ลลิตาลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกร่างกายตนอ่อนแรงไปหมด
‘ใช่สินะ ฉันรถชนนี่นา’
หญิงสาวคิดว่าร่างกายคงเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่รู้แตกหักตรงไหนบ้าง แต่ก็ยังดีที่รอดมาได้จากอุบัติเหตุรุนแรง
‘จริงสิ แล้วไทม์ล่ะ’
ความคิดของเธอกระหวัดไปถึงคู่หมั้นหนุ่ม ทว่าใบหน้าที่ชะโงกเข้ามาในคลองสายตานั้นเป็นผู้หญิงอายุราวสี่สิบกว่าปีที่เธอไม่รู้จัก
“รตา เป็นยังไงบ้างลูก”
‘รตา ลูก ผู้หญิงคนนี้หมายถึงใคร’
เธอมึนและพยายามลุกขึ้นอีกฝ่ายจึงประคองพร้อมกับวางหมอนรองด้านหลังให้และลูบหน้าลูบไหล่เธออย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ชวัญเอ๊ยขวัญมา คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะลูก”
อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเครือน้ำตาคลอ
คิ้วเรียวสวยขมวดอย่างประหลาดใจ แต่พอตั้งใจจะพูดก็คอแห้งจนไอขึ้นมาแทน
“แค่กๆ”
“หิวน้ำหรือลูก”
เจ้าตัวกุลีกุจอรีบเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วส่งให้เธอ ลลิตารับมาดื่มและคืนอีกฝ่าย สายตาก็กวาดมองทั่วห้องเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างแปลก ทั้งราวร่างกายตนเองไม่บาดเจ็บหนักส่วนไหนเลย ทว่าปวดหัวยูบจนต้องยกมือขึ้นกุมแล้วก็รู้ว่ามีผ้าพันอยู่
“ปวดหัวหรือจ๊ะ”
อีกฝ่ายคงสังเกตท่าทางของเธอ
“ที่นี่โรงพยาบาลใช่ไหมคะ”
ลลิตาถามแม้จะพอมองออก ทว่าความแปลกตาจากโรงพยาบาลทั่วไป กับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตนอดสงสัยไม่ได้ ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะไม่ใช่นางพยาบาล
“จ้ะลูก รู้สึกไม่ดีตรงไหนไหม แม่จะได้บอกคุณหมอ”
“แม่?”
เธอถามย้ำ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันฉุกคิด และเวลานั้นก็มีคนเข้ามาพอดี ลลิตาคุ้นตาว่าเป็นผู้ชายที่ช่วยเธอเอาไว้กับผู้หญิงอายุน้อยคนที่ตบหน้าเธอ พร้อมด้วยคู่ชายหญิงดูมีอายุ
“ฮึ นั่นไงฟื้นแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรมากมาย”
หญิงมีอายุเอ่ย
ลลิตามองแต่ละคนด้วยความไม่เข้าใจ คนพวกนี้เป็นใครมาจากไหน ทั้งยังเรียกเธอด้วยชื่อของคนอื่น ที่สำคัญการแต่งตัวของพวกเขาดูล้าหลังไปหลายปีเลยทีเดียว
“เอ่อ พวกคุณ...”
ยังพูดไม่ทันจบหญิงมีอายุก็ก้าวอาดเข้ามาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเธอจนหน้าหงาย
“อุ๊ย คุณวดีคะ”
ผู้หญิงข้างกายเธอรีบเข้ามาโอบกอดอย่างปกป้องทันใด
“วดี”
ชายมีอายุปราม
“เจ้าสัวก็ดูสิ นภาต้องมาตกน้ำตกท่าไปด้วยเพราะแม่รตานะคะ ว่ายน้ำก็ว่ายไม่แข็ง ยังดีที่พ่อรดิศช่วยขึ้นมาได้”
“ฝนตกหนักพอดี รตาพยายามพายเรือกลับฝั่งให้เร็วที่สุดนะครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้เรือคว่ำ แล้วยังเจ็บตัวเพราะหัวคงกระแทกเข้ากับเรืออีก นภาเองต่างหากที่ใช้รตาพายเรือให้ไปเก็บบัวกับตัวเองทั้งที่พายไม่คล่อง คนงานในบ้านก็มีแต่ไม่ใช้”
ชายหนุ่มที่ช่วยเธอเป็นคนเอ่ยขึ้น
“พี่รดิศเข้าข้างรตาอีกแล้ว นภาผิดตลอด”
สาวน้อยที่ทำร้ายเธอเกาะแขนหญิงมีอายุราวฟ้อง พลางหน้างอทำเสียงกระเง้ากระงอด
ลลิตามองแต่ละคนที่ตนไม่รู้จักแล้วก็ยิ่งปวดหัวจนต้องสั่นไปมาเบาๆ
“พอเถอะค่ะ ฉันขอนะคะ รตาคงปวดแผลที่หัว ฉันขอตามหมอก่อนนะคะ”
หญิงที่กอดเธอเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ผมไปเองครับแม่”
ชายหนุ่มเอ่ยแล้วออกไปจากห้อง
ลลิตาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง อยากพูดอยากถามทว่าพวกเขาคงคิดว่าตนประหลาด เพราะแต่ละคนดูราวจะเอ่ยเป็นเรื่องราวเดียวกัน ทำเอาเธอมึนงงไปหมด
‘ทำไมพวกเขาเรียกฉันว่ารตา’
ร่างบางค่อยๆ ย่องออกมาจากห้องเมื่อผู้หญิงที่อยู่กับเธอบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แม้เป็นห้องรวมแต่เตียงข้างเธอว่างเปล่าจึงไม่ได้ถามหรือคุยกับใคร ทั้งยังนอนไม่หลับแทบทั้งคืนด้วยความวิตก ดวงตาคู่กลมโตกวาดมองบรรยากาศที่ดูเก่าในความคิดของตนแล้วก็กังวลใจจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องนัก
“ฉันมาอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัดเหรอ แล้วไทม์ล่ะ ไทม์ไปไหน เขาก็น่าจะเจ็บเหมือนกันนี่นา”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองและเป็นห่วงคู่หมั้นหนุ่มด้วย
“แต่ไทม์ไม่ได้จมน้ำกับฉัน”
เมื่อหวนคิดไปถึงตอนที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำก็มีเพียงแค่เธอเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!
“คุณพยาบาลคะ ที่นี่โรงพยาบาลอะไรคะ แล้วฉันจะโทรศัพท์ได้ที่ไหน”
“โรงพยาบาล...ค่ะ แล้วก็มีโทรศัพท์ที่ส่วนติดต่อด้านล่างค่ะ ผู้ป่วยจะติดต่อญาติหรือคะ ดิฉันแจ้งให้ได้นะคะ”
อีกฝ่ายตอบชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯทำเอาลลิตากวาดมองโดยรอบ ใจดวงน้อยวูบโหวงขึ้นกับอาคารที่ดูไม่ทันสมัยนัก
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ด้วยความร้อนใจกับสิ่งที่เห็น ลลิตาจึงปฏิเสธแล้วรีบเดินหาทางไปชั้นล่าง เมื่อเห็นบันไดก็ยิ่งเร่งฝีเท้าจนเกือบก้าวพลาดแต่ยังเกาะราวไว้ได้ทำให้ไม่พลัดตก เธอไปจนถึงด้านล่างแล้วก็วนเดินไปมาด้วยใจที่เต้นระส่ำ ภาพทุกสิ่งอย่างรวมถึงผู้คนที่ดูราวล้าสมัยทำเอาเหงื่อท่วมทั้งที่พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ ตนอาจเข้าใจผิดพลาดไป
“คุณคะ ฉันขอโทรศัพท์ได้ไหม”
เธอขอกับพยาบาลที่ประจำเคาน์เตอร์
“ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าเบอร์อะไรคะ”
ลลิตาบอกเบอร์เพื่อนอาจารย์ที่โรงเรียน แต่อีกฝ่ายกลับมองเธอแปลกๆ แต่ก็ยอมกดแล้วก็บอกว่าไม่มีเบอร์นี้ เธอจึงเปลี่ยนไปเป็นเบอร์ของโรงเรียน พยาบาลสาวก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
“เป็นไปได้ยังไง”
เธอพึมพำพลางกวาดตามองไปทั่วแล้วก็เห็นภาพแขวนบนผนังที่ทำเอาใจของลลิตาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวและน้ำตารื้นคลอขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอ ทำใจแข็งเอ่ยถามออกไป
“ขอโทษนะคะ นี่ปี...”
“รตา”
เสียงเข้มที่เอ่ยใกล้ๆ พร้อมมือวางลงบนบ่าทำให้เธอสะดุ้ง หันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่ช่วยเธอ
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ แม่ล่ะ เห็นแม่โทรไปบอกที่บ้านว่าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว พี่เลยมารับ”
อีกฝ่ายโอบไหล่เธอทำเอาหญิงสาวตัวเกร็ง
“ไปไหนมาไหนคนเดียวแม่จะเป็นห่วงเอานะ กลับห้องพักก่อนดีกว่า”
แม้เขาช่วยประคองกึ่งรั้งให้เดินกลับไปทางห้องพักฟื้น แต่เธอไม่ชินเพราะเป็นคนอื่น ลลิตาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองภาพบนผนังอีกครั้งแล้วเม้มปากขมวดคิ้วมุ่นอย่างเคร่งเครียด ตัวสั่นขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
‘รัชกาลที่แปด’
ใบหน้าที่อยู่ในกระจกสะท้อนเงาของผู้หญิงที่ลลิตารู้จักดี นั่นคือตัวเธอเองทว่าเป็นในช่วงอายุน้อยกว่าปัจจุบัน ราวสิบหกสิบเจ็ดปี
ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถสามล้อกับผู้ที่บอกว่าเป็นมารดานั้นลลิตามองถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องด้วยหัวใจไหวระทึกอย่างหวาดกลัวและขนลุกชันระคนกัน ความสับสนมึนงงตีกันในหัววุ่นวาย ทั้งทรวงอกก็อัดแน่นจนสุดท้ายก็น้ำตาไหลออกมา แม้ไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่ก็ห้ามไม่อยู่
‘เป็นอะไรลูก ปวดหัวอีกหรือ’
เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมาเมื่อผู้เป็นมารดาถาม การที่อีกฝ่ายเป็นห่วงเธอมาก ทำให้ลลิตายังพอวางใจได้ว่าคนพวกนี้คงไม่ได้คิดร้ายกับตน
จากนั้นก็นั่งตัวเกร็งมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวงกระทั่งมาถึงด้านหน้าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังใหญ่ มีเขตรั้วกว้างขวางรายล้อมด้วยสวนต้นไม้ใหญ่หลายชนิด เธอถูกพาเดินเข้ามาลึกด้านในซึ่งเป็นบ้านไม้หลังเล็กติดสวนและลำคลอง
เมื่อมาอยู่ในห้องเพียงคนเดียวลลิตาก็เดินไปมาอย่างเคร่งเครียดกระวนกระวายแล้วเหลือบเห็นกระจกสี่เหลี่ยมผืนผ้าบานเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้กับเตียงนอนจึงย่อตัวลงมอง เพราะเธอถูกเรียกด้วยชื่ออื่นจึงสงสัยว่าเวลานี้ตนเป็นอย่างไรกันแน่
“ฉันมาอยู่ในร่างคนอื่นเหรอ”
ลลิตาพึมพำทรุดลงนั่งแปะพื้นไม้กระดานขัดมันเงา ถอนหายใจอย่างหมดแรง เธอแอบหยิกตัวเองบ่อยครั้งที่โรงพยาบาลและก็เจ็บทุกครั้ง สิ่งรอบกายทั้งสิ่งปลูกสร้างบนถนน บรรยากาศบ้านเรือนรวมถึงผู้คนยิ่งชัดเจนราวย้อนเวลากลับมาในสมัยก่อนจริงๆ
ร่างอรชรลุกพรวดขึ้นมองหาสิ่งที่จะยืนยันได้ว่าเวลานี้คือช่วงไหนกันแน่ แต่ภายในนี้ก็มีเพียงเตียงเล็ก โต๊ะเตี้ยที่มีกระจกกับของใช้เล็กน้อย ตู้ไม้ที่มีเสื้อผ้าไม่เยอะนัก ทั้งหมดเป็นผ้าถุงกับเสื้อสีพื้นและคอกระเช้าที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ชุดสมัยนี้ ลลิตาถอยห่างออกมาแล้วนั่งลงบนเตียงเพราะแข้งขาอ่อน
“ไม่อยากเชื่อเลย”
หญิงสาวพึมพำพร้อมกับน้ำตาซึม ความรู้สึกหวาดหวั่นรุมเร้าเมื่อเวลานี้ในสมองเหมือนเจอทางตันมืดแปดด้าน ไม่อยากเชื่อกับเรื่องที่ตนเองกำลังเผชิญ ทว่าเวลานี้เธอก็มีความรู้สึกนึกคิดในร่างของคนอื่นจริงๆ
“ฉันย้อนเวลามาจริงๆ เหรอ เป็นไปได้ยังไง”
เธอรู้สึกปากแห้งลำคอก็แห้งผาก กลืนน้ำลายเท่าไรก็ไม่เพียงพอ ทั้งยังมีสติรับรู้ชัดเจนจนน่าใจหาย
ลลิตาเป็นอาจารย์สอนวิชาเคมีในระดับมัธยมปลาย แม้จะเคยอ่านเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของช่วงเวลาหรือรูหนอนมิติ ทว่าไม่ได้คิดจะทำความเข้าใจจริงจัง หรือศึกษาหลักเกณฑ์อย่างถ่องแท้ เธอก็เหมือนคนทั่วไปที่อ่านบนความแล้วก็ผ่านเลยเพราะอย่างไรก็ไม่ได้นำมาใช้ในสายอาชีพและคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว
“รตา มากินข้าวกลางวันกันลูก”
เสียงมารดาของรตาดังขึ้นหน้าประตู ทำให้ลลิตาที่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิดกะพริบตาถี่แล้วถอนหายใจยาว
เธอจะต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน มีทางที่จะทำให้ตัวเองกลับไปยังร่างเธอในอนาคตหรือเปล่า
‘หรือว่า ฉันในอนาคตอาจตายไปแล้ว วิญญาณก็เลยบังเอิญหลุดวงโคจรมาที่นี่’
ยิ่งคิดลลิตาก็ยิ่งเครียด แม้จะเป็นอาจารย์และค่อนข้างใจเย็นแต่มาเจอสถานการณ์แบบนี้สามารถควบคุมตัวเองให้ไม่สติแตกได้ก็นับว่าดีมากแล้ว
“รตาลูก”
“ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย ก่อนจะลุกขึ้นพลางคิดในใจว่า อย่างน้อยก็มาอยู่ในที่ที่มีข้าวให้กินและมีแม่ที่รักใคร่เอาใจใส่ก็ถือว่าโชคดีในโชคร้ายอยู่บ้าง
เมื่อเปิดประตูออกมาก็เห็นผู้เป็นมารดายืนรอและกวาดตามองเธอด้วยความสงสัย
“หนูไม่สบายตรงไหนบอกแม่ได้นะลูก”
“สบายดีค่ะ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ถามมากความ จับมือเธอให้เดินลงบันไดไปด้วยกัน ด้านล่างมีส่วนที่เป็นห้องทานอาหารแยกต่างหาก แม้จะเป็นเรือนไม้หลังเล็กแต่ก็เป็นสัดส่วน สะอาดสะอ้าน เปิดหน้าต่างรับลมได้เย็นสบาย
เธอถูกพามานั่งลงยังเก้าอี้ด้านหนึ่ง ขณะที่ผู้เป็นแม่ชะเง้อมองราวรอบางอย่าง แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในบ้านกระทั่งเข้ามาถึงห้องอาหาร
“แม่กินข้าวกับรตาสองคนนะครับ ผมต้องออกไปข้างนอกกับนภา”
ชายหนุ่มที่ช่วยเธอเอ่ย เวลานี้ลลิตารู้แล้วว่าเขาเป็นพี่ชายของรตาและชื่อรดิศ
“อ้าว ไม่กินข้าวก่อนหรือจ๊ะ”
“รายนั้นอยากออกไปกินข้างนอกเที่ยวข้างนอกใจจะขาดครับแม่ เขาอยากไปเที่ยวสวนสัตว์ดุสิต [1] ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมไม่กี่วันก่อน จะไปแต่เช้า บ่นตั้งแต่ผมออกไปรับแม่กับรตาโน่น ยังไงก็จะไปวันนี้ให้ได้”
ลลิตาตัวแข็งนิ่งงันในทันใด นี่คืออีกเรื่องที่เป็นเครื่องยืนยันว่าตนอยู่ในสมัยก่อน
‘สวนสัตว์ดุสิตเปิดเมื่อไรนะ’
หญิงสาวคิดในใจ เธอไม่ได้จำทุกอย่างในประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ ซึ่งก็เป็นปกติของทุกคน แต่มาเจอเรื่องแบบนี้ความไม่รู้กลับทำให้หงุดหงิด
รดิศไปหยิบหมวกของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะในส่วนห้องรับแขกแล้ววนกลับมามองเธอ
“หน้างอเชียวรตา อยากไปเดี๋ยวพี่พาไปก็ได้ ตอนนี้เราพักให้หายก่อนดีกว่า ส่วนรายโน้นน่ะเขาเอาแต่ใจ ใครก็ขัดไม่ได้ นี่เพราะคุณพ่ออนุญาตให้ไปแค่กับผมหรอกนะครับแม่ ไม่อยากนั้นคงสั่งใครสักคนเอารถออกไปส่งตัวเองแล้ว”
ชายหนุ่มบ่นยาวเหยียด
“ผมยังเคืองอยู่ ที่ไม่ยอมให้เอารถไปรับแม่กับรตา นภาคงคิดว่าพ่อจะอนุญาตให้คนในบ้านขับไปส่งได้”
“เรากลับแบบนี้ก็สะดวกดีนี่ลูก ไปเถิดจ้ะ เดี๋ยวคุณนภารอนาน”
ผู้เป็นแม่บอกราวกับปลง ชายหนุ่มจึงยอมผละไป
ลลิตานั่งเงียบไม่ขยับกระทั่งมารดาตักข้าวใส่จานมาวางตรงหน้าพร้อมถาม
“อยากไปหรือลูก”
เธอส่ายหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร มารดาตักกับข้าวหลายอย่างให้แต่ลลิตากลับกลืนไม่ค่อยลงนัก แม้จะพยายามฝืนกินและรู้สึกว่ารสชาติอาหารดีมากก็ตาม
...
[1] ‘สวนสัตว์ดุสิต’ เปิดให้ประชาชนเข้าชมวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2481 เดิมทีเป็นส่วนหนึ่งในเขตพระราชฐานในพระราชวังดุสิต รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สร้างเป็นที่พักผ่อนส่วนพระองค์บริเวณพระราชอุทยานสวนดุสิต ชื่อว่า ‘เขาดินวนา’ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานสวนดุสิตให้เป็นสวนสาธารณะ
===