ตอนที่ 2 / 2

2281 Words
'โห...ขนาดนี้เชียว'                                                          ข้อความนี้ถูกส่งกลับมา หลังจากที่อรุษได้ถ่ายรูปรางวัลที่ยอดเป็นรูปดาว และมีความสูงนับจากฐานประมาณหนึ่งฟุตเพื่อส่งไปให้ใครบางคนดู  ตอนนี้มันก็ได้หักเป็นสองท่อนเรียบร้อยแล้ว                                                                                   'ครับ'                                                                             'งั้น เดี๋ยวพี่จะลองประสานไปทางฝ่ายจัดงานดูนะ น่าจะช่วยเปลี่ยนให้ได้แหละ นี่มันเหตุสุดวิสัยนี่ และเป็นรางวัลแรกทางการแสดงของรุษด้วย'                                                          'ขอบคุณครับ พี่จ๋า'                                                          เขาพิมพ์ข้อความตอบกลับ อย่างไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำไหนดีอีก         'งั้น เดี๋ยวสามโมงเจอกันที่คอนโดรุษ พี่จะไปรับ'                  'ครับ พี่จ๋า'                                                                     พี่จ๋า ยศธนา ผู้จัดการส่วนตัวของอรุษ เมื่อคืนอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เพราะหลังจากกลับออกจากงานประกาศผลรางวัล ยศธนาก็ขอตัวกลับก่อนเนื่องจากมีนัดกับแฟนหนุ่มรุ่นน้อง และหลังจากที่อรุษได้แวะไปส่งยศธนาที่คอนโด ชายหนุ่มก็รีบกลับคอนโดของเขาทันที ระหว่างทางรถติดไฟแดง ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่ารถติดไฟแดงที่กรุงเทพฯ นั้นกินเวลายาวนานแค่ไหน ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจอย่างไม่รู้จะทำอะไรตอนนั่งรอนาน  ๆ ทำให้เขาต้องหยิบรางวัลแรกของการเป็นนักแสดงขึ้นมาดูด้วยความภูมิใจไปด้วย                                                                  มัวแต่หลงเพลิดเพลินอยู่กับรางวัล จู่  ๆ ไฟแดงที่กินเวลานานเป็นชาติก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียวขึ้นมาทันที ทำให้เขาต้องรีบขับรถออกไป โดยที่มือข้างนั้นก็ยังเผลอถือรางวัลอยู่ และพอขับไปได้ไม่เท่าไหร่กะจะวางรางวัลนั้นลง                                                อรุษก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งออกมาชนรถหรูของเขาอย่างจัง ด้วยความตกใจทำให้เขารีบเหยียบเบรกอย่างแรงจนหน้าทิ่ม แล้วมือที่กำรางวัลอยู่นั้นได้เผลอเอาไปฟาดเข้ากับส่วนไหนของรถไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวก็พบว่ามันได้หักออกเป็นสองท่อนไปแล้ว                                                                              เท่านั้นยังไม่พอ เพราะรถที่พุ่งมาชนได้ล้มลง เขาจึงรีบลงจากรถเพื่อจะไปดูอาการอีกฝ่าย แล้วจึงเกิดเหตุการณ์แย่ ๆ กับเขาตามมาอีก                                                                           เช้านี้...ชายหนุ่มเลยต้องรีบติดต่อไปหาพี่จ๋า เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยเหลือประสานงาน ทั้งเรื่องสูทของสปอนเซอร์ที่เปรอะคราบของเหลว ที่ผู้ชายคนนั้นได้สำรอกออกมาทางปาก กับเรื่องรางวัลที่เสียหายด้วยอีกทันที                                                            เมื่อคืน...ที่เขาไม่ได้เอาเรื่องเอาราวกับสองพ่อลูกนั่น ก็เพราะเห็นว่ามันดึกมากแล้ว เขาต้องการพักผ่อน เนื่องจากเมื่อวานเขาก็เหน็ดเหนื่อยจากการถ่ายรายการหนึ่งที่ต่างจังหวัด พองานเสร็จก็รีบร้อนขับรถกลับกรุงเทพฯ เพราะต้องมาร่วมงานประกาศผลรางวัลที่มีชื่อของเขาเป็นผู้เข้าชิงรางวัลด้วย                     อีกอย่าง อรุษไม่อยากให้เรื่องนี้กลายไปเป็นข่าวดังตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามเพจดัง  ๆ หรือตามเว็บไซต์อื่น  ๆ เพราะเขาไม่อยากให้เรื่องมันทราบไปถึงหูคุณป้าผู้แสนดี และคุณยายผู้แสนจะเคร่งครัดไปกับทุกเรื่อง เขาจึงต้องรีบจบเรื่อง โดยทำแค่อบรมลูกสาวของผู้ชายคนนั้นอย่างชุดใหญ่ไฟกะพริบไปแทน         'คุณรู้มั้ย การที่ให้พ่อคุณที่กินเหล้าแล้วเมาแบบนี้มาขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง จะเป็นอันตรายกับคนอื่นและพ่อของคุณมากแค่ไหน!'                                                                                  'แล้วรู้มั้ย ว่าถ้ารถที่พ่อคุณขี่มาชน ไม่ใช่ผม พวกคุณจะต้องทำอย่างไร! '                                                                   'และรู้อีกมั้ยว่าถ้าผมขับรถมาเร็วกว่านี้ เรื่องมันจะเป็นยังไง! หึ คนอื่น  ๆ ที่เขาใช้รถใช้ถนนอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จะต้องมาซวยไปด้วยกับพวกที่กินเหล้าเมาแล้วไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างนี้ยังไงเล่า! '                                                                      หญิงสาวคนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมาหรอก และเขาก็เห็นเธอมีอาการหน้าซีดเซียวปากสั่นไปเหมือนกัน ก็แน่ล่ะ ต่อให้เขาจะด่า จะต่อว่าเธอและพ่อแค่ไหน เธอก็ไม่มีสิทธิ์มาโอดครวญหรือเถียงกลับฉอด ๆ อยู่แล้ว แค่เขาไม่เอาเรื่องก็นับเป็นความปราณีอย่างที่สุด ที่เขาได้มีให้เธอและพ่อไปแล้ว                             อรุษถอนหายใจ พลางก้มมองรางวัลที่วางอยู่บนเตียงนอนอันยับยู่ยี่ ก่อนจะหยิบมันขึ้นไปวางบนโต๊ะใกล้กับโทรทัศน์จอแบนเรียบ พร้อมกับถอนหายใจแรง  ๆ อีกครั้ง เพื่อจะดึงตัวเองกลับมาทบ ทวนว่าวันนี้เขามีงานที่ไหนอีกบ้าง                                   อ้อ วันนี้เขามีอยู่งานเดียว ซึ่งเป็นงานอีเวนต์ของสินค้าตัวหนึ่งที่เขารับเป็นพรีเซ็นเต้อร์ ณ ห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งตอนหกโมงเย็น แต่เขาก็ต้องไปก่อนเวลางาน เพราะจะต้องบรีฟงานกับบริษัทออแกไนซ์เจ้าดังที่รับจัดงานนั้น แล้วก็ต้องซักซ้อมเดินบนเวทีตามบล็อกกิ้งที่วางไว้อีก                                         เสร็จงาน รวมไปถึงหลังจากได้พบปะแฟนคลับที่นัดหมายกันไปเจอที่ห้างสรรพสินค้านั่น ก็คงราว ๆ สามทุ่ม จากนั้นก็จะเป็นเวลาพักผ่อนที่เขาถวิลหาตลอด ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะสัปดาห์นรกที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้เขาได้ทำงานจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่เลยทีเดียว           ส่วนวันพรุ่งนี้ สิบโมงเช้าเขามีนัดประชุมกับผู้จัดละคร ผู้กำกับการแสดง รวมไปถึงนักแสดงหลักของละครเรื่องหนึ่งที่เขาได้รับเล่นเป็นพระเอกอีกครั้ง และละครเรื่องนี้เองก็จะมีการฟิต  ติ้งชุดและเปิดกล้องถ่ายทำกันประมาณต้นเดือนหน้า ทีนี้ก็ลากยาวไปเป็นปี ๆ กว่าละครเรื่องหนึ่งจะถ่ายทำเสร็จจนมีการปิดกล้อง แล้วครั้งนี้ชีวิตของเขาก็คงจะวนลูปกลับมาผจญกับความเหน็ดเหนื่อยอีกครั้ง ทั้งงานถ่ายละคร งานถ่ายแบบ งานอีเวนต์ งานถ่ายทำโฆษณาสินค้าหลากหลายตัวจากของปีที่แล้ว ที่กำลังจะมีการต่อสัญญากันอีก รวมไปถึงสินค้าตัวใหม่ ๆ ที่พี่จ๋ากำลังดูรายละเอียดเรื่องสัญญาอยู่อีกด้วย                                           แต่แม้จะเห็นความเหน็ดเหนื่อยมากมายในอนาคต อรุษก็พบว่า นี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งจากการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักเช่นกัน  เมื่อพูดถึงอาชีพนักแสดง นายแบบ ตอนแรก อรุษไม่เคยคิดว่าชีวิตของเขาจะมีโอกาสได้เฉียดใกล้อาชีพนี้ แต่เพราะเขาถูกบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมหรอก หึ! ใครจะไปคิดว่า คนที่มีทั้งคอนโดหรูหราติดแม่น้ำเจ้าพระยาให้อยู่ มีรถยนต์ราคาเหยียบสิบล้านให้ขับ มีวงเงินให้ใช้จ่ายในแต่ละวันอย่างไม่อั้น จะกลายมาเป็นคนเสมือนล้มละลายได้ภายในวันเดียว เพียงแค่...เขาจาพูดไม่เข้าหูคุณยายเท่านั้น...                                                                    อรุษยังจดจำสภาพอย่างกับคุณชายตกอบของตนได้อยู่เลย                                                                              ประมาณสองปีที่แล้ว คืนหนึ่งขณะที่เขากำลังนั่งดื่มเคล้าเสียงเพลงที่เลาจ์ของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง จู่ ๆ พนักงานคนหนึ่งก็เดินมาหาด้วยสีหน้าเคร่ง แล้วบอกว่า 'เอ่อ คุณรุษคะ บัตรเครดิตใบนี้เหมือนจะมีปัญหาค่ะ มันใช้ไม่ได้ ไม่ว่าทราบ คุณรุษพอจะมีบัตรเครดิตใบอื่นอีกมั้ยคะ'                                                 อรุษจึงเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเอาบัตรเครดิตใบอื่นออกมาแล้วยื่นให้พนักงานด้วยอาการมึน ๆ แต่ทุกครั้งก็ลงท้ายเหมือนเดิม ที่พนักงานจะต้องเดินหน้าเคร่งกลับมาเพื่อบอกว่า 'บัตรมีปัญหา ใช้การไม่ได้'                                                       ตอนนั้นอรุษยังไม่ติดใจอะไรมากเพราะยังมึนอยู่กับฤทธิ์ของเครื่องดื่ม กระทั่งตอนเช้าพอสร่างเมาเท่านั้น แม่เลขาฯคนเก่งของคุณยายก็มาพบเขาที่คอนโด แล้วแจ้งให้เขารีบทำการย้ายออกจากคอนโดหรูทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า คุณยายได้ยกคอนโด นี้ให้สามีภรรยาชาวต่างสัญชาติคู่หนึ่งเช่าต่อแล้ว                          แถมก่อนจะกลับ แม่เลขาฯคนเก่งก็ไม่ลืมที่จะขอกุญแจรถหรูทรงสปอร์ตที่เขาใช้ขับคืนอีกด้วย นั่นเองเขาถึงได้รู้ว่า อ้อ เมื่อคืนที่บัตรเครดิตหลายใบมันใช้การไม่ได้ ก็เพราะคุณยายได้สั่งระงับการใช้เอาไว้ทั้งหมดแล้วนี่เอง                                             คุณยายคิดจะใช้ไม้แข็งกับเขาจริง ๆ หรือ ท่านคงคิดว่าเมื่อบีบเขาให้จนมุมทุกทางแล้ว หลานชายคนเดียวจะต้องซมซานกลับไปขอความช่วยเหลือจากท่านน่ะสินะ...                                    หึ! คนอย่างอรุษ แม้จะกลายมาเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกยืนเคว้งขว้างอยู่กลางห้องพักหรูหราแล้วแต่เขาก็ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ เขาเริ่มตั้งสติโดยเริ่มจากเปิดกระเป๋าสตางค์เพื่อสำรวจจำนวนเงินสดที่เหลืออยู่ พร้อมกับขบคิดหาสารพัดวิธีที่จะต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้กับเงินเพียงเท่านั้น แต่นอกจากจำนวนเงินสดที่เหลือแล้ว อรุษก็ได้เห็นนามบัตรของใครคนหนึ่งซุกเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์อีกด้วย  นามบัตรใบนี้ เขาจำได้ว่าเคยมีชายร่างตุ้งติ้งวิ่งตามเขาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ไม่พูดพล่ามทำเพลงรีบแนะนำตัวอย่างรวดเร็วว่าเป็นโมเดลลิ่ง คอยหาคนแคสติ้งงานโฆษณา และถ่ายแบบ หากเขาสนใจให้ติดต่อกลับไปที่นามบัตรนี้ แล้วชายรูปร่างตุ้งติ้งนั้นก็ยัดนามบัตรใบนี้ลงในฝ่ามือเขาตามอีกด้วย  ตอนนั้น อรุษได้หยิบนามบัตรใบนี้มาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อด้วยอาการเฉยชา เขาไม่มีความคิดจะติดต่อกลับไปหาผู้ชายคนนั้นด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ชอบ และไม่สนใจงานประเภทนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเป็นค่อนข้างขี้อายและเก็บตัว แต่ใครจะไปคิดว่า ในช่วงเวลาแห่งความขัดสน สิ่งที่เขาบอกว่าไม่ชอบและไม่มีทางทำ จะกลายมาเป็นหนทางรอดเดียวที่เขามีอยู่     อรุษจึงรีบติดต่อกลับไปหาเจ้าของนามบัตรใบนี้ทันที    จากนั้น พี่จ๋าก็ได้พาเขาไปแต่งตัว และถ่ายรูปในอิริยาบถต่าง  ๆ เพื่อใช้เสนอต่อสินค้าอื่น  ๆ ที่กำลังประกาศหานายแบบและนางแบบเพื่อถ่ายโฆษณาพรีเซ็นต์สินค้า...แล้วใครจะไปคิด จากเสือยิ้มยากแถมมีแววตากระด้างคนนี้ จะดันไปเข้าตาเจ้าของสินค้าที่เป็นโรลด์ออนสำหรับผู้ชายเข้าจนได้ นั่นเอง คือจุดเริ่มต้นแรกของงานในวงการบันเทิง…  และหลังจากที่โฆษณาตัวนั้นออกอากาศได้แค่วันเดียว ด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่มีมนตร์เสน่ห์อยู่ในตัวเอง ทำให้ทั้งนายแบบและสินค้าตัวนั้น ต่างก็ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก แล้วชื่อของ 'อรุษ' ก็ถูกพูดถึงตามทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ผู้จัดละคร รวมถึงช่องโทรทัศน์ใหญ่รายหนึ่งก็รีบติดต่อให้เขาเข้าไปเทสหน้ากล้องทันที เพราะขณะนั้นทางช่องกำลังมีโปรเจกต์ปั้นนักแสดงหน้าใหม่ขึ้นมาอยู่พอดี หลังจากผ่านการเทสหน้ากล้องและแคสติ้งไปแล้ว กลายเป็นว่าบุรุษที่ไม่ค่อยยิ้ม และดูเย่อหยิ่งอย่างเขาจะเหมาะสมกับบทบาทของ 'ท่านชายอโนราช' ในละครฟอร์มยักษ์ของช่องเข้าไปอีก                                                         นั่นคือจุดหักเหต่อมา ที่ทำให้เขาได้รับบทบาทเป็นพระเอกละครเรื่องดังเป็นครั้งแรก           แต่งานทางด้านการแสดง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา เพราะกว่าจะมีการเปิดกล้องถ่ายทำได้เขาก็ถูกส่งไปละลายพฤติกรรม ทำเวิร์กชอปร่วมกับนักแสดงหลักคนอื่น ๆ รวมไปถึงการต้องเรียนแอ็กติ้งเพิ่มจากครูสอนแอ็กติ้งชื่อดังอีกหลายเดือนกว่าจะเป็นที่พอใจของผู้กำกับคนดังท่านหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่เคยผ่านงานทางการแสดงมาก่อน แถมมีบุคลิกแข็ง ๆ ทื่อ ๆ เคยแต่ผ่านงานถ่ายแบบและโฆษณาไม่กี่ตัว สำหรับการแสดงจึงเป็นเรื่องที่ยากพอควร ทีแรก ทางช่องโทรทัศน์แทบจะถอดใจจากเขา แล้วเรียกนักแสดงชายคนอื่นมารับบทท่านชายอโนราชแทน แต่เพราะผู้กำกับท่านนั้นได้ยืนยันเป็นเสียงแข็งว่า บทท่านชายอโนราชจะต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น นั่นเองจึงทำให้อรุษเกิดความมุมานะ คิดอยากจะเอาชนะตัวเองและเอาชนะคนอื่นขึ้นมา                                                        สุดท้าย เขาก็สู้ฝ่าฟันจนผู้จัดละครและผู้กำกับคนดังสามารถเปิดกล้องถ่ายทำละครเรื่องนั้นจนได้                                    และแล้วละครแรกในบทท่านชายผู้เย่อหยิ่งไว้ตัว ก็ส่งให้เขาดังเป็นพลุแตก นับตั้งแต่วันแรกที่ละครได้ออนแอร์จนกระทั่งละครอวสานลาจอไป และเมื่อคืนละครเรื่องนี้ก็นำรางวัลอันน่าภาคภูมิใจมาสู่เขาอีกครั้งด้วย แต่อนิจจา ใครจะไปคิดว่าอายุของรางวัลที่เขาได้รับ มันจะสั้นเสียยิ่งกว่าวงจรชีวิตยุงลายตัวหนึ่ง ซึ่งพอรับมาปุ๊บก็ถึงกาลแตกหักปั๊บในทันที                                                                                               
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD