ตอน ผิดพลาด เยียวยา (1)

3198 Words
บทที่ 1 ผิดพลาด เยียวยา วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2556 ยามบ่ายของวันที่แดดแรงจัด พระอาทิตย์แผดแสงจ้า มาลินีประคองรถกลับจากชะอำด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เธอเพิ่งบอกเลิกชายคนรักหลังจากที่เธอใคร่ครวญทุกสิ่งดีแล้วและตัดสินใจยุติความสัมพันธ์อันไม่ปกตินี้ ทั้งสองนัดพบกันเป็นครั้งสุดท้ายในเวลาใกล้เที่ยงบริเวณหน้าหาดเดิมที่ทั้งคู่มาพบกันเป็นประจำตลอดแปดเดือน มาลินีขับรถไปถึงตั้งแต่ช่วงสาย แล้วนั่งรอใต้ร่มไม้ 11.25 น. แซมขับรถของเขามาเช่นที่เคยเป็น เมื่อมองเห็นรถเก๋งวอลโว่สีดำที่เธอจำทะเบียนได้แม่นแล่นมาตามถนน มาลินียกมือขยับนิ้วทักทาย แซมจอดรถห่างจากรถของเธอสองเมตร เธอลุกขึ้น เขายิ้มกว้างและมองเธอทั่วร่าง เธอยิ้มตอบด้วยการขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตามีแววครุ่นคิด ทั้งสองเดินตามกันไปยังหาดทรายที่มีร่มใหญ่ลายสีฟ้าสลับขาวปักเป็นแถว ผู้ค้านำเตียงพับและโต๊ะเตี้ยมาตั้งวางให้นักท่องเที่ยวเช่าเอนหลังนั่งเล่นและกินอาหารเคล้าเสียงคลื่นกระทบฝั่ง แซมเลือกที่ประจำของตนและทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเธอ มาลินีสั่งของกินเล่นสองอย่าง เขาสั่งเบียร์ แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำคนทั้งคู่ แสงแดดจัดแลบเลียผืนทรายที่อยู่นอกเงาร่ม หญิงสูงวัยแบกถาดผลไม้และของขบเคี้ยวเวียนถามไปตามโต๊ะที่มีคนนั่งเอนหลัง มีเสียงมารดาดุว่าเด็กน้อยผู้พี่ที่แย่งของเล่นน้องจากโต๊ะถัดไป ใต้ร่มไม้ใกล้ที่จอดรถมีเสียงเฮฮาของหนุ่มสาวที่นั่งล้อมวงกินอาหารและกับแกล้มอยู่บนผืนผ้าพลาสติก เสียงคลื่นซัดสาดเป็นฟองฝอยเบื้องหน้า เสียงรถราวิ่งสวนกันไปมาบนถนนที่อยู่ด้านหลัง นกน้ำบินวนรอบต้นไม้ใหญ่ มันก็เหมือนทุกครั้งที่ทั้งคู่นัดพบกันบริเวณชายหาดแห่งนี้ทุกสองหรือสามอาทิตย์ ต่างคนต่างขับรถของตนมาพบกันก่อนเที่ยง มาลินีมักมาถึงก่อนเวลานัด เธอชอบดูเกลียวคลื่นของหาดชะอำที่ยาวสุดตา ผู้คนไม่แออัด ทรายสะอาด ชายหาดโล่งกว้าง ไม่นานแซมก็ขับรถเข้ามาจอดเทียบรถเธอ ต่างคนต่างส่งยิ้มให้กันด้วยสายตาลิงโลด เมื่อหาที่นั่งเหมาะเจาะดีแล้วเธอสั่งอาหาร เขาสั่งเครื่องดื่ม ทั้งสองพูดคุยสบตากัน ไม่ถึงชั่วโมงก็ชวนกันลุกขึ้นเดินเล่น เขาโอบบ่าเธอ เธอโอบเอวเขา แล้วต่างขับรถตามกันไปที่ลานจอดของโรงแรมสี่ดาว เข้าเช็คอิน และอยู่ในห้องตลอดบ่าย ช่วงแดดร่มลมตกทั้งสองออกจากห้องพักมาเดินย่ำทรายเปียกและลงเล่นน้ำดำผุดดำว่ายดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน จากนั้นจึงไปล้างเนื้อล้างตัว สวมเสื้อผ้าเบาสบายเดินหาร้านอาหารถูกใจและนั่งฟังเพลงในไนต์คลับก่อนกลับเข้าห้องพักช่วงดึก วันรุ่งขึ้นตื่นมากินอาหารเช้าด้วยกันอีกหนึ่งมื้อแล้วแยกย้าย มาลินีขับรถกลับกรุงเทพฯ แซมขับรถกลับประจวบฯ แต่บ่ายวันนี้เป็นการพบกันเพื่อกล่าวลา ฝ่ายชายแค่เสียดายที่จะไม่ได้ร่วมหลับนอนกับเธออีก ต่างจากมาลินีที่รู้สึกราวหัวใจถูกคว้านจนเลือดสาดเป็นทาง เธอกับแซมรู้จักกันปีที่แล้วผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เขากดไลค์ในโพสต์ของเธอพร้อมแสดงความเห็นแบบหยอกเย้า เธอคลิกดูรูปโปรไฟล์ของเขาที่ใช้ชื่อว่าแซม เธอเขียนเย้าหยอกกลับไป เขาส่งข้อความมาขอทำความรู้จักกับเธอ จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็งอกเงยขึ้นและพัฒนาไปเป็นการนัดพบที่ชายหาดชะอำ แซมบอกเธอว่าเขาทำธุรกิจส่วนตัวที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นโรงงานขนาดเล็ก ไม่มีรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น ส่วนเธอบอกเขาว่าเธอเป็นสาวออฟฟิศ ทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ มีเงินเดือนพอใช้จ่ายเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย เธออาศัยอยู่คอนโดฯใกล้สำนักงาน ซึ่งทั้งสองต่างพูดความจริงในเรื่องของตนเอง แต่ฝ่ายชายพูดไม่หมดเปลือก แท้จริงแซมมีครอบครัวแล้ว ภรรยาเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปอาหารทะเลและเป็นเจ้าของธุรกิจ เดิมเขามาสมัครงานในแผนกควบคุมเครื่องจักร ด้วยความที่ขยันเอาการเอางาน อีกทั้งรูปร่างบึกบึน หน้าตาหล่อเหลา ตัวคนเดียวไม่มีญาติรุงรัง ภายหลังเขาจึงได้เลื่อนขั้นกลายเป็นสามีเจ้าของโรงงาน ภรรยาอายุมากกว่าแซมหลายปี หลังจากมีลูกแล้วสุขภาพเธอก็ทรุดโทรมลง อีกทั้งโหมงานหนักเพื่อรักษาธุรกิจครอบครัวไว้ ทำให้ไม่มีเวลาติดตามพฤติกรรมสามี ส่วนมาลินีเป็นสาวทำงานผู้มีบุคลิกคล่องแคล่ว แต่งตัวทันสมัย มีเงินเดือนพอกินพอใช้ไม่มีภาระต้องเลี้ยงดูใครเนื่องจากเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว แม่เธอเป็นเจ้าของสวนผลไม้ มีญาติพี่น้องเป็นนักการเมืองท้องถิ่นของตำบล พ่อเธอเป็นข้าราชการครูผู้เป็นแบบอย่างอันดีให้นักเรียนทั้งหลายรวมทั้งมาลินีปฏิบัติตาม แต่ความที่เธออ่อนต่อโลก มีนิสัยรักง่าย หลงง่าย ไหลตามอารมณ์ ขาดปฏิภาณ แม้เธอจะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดิบดีอะไรนักที่ไปคบหาชายที่เธอรู้จักผ่านตัวหนังสือเพียงไม่กี่คำบนโลกออนไลน์ แต่เธอก็เชื่อว่าตนสามารถจัดการกับสิ่งที่จะเกิดตามมาได้ เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องยาก เธอเป็นคนยุคปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องเดินตามจารีตแบบเก่าที่จะคบหาใครต้องดูใจกันเนิ่นนาน เธอเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง มาลินีเดินหน้ารับคำเชื้อเชิญของแซม เขาชักชวนเธอให้ออกมาเที่ยวดูทะเลใสสะอาดในวันสุดสัปดาห์เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยตกลงนัดพบกันที่หน้าหาดชะอำ คนละครึ่งทาง เขาขับรถมาจากประจวบฯ เธอขับรถมาจากกรุงเทพฯ การขับรถขึ้นทางด่วนดาวคะนอง ลงถนนพระรามสอง ต่อไปถนนเพชรเกษม เข้าแยกชะอำ ซึ่งใช้เวลาสามชั่วโมงนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับมาลินี เพราะที่ผ่านมาทุกสองเดือนเธอขับรถบนถนนมิตรภาพกลับไปเยี่ยมหาพ่อแม่เธอที่ตำบลมาลาคำ อำเภอปากช่อง นครราชสีมา ก็ใช้เวลาพอกัน เมื่อพบหน้ากันครั้งแรก มาลินียิ้มด้วยความพอใจ เขาดูดีกว่ารูปในโปรไฟล์ ส่วนแซมก็พึงใจที่เธอดูง่ายดายกว่าที่คิดไว้ ทั้งคู่ชวนกันลงนั่งที่เก้าอี้ใต้ร่มผ้าใบริมหาดทราย เธอสั่งอาหาร เขาสั่งเครื่องดื่ม ทั้งสองเริ่มโอภาปราศรัย ทั้งเรื่องงาน เรื่องสังคม การเมือง และเรื่องทั่วๆ ไปตามแต่จะนึกสรรหามาพูดคุย แซมคะยั้นคะยอให้เธอดื่มเบียร์ผสมไวน์ยี่ห้อดีที่เขาหิ้วติดมือลงมาจากรถ รอยยิ้มของเขาทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธ ตกบ่ายเขาบอกว่าเป็นการไม่ปลอดภัยที่เธอจะขับรถกลับกรุงเทพฯ เพราะเธอเริ่มเมาแล้ว เขาเปิดห้องพักที่โรงแรมชายหาดเพื่อให้มาลินีพักผ่อน แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย จากนั้นมันกลายเป็นกิจวัตรประจำทั้งของเขาและเธอทุกสองสัปดาห์ มีบางครั้งแซมขอเลื่อนนัดกะทันหันเพราะมี “งานด่วน” หรืออันที่จริงเป็นเรื่องหน้าที่ต่อครอบครัว ซึ่งมาลินีก็ไม่มีปัญหาและพยายามคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เธอจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่ตำบลมาลาคำเพื่อทำให้พ่อแม่แปลกใจว่าเธอมาก่อนกำหนด มาลินีเคยฉุกคิดอยู่เหมือนกันว่าคนรักของเธออาจมีครอบครัวแล้ว แต่จะเป็นไรไป ใจหนึ่งเธอคิดว่าการมีความสัมพันธ์กับเขาลึกซึ้งเป็นแค่เรื่องชั่วคราว คั่นจังหวะการทำงานประจำที่ซ้ำซาก อีกใจหนึ่งเธอรู้สึกผิดหากเขาไม่ใช่คนตัวเปล่าอย่างที่เธอแอบหวังไว้ เพราะพ่อแม่พร่ำสอนเธอมาตั้งแต่เล็กเรื่องความผิดชอบชั่วดี แต่เธอกลับปล่อยตัวถลำลงไปในหลุมแห่งความปรารถนาซึ่งเธอคิดว่าคงจะถอนตัวขึ้นได้ไม่ยากหากเธอต้องการ เธอไม่รู้ตัวว่ากำลังเล่นกับไฟ เพราะความผูกพันทางอารมณ์ของหญิงกับชายนั้นต่างกัน ยิ่งวันมาลินียิ่งเพิ่มพูนความรักความคิดถึงแซมมากขึ้น มันทวีตัวขึ้นทุกคราวที่ได้พบกัน เขาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีในวัยสามสิบกว่า เธออยู่ในวัยยี่สิบห้า ทั้งคู่มีพลังล้นปรี่ วันหนึ่ง เธอถามเขาทีเล่นทีจริงขณะสวมใส่เสื้อผ้าในห้องพักที่โรงแรมชายหาด “คุณอยากแต่งงานกับฉันไหม เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกวัน” แซมชะงักขณะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง “คุณว่าไงนะ” เขาถามให้แน่ใจว่าเขาฟังไม่ผิด “ฉันถามว่า คุณ อยาก แต่งงาน กับ ฉัน ไหม” มาลินีพูดย้ำทีละคำ แซมลุกขึ้นนั่งริมขอบเตียง เขากะพริบตาสองสามครั้งขณะนึกคำตอบ “คุณทำงานที่กรุงเทพฯ ผมมีงานต้องทำที่ประจวบฯ สองสามอาทิตย์มาพบกันทีก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือ ไม่เห็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรนี่” เขาเดินเข้ามาโอบเธอจากทางด้านหลัง จากนั้นเหตุการณ์ก็เข้ารูปแบบเดิมในอีกหลายครั้งแห่งการนัดพบ รุ่งเช้าเขาขับรถกลับประจวบฯ เธอขับรถกลับกรุงเทพฯ และแล้วด้วยความอยากรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น ทั้งที่มาลินีเคยบอกตนเองว่าไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดของชีวิตแซม เพราะความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเรื่องชั่วคราว วันหนึ่งในเวลาพักเที่ยง เธอคลิกเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายของเธอ ไม่ใช่เรื่องยากในยุคสมัยนี้ แค่สืบจากรูปใบหน้าของเขาผ่านแอ็ปพลิเคชั่น เธอก็เห็นภาพทุกคนในครอบครัว ทั้งลูกน้อย ภรรยา เพื่อนฝูง แม้กระทั่งบ้านช่องที่อยู่อาศัย เธอส่งข้อความไปบอกแซมว่าเธอทราบความจริงแล้ว เขาเงียบไป มาลินีใช้เวลาตลอดอาทิตย์ตัดสินใจ ใจหนึ่งเธอคิดว่าก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เราคบกันอย่างนี้ไม่มีใครรู้ เธอไม่ได้แย่งชิงของรักใคร แค่มาพบกันเป็นครั้งเป็นคราว แซมยังเป็นสามีของภรรยา เป็นพ่อของลูกเขา เธอไม่ต้องการครอบครองผู้ชายคนนี้ เธอไม่ได้ยื่นคำขาดหรือเรียกร้องอะไร เธอขับรถมาพบเขาด้วยตัวเอง เธอแชร์ค่าอาหารและค่าโรงแรมเท่ากับเขา ไม่มีใครเสียเปรียบใคร แต่มุมหนึ่งของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มาลินีนึกถึงพ่อแม่ผู้ซึ่งอยู่ตำบลมาลาคำ ทั้งสองพร่ำสอนเธอมาตั้งแต่เล็กถึงเรื่องศีลธรรม นำเธอเข้าวัดและทำกิจกรรมที่กล่อมเกลาจิตใจลูกสาวคนเดียวให้เติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคม แปดเดือนที่ผ่านมาแม้เธอจะมีความสุขสมใจกับความรักความใคร่ที่เธอไม่เคยประสบมาก่อน แต่เหมือนกับมีค้อนเล็กๆในสมองที่คอยกระทุ้งบอกเธอทุกครั้งที่เธอขับรถกลับกรุงเทพฯว่าเธอกำลังเดินผิดทาง และหากเธอยังเดินหน้าต่อไปกับเรื่องนี้ เธอจะปีนขึ้นจากหลุมนรกอย่างลำบาก มาลินีถามตัวเองว่าเธอกำลังหาความสุขให้ตัวเองจริงๆหรือ เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ขณะอยู่ในห้องทำงานที่บริษัท เธอรู้สึกเศร้าใจ ตกค่ำมาลินีนั่งเพ่งมองเปลวเทียนที่เธอจุดไว้ริมหน้าต่างคอนโดฯ หัวสมองหนักอึ้ง เธอจะใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ มันจะจบลงอย่างไร เธอจะทนไหวหรือเปล่าถ้ารอให้เขาตัดสินใจเลือก และถ้าบังคับให้เขาเลือก เธอรู้แน่ว่าเขาจะเลือกอะไร เธอขอนัดพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย และวันนี้คือวันนัด “เมียผมเขาไม่มาวุ่นวายอะไรกับชีวิตของเราหรอก เขาชอบทำงาน และเขาก็รู้ตัวว่าอายุมากแล้ว ให้ความสุขผมไม่ได้อย่างที่ผมต้องการ” แซมพูดแข่งกับเสียงคลื่นและมองไล้ไปตามร่างกายของเธอ “คุณทำให้ผมมีความสุขมาก คุณเติมเต็มชีวิตผม คุณทำให้ผมรู้สึกเป็นผู้ชายเต็มตัว” เธอไม่พูดอะไร “คุณเองก็รู้มาแต่แรกไม่ใช่หรือว่าผมมีครอบครัวแล้ว” เขาถามพลางจิบเบียร์เย็นๆ เท้าของเขาขยับเสียดสีผืนทราย มาลินีกะพริบตาและพยายามหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เธอยอมรับว่าเรื่องที่เขามีครอบครัวแล้วเป็นเรื่องที่เธอหรือใครๆ คาดเดาได้ เพียงแต่เธอไม่เคยสืบหาหรือเอ่ยปากถาม เพราะเธอเกรงว่าข้อมูลที่ได้มาหรือคำตอบของเขาจะทำให้ทุกอย่างพลิกผัน เธอเริ่มเจ็บหน่วงในความรู้สึก มันเสียดแทงใจมากขึ้น เหมือนมีปลายเข็มแหลมคอยทิ่มแทงให้เลือดไหลหยดไม่ขาดสาย มาลินีนั่งมองคลื่นที่สาดซัดชายหาดเนิ่นนาน เธอไม่ได้แตะต้องอาหารและเครื่องดื่มที่เขาสั่งมา เธอไม่ฟูมฟาย ไม่แม้แต่จะต่อว่าต่อขานหรือใช้คำพูดเชิงน้อยใจ เธอแค่บอกเขาว่า “จากนี้ไปฉันจะไม่มาพบคุณอีก” เขานั่งมองเธอสลับกับมองคลื่นที่เธอมอง ไม่เปิดปากพูดอะไรออกมา เหมือนรอเวลาให้เธอเปลี่ยนคำพูด มาลินีมองแดดที่แผดจ้า ผิวของเธอร้อนผ่าว เธอปล่อยให้ลมพัดปะทะใบหน้าจนชาสาสมใจแล้วเธอก็ลุกขึ้น หันหลังเดินไปที่รถ แล้วขับออกไป แซมมองท้ายรถมาลินีที่ขยับเคลื่อนต่อแถวกับรถคันอื่นที่กำลังหาที่จอดริมหาด เขาเหยียดยิ้มที่มุมปากก่อนเอนกายลงกับเตียงผ้าใบ เขาหลับตาครู่หนึ่งแล้วควานมือหยิบโทรศัพท์จากบนโต๊ะ เขากดหมายเลขอัตโนมัติ มีเสียงเรียกสองครั้ง “ฮัลโหล” ผู้หญิงคนหนึ่งรับสาย “แมว ว่างไหม เจอกันหน่อย” แซมกรอกเสียงลงไป “พี่แซมเหรอ หายไปเลยนะ งานเยอะหรือจ๊ะ หรือกำลังเพลินกับกิ๊กเบอร์ใหม่” ผู้หญิงชื่อแมวตอบด้วยเสียงใส่จริต “ยังอยู่หัวหินหรือเปล่า” แซมถาม “ยังอยู่จ้ะ แต่วันนี้เดินสายมารับงานที่แม่กลอง แขกนัดไว้ มารอนานแล้วยังไม่เห็นหัวมันเลย” “ถ้าแขกนัดไว้แล้วผิดเวลาก็ยกเลิกไป เดี๋ยวพี่ไปเสียบแทน เมื่อย อยากหาคนนวด” “จะให้หนูนวดให้หรือจะนวดหนู คนละราคานะ” เสียงเจือหัวเราะพูดขึ้น “ก็ทั้งสองอย่าง รออยู่ที่แม่กลองนะ เดี๋ยวพี่ไปหา ถ้าแขกที่นัดไว้มาแล้วก็โบ้ยมันไป อยากไม่ตรงเวลา เดี๋ยวพี่ให้ติ๊บหนักๆ” “ได้จ้ะพี่ ขับรถดีๆนะ เดี๋ยวหนูกินส้มตำรอหน้าโรงแรมละกัน” แล้วอดีตชายคนรักของมาลินีก็ขับรถจากชายหาดชะอำ ผ่านอำเภอเมืองเพชรบุรีและอำเภอเขาย้อย ตรงลิ่วสู่อำเภอแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม แซมพาหมอนวดร่างอวบอัดเข้าเช็คอินในโรงแรมที่นัดหมายก่อนบ่ายสี่โมง เขาไม่เจอเธอผู้นี้หลายเดือนแล้วนับจากที่เขานัดพบประจำกับมาลินี เธอมีฝีมือนวดดีใช้ได้ แต่ที่ใช้ได้ดียิ่งกว่านั้นคือบริการพิเศษที่เธอทำเป็นครั้งคราวให้ลูกค้าบางคนนอกเหนือจากอาชีพประจำที่ทำรายได้ไม่มากนัก แซมสั่งอาหารและเครื่องดื่มไปกินในห้องหลังจากหญิงชื่อแมวนวดให้เขาอย่างสบายตัวเป็นเวลาสองชั่วโมง แล้วเขาก็ตกลงราคากับเธอในเรื่องบริการพิเศษ เขาคิดแค่ว่าวันนี้ขับรถออกจากประจวบฯ มาแล้วตั้งแต่เช้า เมื่อพลาดจากมาลินี เขาก็ไม่อยากเสียเที่ยวกลับบ้านโดยไม่ได้เสพสิ่งที่เขาตั้งใจมาเสพ เขากับหมอนวดหญิงนอนค้างหนึ่งคืนด้วยกันที่โรงแรมหลังจากใช้เวลากับกิจกรรมทางเพศยาวนานจนหลังเที่ยงคืน สายวันรุ่งขึ้น เมื่อแซมงัวเงียตื่นขึ้นมา เขาพบว่าหญิงชื่อแมวหายตัวไปพร้อมด้วยเงินสดทั้งหมดในกระเป๋าสตางค์ของเขา รวมทั้งนาฬิกายี่ห้อดี สร้อยคอทองคำคล้องพระเครื่องล้ำค่าสามองค์ แหวนทองคำขาวประดับมรกต แต่กุญแจรถและบัตรต่างๆ ในกระเป๋าสตางค์ยังอยู่ครบ ศีรษะของเขาปวดแทบระเบิดจากพิษยานอนหลับอย่างแรงที่ถูกผสมในเครื่องดื่ม เขานั่งคอพับคออ่อนครู่ใหญ่พร้อมกับนึกสมน้ำหน้าตัวเอง ถ้าเขาตัดสินใจกลับประจวบฯ ตั้งแต่บ่ายวันวาน เขาคงไม่เคราะห์ร้ายอย่างนี้ เขาพยุงร่างลุกขึ้นและอาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้า เขาปวดมึนศีรษะจนเดินเซ เวลาสิบเอ็ดโมงแซมสตาร์ทรถออกจากโรงแรมและประคองพาหนะให้แล่นมาตามทาง ผ่านดอนหอยหลอดไม่นานก็ถึงทางแยกต่างระดับวังมะนาวอันเป็นปากประตูสู่ภาคใต้ แซมขับรถเรื่อยไปขณะสมองไม่พร้อมทำงาน ก่อนถึงตลาดเขาย้อยเขาขับตีคู่มากับรถบัสคันใหญ่ซึ่งวิ่งอยู่เลนซ้าย ส่วนเขาอยู่เลนกลาง แล้วเขาก็เหยียบคันเร่งออกหน้าขึ้นไป ทันใดนั้นรถบรรทุกพ่วงที่แล่นฉิวอยู่ข้างหน้ารถบัสแรกหักพวงมาลัยออกขวาอย่างกะทันหันเพื่อหลบรถมอเตอร์ไซค์ที่พุ่งพรวดออกมาจากรั้วโรงงาน เขามองเห็นหัวรถบรรทุกพ่วงส่ายวูบเขามาในเลนกลาง แต่สมองที่เซื่องซึมไม่ยอมสั่งการให้เท้าแตะเบรก หน้ารถของเขาสะกิดกับท้ายรถพ่วงและแฉลบหมุนคว้างออกไปฟาดโครมกับต้นสักที่เรียงเป็นแถวริมทาง กระดูกต้นคอของเขาสะบัดเคลื่อนออกจากกัน แซมเสียชีวิตทันที ตลอดสัปดาห์หลังจากวันนั้นมาลินีก้มหน้าก้มตาทำงาน เธอแทบไม่พูดจากับใคร ใบหน้าเธอเรียบเฉยจนเพื่อนร่วมงานต่างขยาดไม่กล้าเข้าใกล้ เธอพยายามทำงานให้ลุล่วงไปแต่ละวันแล้วกลับคอนโดฯ ที่เธอพักอาศัยอยู่คนเดียว เธอโทรศัพท์คุยกับพ่อแม่นิดหน่อย กินอาหารพอประทังความหิว ดูโทรทัศน์ อาบน้ำ เข้านอน เช้าก็ขับรถเข้าที่ทำงาน พอถึงวันศุกร์มาลินีทนต่อไปไม่ไหว เธอยื่นใบลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์ หัวหน้างานผู้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเธอมาหลายวันรีบเซ็นอนุมัติให้ทันที เขาบอกเธอให้พักผ่อนเต็มที่แล้วค่อยกลับมาคุยกัน รุ่งขึ้นวันเสาร์ มาลินีแพ็คของใส่กระเป๋าโยนเข้าท้ายรถ เธอไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่ที่ตำบลมาลาคำ เธอเลือกเส้นทางขึ้นเหนือและขับรถอย่างเร็วบนถนนใหญ่ด้วยอารมณ์หมองหม่น เธอไม่อาจหยุดคิดถึงเขา เธอถอนตัวออกจากเรื่องนี้ได้ แต่ใจเธอถอนไม่ขึ้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD