิบกว่าปีที่เธอไม่รู้จัก “รตา เป็นยังไงบ้างลูก” ‘รตา ลูก ผู้หญิงคนนี้หมายถึงใคร’ เธอมึนและพยายามลุกขึ้นอีกฝ่ายจึงประคองพร้อมกับวางหมอนรองด้านหลังให้และลูบหน้าลูบไหล่เธออย่างเป็นห่วงเป็นใย “ชวัญเอ๊ยขวัญมา คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะลูก” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเครือน้ำตาคลอ คิ้วเรียวสวยขมวดอย่างประหลาดใจ แต่พอตั้งใจจะพูดก็คอแห้งจนไอขึ้นมาแทน “แค่กๆ” “หิวน้ำหรือลูก” เจ้าตัวกุลีกุจอรีบเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วส่งให้เธอ ลลิตารับมาดื่มและคืนอีกฝ่าย สายตาก็กวาดมองทั่วห้องเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างแปลก ทั้งราวร่างกายตนเองไม่บาดเจ็บหนักส่วนไหนเลย ทว่าปวดหัวยูบจนต้องยกมือขึ้นกุมแล้วก็รู้ว่ามีผ้าพันอยู่ “ปวดหัวหรือจ๊ะ” อีกฝ่ายคงสังเกตท่าทางของเธอ “ที่นี่โรงพยาบาลใช่ไหมคะ” ลลิตาถามแม้จะพอมองออก ทว่าความแปลกตาจากโรงพยาบาลทั่วไป กับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตนอดสงสัยไม่ได้ ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะไม่ใช่นางพยาบาล “จ้ะลูก รู้สึกไม่ดีตรงไหนไหม แม่จะได้บอกคุณหมอ” “แม่?” เธอถามย้ำ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันฉุกคิด และเวลานั้นก็มีคนเข้ามาพอดี ลลิตาคุ้นตาว่าเป็นผู้ชายที่ช่วยเธอเอาไว้กับผู้หญิงอายุน้อยคนที่ตบหน้าเธอ พร้อมด้วยคู่ชายหญิงดูมีอายุ “ฮึ นั่นไงฟื้นแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรมากมาย” หญิงมีอายุเอ่ย ลลิตามองแต่ละคนด้วยความไม่เข้าใจ คนพวกนี้เป็นใครมาจากไหน ทั้งยังเรียกเธอด้วยชื่อของคนอื่น ที่สำคัญการแต่งตัวของพวกเขาดูล้าหลังไปหลายปีเลยทีเดียว “เอ่อ พวกคุณ...” ยังพูดไม่ทันจบหญิงมีอายุก็ก้าวอาดเข้ามาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเธอจนหน้าหงาย “อุ๊ย คุณวดีคะ” ผู้หญิงข้างกายเธอรีบเข้ามาโอบกอดอย่างปกป้องทันใด “วดี” ชายมีอายุปราม “เจ้าสัวก็ดูสิ นภาต้องมาตกน้ำตกท่าไปด้วยเพราะแม่รตานะคะ ว่ายน้ำก็ว่ายไม่แข็ง ยังดีที่พ่อรดิศช่วยขึ้นมาได้” “ฝนตกหนักพอดี รตาพยายามพายเรือกลับฝั่งให้เร็วที่สุดนะครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้เรือคว่ำ แล้วยังเจ็บตัวเพราะหัวคงกระแทกเข้ากับเรืออีก นภาเองต่างหากที่ใช้รตาพายเรือให้ไปเก็บบัวกับตัวเองทั้งที่พายไม่คล่อง คนงานในบ้านก็มีแต่ไม่ใช้” ชายหนุ่มที่ช่วยเธอเป็นคนเอ่ยขึ้น “พี่รดิศเข้าข้างรตาอีกแล้ว นภาผิดตลอด” สาวน้อยที่ทำร้ายเธอเกาะแขนหญิงมีอายุราวฟ้อง พลางหน้างอทำเสียงกระเง้ากระงอด ลลิตามองแต่ละคนที่ตนไม่รู้จักแล้วก็ยิ่งปวดหัวจนต้องสั่นไปมาเบาๆ “พอเถอะค่ะ ฉันขอนะคะ รตาคงปวดแผลที่หัว ฉันขอตามหมอก่อนนะคะ” หญิงที่กอดเธอเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ผมไปเองครับแม่” ชายหนุ่มเอ่ยแล้วออกไปจากห้อง ลลิตาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง อยากพูดอยากถามทว่าพวกเขาคงคิดว่าตนประหลาด เพราะแต่ละคนดูราวจะเอ่ยเป็นเรื่องราวเดียวกัน ทำเอาเธอมึนงงไปหมด ‘ทำไมพวกเขาเรียกฉันว่ารตา’ ร่างบางค่อยๆ ย่องออกมาจากห้องเมื่อผู้หญิงที่อยู่กับเธอบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แม้เป็นห้องรวมแต่เตียงข้างเธอว่างเปล่าจึงไม่ได้ถามหรือคุยกับใคร ทั้งยังนอนไม่หลับแทบทั้งคืนด้วยความวิตก ดวงตาคู่กลมโตกวาดมองบรรยากาศที่ดูเก่าในความคิดของตนแล้วก็กังวลใจจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องนัก “ฉันมาอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัดเหรอ แล้วไทม์ล่ะ ไทม์ไปไหน เขาก็น่าจะเจ็บเหมือนกันนี่นา” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองและเป็นห่วงคู่หมั้นหนุ่มด้วย “แต่ไทม์ไม่ได้จมน้ำกับฉัน” เมื่อหวนคิดไปถึงตอนที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำก็มีเพียงแค่เธอเท่านั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่! “คุณพยาบาลคะ ที่นี่โรงพยาบาลอะไรคะ แล้วฉันจะโทรศัพท์ได้ที่ไหน” “โรงพยาบาล...ค่ะ แล้วก็มีโทรศัพท์ที่ส่วนติดต่อด้านล่างค่ะ ผู้ป่วยจะติดต่อญาติหรือคะ ดิฉันแจ้งให้ได้นะคะ” อีกฝ่ายตอบชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯทำเอาลลิตากวาดมองโดยรอบ ใจดวงน้อยวูบโหวงขึ้นกับอาคารที่ดูไม่ทันสมัยนัก “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ” ด้วยความร้อนใจกับสิ่งที่เห็น ลลิตาจึงปฏิเสธแล้วรีบเดินหาทางไปชั้นล่าง เมื่อเห็นบันไดก็ยิ่งเร่งฝีเท้าจนเกือบก้าวพลาดแต่ยังเกาะราวไว้ได้ทำให้ไม่พลัดตก เธอไปจนถึงด้านล่างแล้วก็วนเดินไปมาด้วยใจที่เต้นระส่ำ ภาพทุกสิ่งอย่างรวมถึงผู้คนที่ดูราวล้าสมัยทำเอาเหงื่อท่วมทั้งที่พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ ตนอาจเข้าใจผิดพลาดไป “คุณคะ ฉันขอโทรศัพท์ได้ไหม” เธอขอกับพยาบาลที่ประจำเคาน์เตอร์ “ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าเบอร์อะไรคะ” ลลิตาบอกเบอร์เพื่อนอาจารย์ที่โรงเรียน แต่อีกฝ่ายกลับมองเธอแปลกๆ แต่ก็ยอมกดแล้วก็บอกว่าไม่มีเบอร์นี้ เธอจึงเปลี่ยนไปเป็นเบอร์ของโรงเรียน พยาบาลสาวก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “เป็นไปได้ยังไง” เธอพึมพำพลางกวาดตามองไปทั่วแล้วก็เห็นภาพแขวนบนผนังที่ทำเอาใจของลลิตาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวและน้ำตารื้นคลอขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอ ทำใจแข็งเอ่ยถามออกไป “ขอโทษนะคะ นี่ปี...” “รตา” เสียงเข้มที่เอ่ยใกล้ๆ พร้อมมือวางลงบนบ่าทำให้เธอสะดุ้ง หันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่ช่วยเธอ “ทำไมมาอยู่ตรงนี้ แม่ล่ะ เห็นแม่โทรไปบอกที่บ้านว่าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว พี่เลยมารับ” อีกฝ่ายโอบไหล่เธอทำเอาหญิงสาวตัวเกร็ง “ไปไหนมาไหนคนเดียวแม่จะเป็นห่วงเอานะ กลับห้องพักก่อนดีกว่า” แม้เขาช่วยประคองกึ่งรั้งให้เดินกลับไปทางห้องพักฟื้น แต่เธอไม่ชินเพราะเป็นคนอื่น ลลิตาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองภาพบนผนังอีกครั้งแล้วเม้มปากขมวดคิ้วมุ่นอย่างเคร่งเครียด ตัวสั่นขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ‘รัชกาลที่แปด’ ใบหน้าที่อยู่ในกระจกสะท้อนเงาของผู้หญิงที่ลลิตารู้จักดี นั่นคือตัวเธอเองทว่าเป็นในช่วงอายุน้อยกว่าปัจจุบัน ราวสิบหกสิบเจ็ดปี ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถสามล้อกับผู้ที่บอกว่าเป็นมารดานั้นลลิตามองถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องด้วยหัวใจไหวระทึกอย่างหวาดกลัวและขนลุกชันระคนกัน ความสับสนมึนงงตีกันในหัววุ่นวาย ทั้งทรวงอกก็อัดแน่นจนสุดท้ายก็น้ำตาไหลออกมา แม้ไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่ก็ห้ามไม่อยู่ ‘เป็นอะไรลูก ปวดหัวอีกหรือ’ เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมาเมื่อผู้เป็นมารดาถาม การที่อีกฝ่ายเป็นห่วงเธอมาก ทำให้ลลิตายังพอวางใจได้ว่าคนพวกนี้คงไม่ได้คิดร้ายกับตน จากนั้นก็นั่งตัวเกร็งมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวงกระทั่งมาถึงด้านหน้าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังใหญ่ มีเขตรั้วกว้างขวางรายล้อมด้วยสวนต้นไม้ใหญ่หลายชนิด เธอถูกพาเดินเข้ามาลึกด้านในซึ่งเป็นบ้านไม้หลังเล็กติดสวนและลำคลอง เมื่อมาอยู่ในห้องเพียงคนเดียวลลิตาก็เดินไปมาอย่างเคร่งเครียดกระวนกระวายแล้วเหลือบเห็นกระจกสี่เหลี่ยมผืนผ้าบานเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้กับเตียงนอนจึงย่อตัวลงมอง เพราะเธอถูกเรียกด้วยชื่ออื่นจึงสงสัยว่าเวลานี้ตนเป็นอย่างไรกันแน่ “ฉันมาอยู่ในร่างคนอื่นเหรอ” ลลิตาพึมพำทรุดลงนั่งแปะพื้นไม้กระดานขัดมันเงา ถอนหายใจอย่างหมดแรง เธอแอบหยิกตัวเองบ่อยครั้งที่โรงพยาบาลและก็เจ็บทุกครั้ง สิ่งรอบกายทั้งสิ่งปลูกสร้างบนถนน บรรยากาศบ้านเรือนรวมถึงผู้คนยิ่งชัดเจนราวย้อนเวลากลับมาในสมัยก่อนจริงๆ ร่างอรชรลุกพรวดขึ้นมองหาสิ่งที่จะยืนยันได้ว่าเวลานี้คือช่วงไหนกันแน่ แต่ภายในนี้ก็มีเพียงเตียงเล็ก โต๊ะเตี้ยที่มีกระจกกับของใช้เล็กน้อย ตู้ไม้ที่มีเสื้อผ้าไม่เยอะนัก ทั้งหมดเป็นผ้าถุงกับเสื้อสีพื้นและคอกระเช้าที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ชุดสมัยนี้ ลลิตาถอยห่างออกมาแล้วนั่งลงบนเตียงเพราะแข้งขาอ่อน “ไม่อยากเชื่อเลย” หญิงสาวพึมพำพร้อมกับน้ำตาซึม ความรู้สึกหวาดหวั่นรุมเร้าเมื่อเวลานี้ในสมองเหมือนเจอทางตันมืดแปดด้าน ไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่ตนเองกำลังเผชิญ ทว่าเวลานี้เธอก็มีความรู้สึกนึกคิดในร่างของคนอื่นจริงๆ “ฉันย้อนเวลามาจริงๆ เหรอ เป็นไปได้ยังไง” เธอรู้สึกปากแห้งลำคอก็แห้งผาก กลืนน้ำลายเท่าไรก็ไม่เพียงพอ ทั้งยังมีสติรับรู้ชัดเจนจนน่าใจหาย ลลิตาเป็นอาจารย์สอนวิชาเคมีในระดับมัธยมปลาย แม้จะเคยอ่านเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของช่วงเวลาหรือรูหนอนมิติ ทว่าไม่ได้คิดจะทำความเข้าใจจริงจัง หรือศึกษาหลักเกณฑ์อย่างถ่องแท้ เธอก็เหมือนคนทั่วไปที่อ่านบนความแล้วก็ผ่านเลยเพราะอย่างไรก็ไม่ได้นำมาใช้ในสายอาชีพและคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว “รตา มากินข้าวกลางวันกันลูก” เสียงมารดาของรตาดังขึ้นหน้าประตู ทำให้ลลิตาที่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิดกะพริบตาถี่แล้วถอนหายใจยาว เธอจะต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน มีทางที่จะทำให้ตัวเองกลับไปยังร่างเธอในอนาคตหรือเปล่า ‘หรือว่า ฉันในอนาคตอาจตายไปแล้ว วิญญาณก็เลยบังเอิญหลุดวงโคจรมาที่นี่’ ยิ่งคิดลลิตาก็ยิ่งเครียด แม้จะเป็นอาจารย์และค่อนข้างใจเย็นแต่มาเจอสถานการณ์แบบนี้สามารถควบคุมตัวเองให้ไม่สติแตกได้ก็นับว่าดีมากแล้ว “รตาลูก” “ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย ก่อนจะลุกขึ้นพลางคิดในใจว่า อย่างน้อยก็มาอยู่ในที่ที่มีข้าวให้กินและมีแม่ที่รักใคร่เอาใจใส่ก็ถือว่าโชคดีในโชคร้ายอยู่บ้าง เมื่อเปิดประตูออกมาก็เห็นผู้เป็นมารดายืนรอและกวาดตามองเธอด้วยความสงสัย “หนูไม่สบายตรงไหนบอกแม่ได้นะลูก” “สบายดีค่ะ” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ถามมากความ จับมือเธอให้เดินลงบันไดไปด้วยกัน ด้านล่างมีส่วนที่เป็นห้องทานอาหารแยกต่างหาก แม้จะเป็นเรือนไม้หลังเล็กแต่ก็เป็นสัดส่วน สะอาดสะอ้าน เปิดหน้าต่างรับลมได้เย็นสบาย เธอถูกพามานั่งลงยังเก้าอี้ด้านหนึ่ง ขณะที่ผู้เป็นแม่ชะเง้อมองราวรอบางอย่าง แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในบ้านกระทั่งเข้ามาถึงห้องอาหาร “แม่กินข้าวกับรตาสองคนนะครับ ผมต้องออกไปข้างนอกกับนภา” ชายหนุ่มที่ช่วยเธอเอ่ย เวลานี้ลลิตารู้แล้วว่าเขาเป็นพี่ชายของรตาและชื่อรดิศ “อ้าว ไม่กินข้าวก่อนหรือจ๊ะ” “รายนั้นอยากออกไปกินข้างนอกเที่ยวข้างนอกใจจะขาดครับแม่ เขาอยากไปเที่ยวสวนสัตว์ดุสิต [1] ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมไม่กี่วันก่อน จะไปแต่เช้า บ่นตั้งแต่ผมออกไปรับแม่กับรตาโน่น ยังไงก็จะไปวันนี้ให้ได้” ลลิตาตัวแข็งนิ่งงันในทันใด นี่คืออีกเรื่องที่เป็นเครื่องยืนยันว่าตนอยู่ในสมัยก่อน ‘สวนสัตว์ดุสิตเปิดเมื่อไรนะ’ หญิงสาวคิดในใจ เธอไม่ได้จำทุกอย่างในประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ ซึ่งก็เป็นปกติของทุกคน แต่มาเจอเรื่องแบบนี้ความไม่รู้กลับทำให้หงุดหงิด รดิศไปหยิบหมวกของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะในส่วนห้องรับแขกแล้ววนกลับมามองเธอ “หน้างอเชียวรตา อยากไปเดี๋ยวพี่พาไปก็ได้ ตอนนี้เราพักให้หายก่อนดีกว่า ส่วนรายโน้นน่ะเขาเอาแต่ใจ ใครก็ขัดไม่ได้ นี่เพราะคุณพ่ออนุญาตให้ไปแค่กับผมหรอกนะครับแม่ ไม่อยากนั้นคงสั่งใครสักคนเอารถออกไปส่งตัวเองแล้ว” ชายหนุ่มบ่นยาวเหยียด “ผมยังเคืองอยู่ ที่ไม่ยอมให้เอารถไปรับแม่กับรตา นภาคงคิดว่าพ่อจะอนุญาตให้คนในบ้านขับไปส่งได้” “เรากลับแบบนี้ก็สะดวกดีนี่ลูก ไปเถิดจ้ะ เดี๋ยวคุณนภารอนาน” ผู้เป็นแม่บอกราวกับปลง ชายหนุ่มจึงยอมผละไป ลลิตานั่งเงียบไม่ขยับกระทั่งมารดาตักข้าวใส่จานมาวางตรงหน้าพร้อมถาม “อยากไปหรือลูก” เธอส่ายหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร มารดาตักกับข้าวหลายอย่างให้แต่ลลิตากลับกลืนไม่ค่อยลงนัก แม้จะพยายามฝืนกินและรู้สึกว่ารสชาติอาหารดีมากก็ตาม ... [1] ‘สวนสัตว์ดุสิต’ เปิดให้ประชาชนเข้าชมวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2481 เดิมทีเป็นส่วนหนึ่งในเขตพระราชฐานในพระราชวังดุสิต รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สร้างเป็นที่พักผ่อนส่วนพระองค์บริเวณพระราชอุทยานสวนดุสิต ชื่อว่า ‘เขาดินวนา’ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานสวนดุสิตให้เป็นสวนสาธารณะ ===
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD