4. เรื่องที่ยอมไม่ได้

1255 Words
8.30 น. “ตายห่า! ทำไมรถเพียบไปหมดเลยวะไม่ว่างสักช่อง” เช้าวันถัดมากับเรื่องวุ่นๆ ของสาวเออีหน้าสวยประจำบริษัทโฆษณาสัญชาติไทย-มาเลเซีย เพราะมื้อดึกเมื่อคืนตามเดิมเบียร์วุ้นจากห้องข้างเคียงทำเอาเอลี่หลับสนิทเป็นตาย กว่าจะรู้ว่าตื่นสายก็เกือบแปดโมงเช้า สาวเจ้าอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ และเร่งรีบมาทำงานในสภาพที่หาดูได้ยาก เสื้อและกระโปรงทรงสุภาพง่ายๆ ใบหน้าลงสกินแคร์บางๆ และไร้เมคอัพ แม้จะผิดแปลกไปจากเดิมอย่างที่เคยเป็น เพราะคนที่เป๊ะทุกตรง ตั้งแต่หัวจรดเท้ายอมหน้าสดมาทำงานพร้อมเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาสุดๆ “จอดตรงนี้แหละวะ” เออียังสบถซ้ำๆ เดิมๆ เกี่ยวกับที่จอดรถภายในอาคาร เมื่อหาที่ว่างให้กับเจ้าลูกรักสีดำสนิทแต่งสวยรอบคันแล้วเอลี่ก็รีบจ้ำอ้าวออกรถไปยังลิฟต์โดยสารทันใด เวลาเข้างานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วและเธอต้องไม่มีประวัติสายไม่ว่ายังไงก็ต้องไม่มี “แปดโมงสี่สิบห้า! ลิฟต์แม่งก็ช้าจังวะ! โอ๊ยจะบ้าตาย” ติ๊ง ทันใดนั้นเองประตูลิฟต์โดยสารก็เปิดขึ้นในทันตา คนด้านในใช้สายตาเย็นเฉียบเจ้าของใบหน้านิ่งเรียบมองมายังเอลี่ ตาสงคนต่างสบตากันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่คนในลิฟต์จะพูดว่า “ทำห่าอะไรวะ จะเข้าไม่เข้า” “เออๆ! ไม่คิดว่าจะเจอมึงในลิฟต์” “อืม...” หญิงสาวอีกคนตอบกลับเสียงเรียบ อ้ายอันไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมงานแต่อย่างใด เธอยืนซดกาแฟดำร้อนๆ ในแก้วดังโฮก “แม่งช้าจังวะ” คนรีบร้อนร้อนใจสบถอีกครั้ง ลิฟต์โดยสารดีดตัวเองอย่างเชื่องช้าสวนทางกับเวลาแต่ละวินาทีที่ติดสปีดเร็วราวสายตาแลบ “ใครมันกดลิฟต์เล่นวะ จอดแม่งทุกชั้นเลย” “ปัดโธ่เว้ย!!” “เฮอะ!” อีกคนฮึดฮัดร้อนใจกับความเฉยชาของลิฟต์เจ้ากรรม แตกต่างจากอีกคนที่ใจเย็นผิดปกติและกำลังพยายามซ่อนรอยยิ้มร้ายไว้อย่างแนบเนียน เรื่องสแกนนิ้วเข้างานสายเป็นอะไรที่เอลี่รับไม่ได้ คนอย่างมันไม่ยอมให้ประวัติการทำงานต้องแปดเปื้อน ตลอดสี่ปีภายใต้สังกัดพนักงานการของเดอะวัน ไม่ว่าจะสิทธิ์ลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน ลาคลอดลาอบรมใดๆ ไม่เคยใช้ จะเมา จะแฮงค์ มากแค่ไหน ก็จะเห็นเอลี่คนงามมาทำงานตรงเวลา เธอจริงจังกับการทำงานชนิดที่ว่าเป๊ะทุกอย่าง เป็นเออีที่มียอดขายมากที่สุด ระเบียบวินัยก็ดีอย่างไม่มีที่ติ เอลี่จึงได้รางวัลพนักงานดีเด่นถึงสี่สมัยซ้อน “มึงนี้หนวกหูชะมัด” “มึงแหละผิด” “เอ้า” “ไม่คิดจะปลุกกันบ้างรึไง มึงก็เห็นว่าเมื่อคืนกูนั่งกินเบียร์เป็นเพื่อนมึงทั้งคืน” หญิงสาวบ่นกระฟัดกระเฟียดไม่สบอารมณ์ ถ้าตอนเช้าไม่ปวดฉี่จนต้องลุกมาเข้าห้องน้ำก็คงไม่เห็นว่าสายขนาดนี้ เออีสาวยกนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือเล็กมองตาไม่กะพริบระหว่างที่ลิฟต์ก็ยังคงไต่ระดับจากชั้นยี่สิบและจอดแวะเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้น “กล้าพูด! กินไม่ถึงครึ่งขวดก็หลับเป็นหมา มึงกลับห้องตั้งแต่สี่ทุ่มกว่าด้วยนะอริ” อ้ายอันแย้งกลับ คนที่ดื่มยันเที่ยงคืนคือเธอต่างหาก ไหนจะต้องรับผิดชอบแก้วและจานที่เอลี่ทานไว้ นางเพื่อนคนนี้ไม่มีอะไรนอกจากทำตัวเป็นภาระเท่านั้น “แม่ง! ใครมันช่างกดลิฟต์วะ” เจ้าตัวเถียงไม่ออกก็ทำบ่นเรื่องอื่นกลบเกลื่อน นาฬิกาบนข้อมือบอกว่าเหลืออีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีจากนี้ “เอออริ! เมื่อเดือนก่อนยายถามหามึงนะ” “กูไปหายายมาอาทิตย์ที่แล้ว เขาถามหามึงไม่ใช่เหรอ” “ฮะฮา...อ้าวเหรอ?” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะแห้งๆ เป็นการกลบเกลื่อนที่ตนเองไม่เนียน อ้ายอันลืมไปว่าคนที่ไม่ค่อยได้โผล่หน้าไปเยี่ยมยายคือตนไม่ใช่อริ แต่แผนก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามรู้ “วันนี้มีออกไปหาลูกค้าที่ไหนเปล่า” “ดูสภาพกูก่อนสิ หน้าก็สดอย่างปลาทูขนาดนี้จะไปเจอลูกค้าได้ไง” ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสื้อผ้าหน้าผมมีส่วนทำให้คนขายงานดูน่าเชื่อถือ ความสามารถก็มีอยู่แต่ก็ต้องดูดีที่สุด พนักงานเปรียบเสมือนหน้าตาของบริษัท ถ้าเออีงามหัวจรดเท้าใช้ของแพงทั้งนั้น นั่นหมายถึงคุณภาพของงานด้วย “แสดงว่าวันนี้...//ค่อยว่ากันนะมึง ไปแหละ” ตัวเลขบนเจอแอลอีดีบอกชั้นสามสิบและปนะตูกำลังเปิดออก เอลี่พูดตัดบทกับเพื่อนรักทันทีเตรียมพุ่งทะยานไปยังเครื้องสแกนนิ้วที่ประตูทางเข้าใต้ป้ายชื่อบริษัท “เชี่ย! มึงทำไรวะอัน” “เชือกรองเท้ากูหลุด” ฝ่ายบัญชีสุดเซอร์กับรองเท้าผ้าใบคู่ใจ อ้ายอันจงใจนั่งแก้และผูกเชือกรองเท้าใหม่ให้สวยงามขวางทางออกลิฟต์ไว้ไม่ให้เอลี่ไปสแกนนิ้ว “หลบ!” “รอก่อนได้มั้ยล่ะ ก็เชือกมันหลุดเดี๋ยวเดินสะดุดล้ม” “ไปผูกที่อื่นสิวะ” “แปบเดียวเอง” “อีอัน!!” “มึงนี้ขี้โวยวายฉิบหาย...” โครม!! รองเท้าส้นสูงกว่าสี่นิ้วของเอลี่ประทับลงที่ก้นงอนของเพื่อนรัก ในเมื่อแกล้งมาก็ยันกลับ คนไม่ทันระวังหน้าคว่ำไปกับเพื่อน สายตาเย้ยหยันมองอ้ายอันอย่างเป็นต่อ เอลี่เดินกรีดกรายนวยหน้าไปที่เครื่องสแกนนิ้วและวางนิ้วโป้งลงช้าๆ “คิดว่ากูไม่รู้เหรอว่ามึงจะแกล้งกู ไม่เนียนไปเรียนใหม่นะ” ‘ลองใหม่อีกครั้งคะ’ “ห้ะ!/หึ!” ตัวเลขเล็กๆ บนเจอหน้าปัดแสดงเวลาว่าตอนนี้แปดโมงห้าสิบเก้านาที เอลี่ถลึงตาโตมองมันและกดนิ้วย้ำๆ อีกครั้ง ‘ลองใหม่อีกครั้งคะ’ ติ๊ง! ‘ลองใหม่อีกครั้งคะ’ ติ๊ง! ‘ลองใหม่อีกครั้งคะ’ 9.00 น. “สนุกดีวะ เหมือนลิงตีกับเครื่องสแกนนิ้ว” อ้ายอันหาได้โกรธที่ตนโดนถีบจนล้ม เธอนั่งขัดสมาธิยกนาฬิกาข้อมือรุ่นเก่าสุดคลาสสิกสมบัติของแม่ขึ้นดูเวลาและมองเอลี่ที่มันเอาความพยายามทั้งหมดที่มีไปกับการบันทึกเวลาเข้างานไปกับเจ้าเครื่องนั้น ‘ลองใหม่อีกครั้งคะ’ “นิ้วก็นิ้วเดิมจะให้กูลองอีกกี่ครั้ง” ... “พังแม่งทิ้งซะเลย ดีมั้ย!” คนสวยกลายเป็นคนคลั่งยืนทะเลาะกับเครื่องบันทึกเวลาเข้า-ออกงาน เอลี่ยืนเต้นเป็นผีบ้าและยังคงจรดนิ้วโป้งลงอยู่อย่างไม่หยุดยั้งจนกว่าจะสำเร็จ และแล้วความพยายามก็สัมฤทธิผลในเวลาเก้านาฬิกาหนึ่งนาที ' ‘บันทึกสำเร็จค่ะ’ “ฝากไว้ก่อนเถอะนะมึง” ประโยคนี้เอลี่มอบให้กับเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่นั่งซดกาแฟดำชมการแสดงราวกับหนังกลางแปลงอย่างสบายใจ แม้เพื่อนซี้จะชี้หน้าใส่แต่เธอก็ไม่กลัว กลับไหวไหล่เป็นการท้าทายด้วยซ้ำ “รีบๆ มาเอาคืนแล้วกันกูจะรอ” โครม!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD