4

1178 Words
สิบเจ็ดปีผ่านไป เมืองเทียนสิน แคว้นเทียนฝู่ “หนี่เอ๋อร์..หนี่เอ๋อร์ ออกมาหาแม่หน่อย.. จูอ้ายเหม่ย แม่บอกให้ออกมาหาแม่หน่อยได้ยินไหม” เสียงของมารดาดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อลูกสาวสุดที่รักยังไม่ยอมออกมา “ท่านแม่” ใบหน้ายิ้มแย้มตึงขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนที่เดินออกมา “ออกมาทำไม ใครเรียกเจ้า” น้ำเสียงที่กังวานหวานเปลี่ยนเป็นกระด้างด้วยความไม่พอใจ คำพูดไร้เยื่อใยของมารดา ทำให้หญิงสาววัยย่างสิบแปดรู้สึกชอกช้ำ แต่ก็แสดงออกเหมือนไม่รู้สึกอะไร “อ้ายเหม่ยให้ข้ามาถามท่านแม่ว่ามีธุระอันใดกับนาง” “ไปบอกให้นางออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” “เจ้าค่ะ” ไป๋ซินซินหายไปไม่นาน หญิงสาวนางหนึ่งก็เดินหน้าบึ้งออกมา “ท่านแม่เรียกข้าทำไม” “ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นเล่าหนี่เอ๋อร์ ดูไม่งามเลย” จูอินรีบเช็ดมือจนสะอาด กุมใบหน้างดงามจับจิตในสายตาของนางด้วยความรักใคร่เอ็นดู “ยิ้มไว้ลูกรัก ใบหน้างดงามปานล่มเมืองของเจ้าเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า” “ก็ข้าหงุดหงิดที่ท่านเรียกข้านี่” “ที่แม่ต้องเรียกเจ้าก็เพราะจำเป็น ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช้เจ้าเด็ดขาด” “ท่านแม่จะใช้ข้าทำอะไร ข้าไม่ทำงานบ้านหรอกนะ ไปใช้นางสิ” นางหมายถึงไป๋ซินซิน “แม่จะให้เจ้าไปส่งซาลาเปากับเกี๊ยวให้ท่านเติ้งต่างหากเล่า” “ข้าไม่ไป” ส่ายหน้าปฏิเสธด้วยท่าทางโอหัง “เจ้าก็รู้ว่าท่านเติ้งกำชับมาเองว่าทุกครั้งที่ไปส่งของ ต้องให้ลูกสาวเจ้าของร้านไปส่งเท่านั้น ถ้าเป็นลูกจ้างจะไม่รับของเด็ดขาด” ใบหน้างามบูดบึ้ง “ตลอดสองปีที่ข้ากับอาซินสลับกันไปส่งของที่บ้านท่านเติ้ง พวกเรายังไม่เคยได้เห็นเขาเลยสักครั้ง ข้าจึงไม่เข้าใจว่าเขาจะกำชับมาแบบนี้เพื่ออะไร” “ท่านเติ้งเป็นคหบดีที่มั่งคั่งและมีบารมีที่สุดในแคว้นนี้ ข้าไม่กล้าขัดคำสั่งของเขาหรอก ว่ากันว่าท่านย้ายมาจากเมืองหลวง มีเส้นสายใหญ่โตอยู่ในวังหลวงด้วยนะ บางทีท่านเติ้งอาจจะกำลังสนใจเจ้า” “สนใจอย่างไร มองหาสตรีเข้าวังหลวงหรือ” “เจ้าคิดไกลเกินไปแล้ว เพื่อตัวท่านเองต่างหากเล่า” “ความคิดของท่านแม่ก็ช่างตื้นเขินเกินไปแล้ว” “ทำไมเจ้าถึงว่าแม่แบบนั้นเล่า” “ก็จริงนี่ ข้าเคยได้ยินพวกสตรีในร้านขนมเขา คุยกัน บอกว่าท่านเติ้งกำลังจะแต่งภรรยาคนที่สี่..ส่วนภรรยาทั้งสามก่อนหน้าล้วนได้รับใบหย่า ต้องแบกความอัปยศออกไปจากคฤหาสน์สกุลเติ้ง เพราะพวกนางไม่สามารถมีลูกให้ท่านเติ้งได้” “จริงหรือลูกรัก ทำไมแม่ถึงไม่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงเลยเล่า แค่เคยได้ยินว่าเขาอาจจะมีฮูหยินอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่เปิดเผยตัว” “ข้ายังรู้อีกว่าทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของภรรยาเขาเลย แต่ล้วนผิดที่ตัวเขาเอง จริง ๆ แล้วท่านเติ้งเป็นบุรุษตายด้าน ไร้ความรู้สึก ให้ความสุขกับพวกนางไม่ได้ ซ้ำยังเป็นชายพิการขากระเผลก ต้องนั่งรถเข็นมากกว่าเดิน จึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ไปไหนเพราะอายตัวเอง” “จริงหรือ!” “ก็ข้าได้ยินมาแบบนี้ ท่านแม่ไม่เชื่อข้าหรือ” “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่มันไม่น่าเชื่อต่างหากเล่า” “ท่านแม่เคยเห็นท่านเติ้งหรือ” จูอินรีบส่ายหน้า นางมองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ถึงแม้อยู่ห่างกันเป็นลี้ แต่ความใหญ่โตของมันก็ทำให้เหมือนอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่จั้ง “แม่มาอยู่ที่นี่นานเท่า ๆ กับอายุของซินซิน หลังจากนั้นไม่นานคฤหาสน์ของท่านเติ้งก็ถูกสร้างขึ้น ใช้เวลาสร้างนานนับปีสองปีกว่าจะเสร็จ ประมาณหนึ่งปีต่อมาก็เริ่มขนของเข้ามา แต่แม่ก็ไม่เคยเห็นท่านเติ้งเลยสักครั้ง..” นางทำตาโต “หรือจริง ๆ แล้วพ่อบ้านโปก็คือท่านเติ้ง” หญิงสาวชักสีหน้าเอือมระอากับความคิดของมารดา “ท่านแม่ ทำไมความคิดท่านถึงตื้นเขินเพียงนี้” “ทำไมว่าแม่อีกแล้วหนี่เอ๋อร์” “ท่านคิดว่าคหบดีอย่างท่านเติ้งจะอ่อนน้อมกับคนที่ด้อยกว่าเขาหรือ ท่านแม่รู้ใช่ไหมว่าป้าโปคือเมียของท่านพ่อบ้านโป” นางพูดถึงแม่ครัวที่มักจะพาสาวใช้มาซื้อของในตลาดอยู่ประจำ “นางไม่ใช่ฮูหยินสกุลเติ้งแน่ ๆ” “เอาเถอะ ๆ รีบเอาของพวกนี้ไปส่งที่บ้านท่านเติ้งได้แล้ว” นางจูตัดบท “ข้าไม่ไป ให้ซินซินไปแทนก็แล้วกัน” พูดจบสตรีวัยสิบหกก็หมุนตัวเดินเข้าบ้านทันที ไม่สนใจเสียงเรียกของมารดาสักนิด คฤหาสน์สกุลเติ้ง ไป๋ซินซินนั่งเกร็งอยู่ภายในโถงรับแขก หายใจไม่ทั่วท้องเพราะความใหญ่โตโอ่อ่า และวิจิตรบรรจงของสถานที่ เกิดมาอายุเกือบจะสิบแปดปี เพิ่งจะเคยเข้ามานั่งในบ้านผู้มั่งคั่งเป็นครั้งแรก ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว นางรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นพ่อบ้านเดินนำหน้าสาวใช้ที่คนหนึ่งยกถาดน้ำชา อีกคนยกถาดขนมหลายจานเดินเข้ามา “ลุงโป” “คุณหนูใหญ่เชิญนั่งเถิด ดื่มน้ำชา ชิมขนมสักหน่อย ไม่รู้ว่าถูกปากหรือไม่” “เรียกข้าว่าอาซินหรือเสี่ยวซินเถิดลุงโป อย่าเรียกคุณหนูใหญ่เลย” หญิงสาวกล่าวอย่างละอาย ไม่อาจยอมรับตำแหน่งคุณหนูใหญ่ไว้ได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองนั้นเป็นแค่ลูกติดมารดา และมารดาก็ไม่ได้รักและดีต่อนางสักนิด เมื่อก่อนนางก็เข้าใจว่าตัวเองชื่อไป๋ซินซินมีสกุลว่าจู แต่พอนางอายุสิบห้าถึงวัยปักปิ่น เปลี่ยนจากเด็กสาวมาเป็นหญิงสาว มารดาก็บอกว่านางคือลูกของคนแซ่ไป๋ที่ตายไปแล้ว เป็นสามีคนแรกที่นางไม่เคยรัก นางไม่ใช่คนของสกุลจู ที่ท่านยอมบอกเพราะท่านไม่อยากปิดบัง ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว ดังนั้นอย่าได้รู้สึกเสียใจที่ถูกหมางเมินจากคนสกุลจู เพราะนางก็เป็นแค่กาฝากเท่านั้น ตอนนั้นนางอยากจะถามมารดากลับไปนักว่านางไม่ใช่ลูกของท่านหรือ ทำไมนางถึงกลายเป็นคนอื่นแม้กระทั่งกับมารดา แต่ด้วยสิ่งที่ถูกปฏิบัติมาจากท่านตั้งแต่จำความได้ จึงปิดปากไม่เอ่ยถาม ยอมก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบ ๆ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังให้นางมีที่ซุกหัวนอน มีข้าวให้กิน ดีกว่าต้องไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD