Episode-05ลองดี

1732 Words
จากวันกลายเป็นเดือน วันเวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันยังคงใช้ชีวิตร่วมกับพี่เลย์เช่นเคย แต่บางครั้งก็เหมือนกับว่าเขาจะบอกอะไรกับฉันมากกว่า จากความอึดอัดที่เคยมีตอนนี้มันก็คลายลงมาบ้าง ฉันไม่ควรลืมว่าตัวเองเป็นใครและเขาเป็นใคร ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ขออนุญาตค่ะ” “มีอะไร” “พรุ่งนี้หนูขอออกไปกับเพื่อนได้ไหม” นานมากกว่าจะรวบรวมความกล้าเพื่อขออนุญาตเขา เนื่องจากเป็นวันครบรอบของแม่ฉันตั้งใจว่าจะชวนแซนไปไหว้แม่ที่วัดเหมือนเช่นทุกปี “เพื่อนเธอมีความสำคัญมากขนาดไหน?” คิดไว้แล้วว่าต้องได้ยินประโยคทำนองนี้ ฉันเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีก ฟังจากน้ำเสียงก็พอเดาออกว่าไม่ให้ฉันไปอย่างแน่นอน พี่เลย์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “กลับก่อนห้าโมงเย็นนะ” ได้ยินแบบนั้นหูผึ่งขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ถึงจะหน้านิ่งไปหน่อยแต่ก็ถือว่ายังใจดีอยู่ “ค่ะ” “นี่ค่าขนม” เงินจำนวนหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน จะว่าไปหลายเดือนมานี้เขาให้ค่าขนมฉันแทบทุกวันเลยนะ บางวันให้สองรอบเลยก็มี “หนูยังเหลืออยู่” บอกปฏิเสธไปเพราะยังมีอยู่เยอะ ฉันไม่ได้จ่ายอะไรเลยนอกจากออกไปร้านสะดวกซื้อ และใช่ค่ะต้องไปกับพี่แม่บ้านเท่านั้น “กลัวฉันจะคิดเงินทีหลังหรือไง?” “ใช่! กลัวคิดดอกเบี้ยแพงด้วย” “เป็นเอามาก” น้ำเสียงเอือมระอาเอ่ยขึ้นก่อนจะยัดเงินใส่มือฉันแล้วเดินออกจากห้องไป คล้อยหลังพี่เลย์ฉันจึงกดโทรหาแซนและนัดเจอกันที่ป้ายรถเมล์ แต่แซนไม่ยอมนางบอกว่าไม่สะดวกและอันตรายเกินไปไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียว ให้ฉันรอหน้าบ้านแล้วส่งโลเคชั่นมา เมื่อตกลงกันได้ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเช็คความเรียบร้อยก่อนจะออกจากห้อง “พี่เลย์ออกไปแล้วเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามป้าสายใจเมื่อเห็นว่ารถคันสีขาวไม่อยู่แล้ว “ไปแล้วลูก แล้วหนูจะไปไหนน่ะ” “ไปไหว้คุณแม่ที่วัดค่ะ วันนี้เป็นวันครบรอบสามปีของแม่หนู” “ไปกับใคร คุณเลย์อนุญาตแล้วใช่ไหม” “อนุญาตค่ะแต่ต้องกลับก่อนห้าโมงเย็น” “แล้วไปกับใคร ไปยังไง” “เพื่อนค่ะ เดี๋ยวมารับที่หน้าบ้านนี่แหละ” “หญิงหรือผู้ชาย” “ผู้หญิงค่ะ” “อย่าเกเรนะคะ ตรงต่อเวลาด้วย” “รับทราบค่ะ” ฉีกยิ้มให้ก่อนจะเดินออกมารอแซนที่หน้าบ้านซึ่งมีป้าสายใจคอยมองอยู่ตลอด “หูย... หลังโคตรใหญ่” ทันทีที่มาถึงแซนก็ใช้สายตาสอดส่องเข้าไปในตัวบ้าน อย่าหาว่าไม่มีมารยาทหรือแล้งน้ำใจเลยนะคะที่ไม่ชวนเข้ามาด้านใน ก็อย่างที่รู้กันนี่ไม่ใช่บ้านของฉัน “เราไปกันเถอะ ฉันต้องกลับก่อนห้าโมงเย็นนะ” “ออกคำสั่งอย่างกับเป็นพ่อไปได้” เมื่อมาถึงวัดฉันก็ตรงไปยังบริเวณที่เก็บอัฐิของแม่ วันนี้ครบสามปีแล้วที่แม่จากไป ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตฉันจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ที่เหลือเชื่อไปมากกว่านั้นคือทรัพย์สินเงินทองที่แม่สร้างไว้มันหายไปในชั่วพริบตาเดียว แถมคนที่ฉันรักเหมือนพ่อแท้ ๆ ยังทำกับฉันแบบนี้อีก หรือว่านี่จะเป็นเวรเป็นกรรมของฉันกันแน่นะ “ห้ามร้องไห้นะ” แซนมันรีบปรามขึ้นเมื่อเห็นฉันเอาแต่เงียบ “เปล่าสักหน่อย แค่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่” “ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่และไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรแกได้บ้าง แต่ขอร้องนะแกอย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ เด็ดขาด ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละ ถ้าไม่เหนื่อยไม่เจ็บปวดแล้วมันจะเรียกว่าชีวิตได้ยังไง” “รู้สึกโชคดีจังที่มีเพื่อนอย่างแก” พลางเบือนหน้าไปมองมันที่กำลังจ้องฉันอยู่ “ทำไม... คิดว่าฉันจะฆ่าตัวตายเหรอ” “เออ” “ฮ่า ๆ บ้าบอ! ฉันไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก ก็จริงนะถ้าไม่เหนื่อยก็คงไม่เรียกว่าชีวิต” “อย่าดราม่าสิ เวลายังเหลือไปกินปิ้งย่างกันดีกว่า” “เอาสิ” ฉันไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรอกค่ะ เพื่อนสนิทก็มีแต่แซนนี่แหละ พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้ว เรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันเลยทีเดียว ออกจากวัดก็ตรงไปห้างสรรพสินค้าเลย “นี่! แล้วคุณเลย์เขาไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่แกออกมา หรือแกแอบออกมา?” “เขาอนุญาตแล้วแต่ฉันต้องกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็นไง” “อ๋อ... จะว่าไปแกไม่เหมือนลูกหนี้เลยเนอะแต่เหมือนคนในครอบครัวเขามากกว่าฉันรู้สึกแบบนั้น อารมณ์แบบพี่ชายกำชับน้องสาวเลย” “ไม่ใช่หรอกเชื่อสิมันต้องมีอะไรมากกว่านี้ ใครจะให้เงินใช้ฟรี ๆ โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน อีกอย่างนะฉันต้องมีเงินร้อยล้านมาคืนเขาแกอย่าลืมสิ” “เออเนอะ... เป็นเจ้าหนี้หรอกเหรอคิดว่าเป็นพี่ชายซะอีก ฮ่า ๆ” บอกตามตรงว่าฉันยังไม่คุ้นชินกับพี่เลย์นักหรอกถึงจะพยายามปรับอยู่หลายครั้ง อารมณ์เขาขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งก็ใจเย็นและบางครั้งก็ใช้แต่อารมณ์เหมือนคนละคนกันไม่มีผิด แต่ยอมรับว่านอกจากเขาฉันก็ไม่มีที่พึ่งพิงที่ไหนอีกแล้ว ไอ้ประโยคที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้กับฉันสักเท่าไหร่ มาถึงร้านปิ้งย่างก็สั่งแบบจัดหนักจัดเต็มเลยทีเดียว เหลือบมองดูนาฬิกายังเหลืออีกสามชั่วโมง ยังไงก็ทันอยู่ดี “เขียนฟ้า” “มาได้ไงอะ” อาร์ทเป็นเพื่อนผู้ชายในห้องค่ะ เป็นคนที่แซนแอบชอบนั่นเอง “มาซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่อะเห็นแวบ ๆ ว่าใช่เธอสองคนหรือเปล่าเราก็เลยลองเข้ามาในร้านดู” “อ๋อ งั้นกินด้วยกันดิ” ฉันเอ่ยชวนตามมารยาท “ไม่เกรงใจจริง ๆ นะ” “ตามสบาย เอาที่นายสบายใจเถอะ” แซนตอบกลับก่อนจะย้ายที่นั่งมาข้างฉัน แล้วให้อาร์ทนั่งตรงข้ามกับพวกเราแทน “เตรียมตัวสอบกันหรือยัง จะเรียนต่อที่ไหนกันอะ” คำถามของอาร์ททำเอาฉันไปต่อไม่ถูก ไม่รู้จะตอบยังไง เรื่องที่บ้านล้มละลายมีแค่แซนเท่านั้นที่รู้ อีกอย่างชีวิตฉันตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่เลย์ด้วย “เราจะเรียนพยาบาลส่วนเขียนฟ้าเรียนบริหาร” ฉันมองหน้าแซนอย่างไว มันกระพริบตาปิ๊ง ๆ มาให้แทนคำตอบ “เราเคยได้ยินมาว่าเขียนฟ้าอยากเป็นแอร์โฮสเตสไม่ใช่เหรอ” “ก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่อยากแล้ว” ตอบแบบขอไปที “คุยกันไปก่อนนะเราขอไปห้องน้ำก่อน” แซนพูดแทรกขึ้นแล้วลุกออกจากโต๊ะไปทันทีทำให้ตรงนี้เหลือฉันกับอาร์ทแค่สองคน “สงสัยปวดท้องมั้ง ... แล้วอาร์ทล่ะเรียนอะไร” ฉันเฉไฉทำทีเปลี่ยนเรื่องเพื่อเลี่ยงที่จะเป็นฝ่ายตอบคำถาม “เราอยากเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์น่ะ เราเป็นพวกชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง ฮ่า ๆ” “ย่ะ! พ่อคนอัจฉริยะ” “เขียนฟ้า…” อาร์ทเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเราถามอะไรเธออย่าโกรธกันนะ” “เรื่องที่บ้านเราล้มละลายใช่ไหม” ฉันถามกลับอย่างรู้ทัน ชีวิตฉันตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวแหละที่น่าสนใจ “อืม” “...” “อย่าทำหน้าแบบนี้สิ คือเราได้ยินข้างบ้านเขาคุยกันเราไม่ได้มีเจตนาซ้ำเติมอะไรนะ เราแค่อยากรู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เขาทำร้ายเขียนฟ้าหรือเปล่า” “เขา?” “ก็คนที่พ่อเธอพาไปส่งไง” “ไม่หรอก พี่เลย์เขาไม่ได้ทำอะไร เรามีเงินร้อยล้านไปคืนเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละเราถึงจะเป็นอิสระ” “เราช่วยได้นะ” “ไม่เป็นไร เงินมันเยอะมากนะอีกอย่างเขาไม่ทำอะไรเราหรอก” ต้องบอกก่อนว่าฐานะครอบครัวของอาร์ทรวยมาก ใช้เงินเป็นกระดาษยังได้เลยค่ะ “รู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำ เอาอะไรไปไว้ใจชนาดนั้น เราอยากช่วยจริง ๆ นะ” มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือฉันอย่างถือวิสาสะ “ไม่หรอก พี่เขา…” หมับ! แขนข้างหนึ่งถูกกระชากเต็มแรง “พี่เลย์!” “นี่เพื่อนเธอ?” เลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไหนว่าจะไปหาแม่ไง แม่เธออยู่ที่นี่งั้นสิ” “หนูไปมาแล้ว” ปากพูดขณะที่มือก็พยายามแกะข้างที่ถูกพี่เลย์กระชากไว้อยู่ ท่าทางของเขาตอนนี้มันน่ากลัวมาก “คิดลองดีกับฉันหรือไง” “ปล่อยเขียนฟ้าเดี๋ยวนี้นะ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้” อาร์ทพยายามรั้งฉันให้ออกห่างจากพี่เลย์ แต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งทำให้เขาดึงฉันแรงขึ้นไปอีก “มึงอย่าเสือก!” พูดจบเขาก็ลากฉันออกมาจากร้านทันทีโดยที่ไม่ฟังอะไร “เจ็บค่ะ” พี่เลย์ไม่ฟังเสียงฉันเลยสักนิดแถมยังออกแรงกระชากจนฉันเจ็บไปหมด “ฉันใจดีกับเธอมากไปสินะ” “หนูทำอะไรผิดล่ะคะ หนูไปหาแม่มาแล้วจริง ๆ” ฉันยังคงพยายามอธิบายแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ “เธอไม่มีสิทธิ์ไปเสนอหน้ากับผู้ชายคนอื่นจำใส่หัวไว้!” “นั่นเพื่อนนะคะ” “แล้ว?” “...” เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างกับคนละคนไม่มีผิด บางครั้งก็ใช้เหตุผลและบางครั้งก็ใช้แต่อารมณ์ ถ้ารู้ว่าออกจากบ้านมาแล้วจะเจอเรื่องบ้าบออย่างนี้ฉันอยู่บ้านซะยังดีกว่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD