Rrrrrrr
หึม....
Rrrrrrrrrr
“อะไรของมึง!” จริงๆ แล้วสี่ทุ่มกว่าๆ ไม่ใช่เวลาของอ้ายอัน ปกติหลังจากทานมื้อค่ำเสร็จบัญชีสาวจะนั่งหน้าง้ำอยู่กับจอคอมและคิดอะไรไปเรื่อยๆ คนเดียว
เพียงแต่วันนี้อาการเพลียสะสมมาหลายคืน อ้ายอันจึงพักสักตื่นแต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะสายจากห้องข้างเคียงโทรมารบกวน
“อาน~” เสียงยานคางแบบนี้มิใช่อะไรแน่ คนปลายสายต้องเมาถึงได้อ้อแอ้ขนาดนี้
“เมาก็นอนซะ”
“อาน~~~”
“อยู่ไหนอริ!” น้ำเสียงงอแงดังปะปนมากับเสียงดนตรีกำลังบรรเลงเสียง อ้ายอันรู้ได้ทันทีว่าเอลี่ต้องไม่ได้อยู่ที่ห้อง คนคออ่อนแบบมันถ้าไม่เครียดจัดจริงๆ คงไม่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้
“ส่งโลมา!”
“ไอ้ริ! อยู่ไหนส่งโลมา” เวลาเอลี่เมาไม่มีใครเอาอยู่นอกจากอ้ายอัน
เออีสาวสวยและเก่งในสายตาทุกคนแท้จริงแล้วก็แค่คนติดมากและขี้กังวลแถมยังชอบอวดเก่งแสร้งเป็นว่าตัวเองเข้มแข็งกว่าใคร
Ping!
และทันทีที่รู้ว่าอีกคนอยู่ที่ใดอ้ายอันก็ไม่รอช้ารีบคว้าแว่นสาย มือถือและกระเป๋าสตางค์ออกจากคอนโด
BAKA
ฮือ...
“ขอโทษครับคุณผู้หญิง”
“อะไร! ไม่เคยเห็นคนแกล้งร้องไห้รึไงห้ะ” คนเมาตวาดกลับโดยไม่ทันถามว่าคนมาใหม่ต้องการอะไรจากเธอ
“เปล่าครับ! ผมแค่จะเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟครับ” บริกรหนุ่มวางแก้วค็อกเทลสีสวยลงบนโต๊ะทรงสูงที่หญิงสาวเป็นเจ้าของและกล่าวว่า “คุณผู้ชายจากโต๊ะนั้นเลี่ยงเครื่องดื่มคุณครับ”
“ไหน” หญิงสาวหันมองตามมือผายของบริกร
โต๊ะในมุมมืดมีชายนั่งอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคงเมาจัดจึงได้ฟุบลงกับโซฟา
“ใครสั่งแก้วนี้ให้ฉันคะ”
“อะไรนะครับ”
“ก็นี้ไง! ใครสั่งให้ฉัน”
“แล้วมันทำไมหรือครับ” คนที่นั่งฟังทั้งสามได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่รู้ว่าใครสั่งแก้วนั้นไปจีบคนเมาหน้าสวย
“ให้มันกล้าๆ หน่อยสิจะจีบหญิง”
“เดี๋ยวนะครับ ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจผิดแล้ว”
“เฮอะ! แมนๆ หน่อยสิ กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ทำไม! กลัวหน้าแหกต่อหน้าเพื่อนเหรอถ้าฉันไม่รับเครื่องดื่มไว้” เจ้าตัวยังคงยืนกอดอกและพูดตามที่คิด ผู้ชายสมัยนี้คิดว่าผู้หญิงที่มาเที่ยวกลางคืนจะง่ายเหมือนกันหมดละมั้งถึงได้ลงทุนต่ำจีบเธอด้วยค็อกเทลแก้วนี้
“สภาพแบบนี้ใครจีบลงก็เหี้ยแล้ว”
“เฮ้ย!”
“นี้คุณครับ! เป็นผู้หญิงเมาแล้วก็กลับบ้านนอนซะนะ”
“นาย! เหยียดเหรอ! ผู้หญิงแล้วไง ผู้หญิงเที่ยวไม่ได้เหรอ กินเหล้าไม่ได้เหรอ” คนเมาเริ่มตะโกนเสียงดังแข่งกับเพลงที่เปิดในผับ น้ำเมาทำคนเราเปลี่ยนนิสัยได้อย่างไม่ยากเลย
“อกหักเหรอครับ ถูกทิ้งมารึไง” ชายหนุ่มสบประมาทคนตรงหน้า เพราะไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนมาผับและดื่มจนเมา อาการแบบนี้คงไม่พ้นถูกแฟนทิ้งเป็นแน่
“นาย!!!!”
“อริ! จะทำไรวะ”
ว๊าย~
คนเมาทำท่จะกระโจนใส่ผู้ชายแต่ดีที่ว่าเพื่อนสาวสามารถคว้าเอวเอลี่ได้ทัน
มือไม้แหวกว่ายเพราะเสียหลักจึงฟาดเข้าที่ศีรษะอ้ายอันจังๆ จนแว่นสายตาหลุดกระเด็น และในสถานะที่ที่มีแสงไฟสลัวๆ วับๆ แวมๆ คนไม่มีแว่นจึงไม่ต่างไปจากคนตาบอดเพราะมองอะไรก็ไม่ถนัดตา
“เชี่ย! แว่นกู” อ้ายอันมีปัญหาด้านสายตา
ฉะนั้นสิ่งสำคัญของเธอคืนแว่น แต่ถ้ามองอะไรไม่เห็นแบบนี้แม้แต่เพื่อนสนิท ถ้าไม่ได้ฟังเสียงอ้ายอันก็แยกใครออกไม่ได้
เธอจึงพยายามควานหาของหายในที่มืด
“ที่รักจ๋า! มารับเค้าแล้วเหรอ”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามากินคนเดียว...อีตัวภาระ” อ้ายอันสบถด่าเบาๆ ไม่ใช่เอลี่ได้ยิน
เพราะอะไรนั่นหรือ คนเวลาเอลี่เมามันจะงี่เง่าและกวนประสาทกว่าเดิมเป็นเท่าทวี
“ที่รักจ๋า ไอ้ปากเสียคนนี้มันบอกว่าที่รักทิ้งเค้า ไม่จริงใช่มั้ย ที่รักไม่มีวันทิ้งเค้าใช่มั้ย” ตนเมากอดแขนออดอ้อนเป็นลูกแมว ใบหน้าเล็กถูไถซอกคอเพื่อนสนิทแสดงออกราวกับเป็นแฟนกันจริงๆ
“ทำบ้าอะไรเนี้ย”
“ขอโทษนะครับ! นี้พวกคุณเป็นแฟนกันจริงๆ เหรอ” หนึ่งในนั้นร้องถาม เอลี่จึงสวนกลับทันควันเลยว่า “ใช่! ทำไมเหรอ”
“ไม่น่าเชื่อ”
“ไม่เชื่อเหรอ จุ๊บ!”
แก้มของคนมารับมีรอยคราบลิปสติกสีแดง
เอลี่แสดงความรักให้คนแปลกหน้าเห็นโดยไม่ถามอ้ายอันสักคำ
“พอใจยัง จะกลับมั้ยบ้าน”
“ที่รักเย็นชาจัง”
“กลับบ้านของเรากันดีกว่าเนาะตัวเอง”
“ตัวเอง! อุ้ย! ที่รักน่ารักที่สุดเลย” เหนื่อยใจกับคนเมาขี้งอแงอ้ายอันต้องสวมบทบาทตามที่เพื่อนสนิทอยากให้เป็นเพราะถ้าขัดใจเมื่อไร รับรองว่าได้ปั่นป่วนมากกว่านี้แน่นอน
“เห็นมั้ยว่าที่รักเขารักฉัน” มิวาย
เอลี่ยังหันไปเย้ยหยันชายหนุ่มที่กล่าวหาว่าเธอถูกแฟนทิ้ง
“ครับ! เชิญไปรักกันต่อที่บ้านนะครับ อย่ามารักกันต่อหน้าสารกำนันเลย”
“เฮ้ย! นี้เหยียดเหรอ” อ้ายอันรับรู้ได้ถึงแรงเหยียดเพศที่ปนมาในน้ำเสียงและเธอก็ไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเฉยๆ ได้
“เปล่า! ผมเห็นว่าแฟนคุณเมามากแล้ว” ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกปิดกั้นหรือรังเกียจไม่ว่าเพศใดจะมีความรักต่อกัน ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว สมัยนี้ไม่มีใครตัดสินทางเลือกหรือรสนิยมของใคร
“แล้วยังไง”
“แล้วก็หลับแล้วด้วย”
พรึ่บ!
ร่างไร้กระดูกบนส้นสูงสี่นิ้วทิ้งน้ำหนักทั้งหมดให้อ้ายอันประคอง คนสายตาสั้นสี่ร้อยกว่าจึงกึ่งอุ้มกึ่งพยุงเอลี่ผ่าฝูงไปอย่างยากลำบากในแต่ละย่างก้าวจนกว่าจะพ้นประตู