จากวันกลายเป็นเดือน วันเวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันยังคงใช้ชีวิตร่วมกับพี่เลย์เช่นเคย แต่บางครั้งก็เหมือนกับว่าเขาจะบอกอะไรกับฉันมากกว่า
จากความอึดอัดที่เคยมีตอนนี้มันก็คลายลงมาบ้าง ฉันไม่ควรลืมว่าตัวเองเป็นใครและเขาเป็นใคร
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ”
“มีอะไร”
“พรุ่งนี้หนูขอออกไปกับเพื่อนได้ไหม”
นานมากกว่าจะรวบรวมความกล้าเพื่อขออนุญาตเขา เนื่องจากเป็นวันครบรอบของแม่ฉันตั้งใจว่าจะชวนแซนไปไหว้แม่ที่วัดเหมือนเช่นทุกปี
“เพื่อนเธอมีความสำคัญมากขนาดไหน?”
คิดไว้แล้วว่าต้องได้ยินประโยคทำนองนี้ ฉันเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีก ฟังจากน้ำเสียงก็พอเดาออกว่าไม่ให้ฉันไปอย่างแน่นอน
พี่เลย์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“กลับก่อนห้าโมงเย็นนะ” ได้ยินแบบนั้นหูผึ่งขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ถึงจะหน้านิ่งไปหน่อยแต่ก็ถือว่ายังใจดีอยู่
“ค่ะ”
“นี่ค่าขนม” เงินจำนวนหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน จะว่าไปหลายเดือนมานี้เขาให้ค่าขนมฉันแทบทุกวันเลยนะ บางวันให้สองรอบเลยก็มี
“หนูยังเหลืออยู่” บอกปฏิเสธไปเพราะยังมีอยู่เยอะ ฉันไม่ได้จ่ายอะไรเลยนอกจากออกไปร้านสะดวกซื้อ และใช่ค่ะต้องไปกับพี่แม่บ้านเท่านั้น
“กลัวฉันจะคิดเงินทีหลังหรือไง?”
“ใช่! กลัวคิดดอกเบี้ยแพงด้วย”
“เป็นเอามาก” น้ำเสียงเอือมระอาเอ่ยขึ้นก่อนจะยัดเงินใส่มือฉันแล้วเดินออกจากห้องไป
คล้อยหลังพี่เลย์ฉันจึงกดโทรหาแซนและนัดเจอกันที่ป้ายรถเมล์ แต่แซนไม่ยอมนางบอกว่าไม่สะดวกและอันตรายเกินไปไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียว ให้ฉันรอหน้าบ้านแล้วส่งโลเคชั่นมา
เมื่อตกลงกันได้ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเช็คความเรียบร้อยก่อนจะออกจากห้อง
“พี่เลย์ออกไปแล้วเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามป้าสายใจเมื่อเห็นว่ารถคันสีขาวไม่อยู่แล้ว
“ไปแล้วลูก แล้วหนูจะไปไหนน่ะ”
“ไปไหว้คุณแม่ที่วัดค่ะ วันนี้เป็นวันครบรอบสามปีของแม่หนู”
“ไปกับใคร คุณเลย์อนุญาตแล้วใช่ไหม”
“อนุญาตค่ะแต่ต้องกลับก่อนห้าโมงเย็น”
“แล้วไปกับใคร ไปยังไง”
“เพื่อนค่ะ เดี๋ยวมารับที่หน้าบ้านนี่แหละ”
“หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิงค่ะ”
“อย่าเกเรนะคะ ตรงต่อเวลาด้วย”
“รับทราบค่ะ” ฉีกยิ้มให้ก่อนจะเดินออกมารอแซนที่หน้าบ้านซึ่งมีป้าสายใจคอยมองอยู่ตลอด
“หูย... หลังโคตรใหญ่” ทันทีที่มาถึงแซนก็ใช้สายตาสอดส่องเข้าไปในตัวบ้าน อย่าหาว่าไม่มีมารยาทหรือแล้งน้ำใจเลยนะคะที่ไม่ชวนเข้ามาด้านใน ก็อย่างที่รู้กันนี่ไม่ใช่บ้านของฉัน
“เราไปกันเถอะ ฉันต้องกลับก่อนห้าโมงเย็นนะ”
“ออกคำสั่งอย่างกับเป็นพ่อไปได้”
เมื่อมาถึงวัดฉันก็ตรงไปยังบริเวณที่เก็บอัฐิของแม่ วันนี้ครบสามปีแล้วที่แม่จากไป ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตฉันจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ที่เหลือเชื่อไปมากกว่านั้นคือทรัพย์สินเงินทองที่แม่สร้างไว้มันหายไปในชั่วพริบตาเดียว แถมคนที่ฉันรักเหมือนพ่อแท้ ๆ ยังทำกับฉันแบบนี้อีก หรือว่านี่จะเป็นเวรเป็นกรรมของฉันกันแน่นะ
“ห้ามร้องไห้นะ” แซนมันรีบปรามขึ้นเมื่อเห็นฉันเอาแต่เงียบ
“เปล่าสักหน่อย แค่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่”
“ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่และไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรแกได้บ้าง แต่ขอร้องนะแกอย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ เด็ดขาด ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละ ถ้าไม่เหนื่อยไม่เจ็บปวดแล้วมันจะเรียกว่าชีวิตได้ยังไง”
“รู้สึกโชคดีจังที่มีเพื่อนอย่างแก” พลางเบือนหน้าไปมองมันที่กำลังจ้องฉันอยู่ “ทำไม... คิดว่าฉันจะฆ่าตัวตายเหรอ”
“เออ”
“ฮ่า ๆ บ้าบอ! ฉันไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก ก็จริงนะถ้าไม่เหนื่อยก็คงไม่เรียกว่าชีวิต”
“อย่าดราม่าสิ เวลายังเหลือไปกินปิ้งย่างกันดีกว่า”
“เอาสิ”
ฉันไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรอกค่ะ เพื่อนสนิทก็มีแต่แซนนี่แหละ พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้ว เรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันเลยทีเดียว
ออกจากวัดก็ตรงไปห้างสรรพสินค้าเลย
“นี่! แล้วคุณเลย์เขาไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่แกออกมา หรือแกแอบออกมา?”
“เขาอนุญาตแล้วแต่ฉันต้องกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็นไง”
“อ๋อ... จะว่าไปแกไม่เหมือนลูกหนี้เลยเนอะแต่เหมือนคนในครอบครัวเขามากกว่าฉันรู้สึกแบบนั้น อารมณ์แบบพี่ชายกำชับน้องสาวเลย”
“ไม่ใช่หรอกเชื่อสิมันต้องมีอะไรมากกว่านี้ ใครจะให้เงินใช้ฟรี ๆ โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน อีกอย่างนะฉันต้องมีเงินร้อยล้านมาคืนเขาแกอย่าลืมสิ”
“เออเนอะ... เป็นเจ้าหนี้หรอกเหรอคิดว่าเป็นพี่ชายซะอีก ฮ่า ๆ”
บอกตามตรงว่าฉันยังไม่คุ้นชินกับพี่เลย์นักหรอกถึงจะพยายามปรับอยู่หลายครั้ง อารมณ์เขาขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งก็ใจเย็นและบางครั้งก็ใช้แต่อารมณ์เหมือนคนละคนกันไม่มีผิด แต่ยอมรับว่านอกจากเขาฉันก็ไม่มีที่พึ่งพิงที่ไหนอีกแล้ว ไอ้ประโยคที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้กับฉันสักเท่าไหร่
มาถึงร้านปิ้งย่างก็สั่งแบบจัดหนักจัดเต็มเลยทีเดียว เหลือบมองดูนาฬิกายังเหลืออีกสามชั่วโมง ยังไงก็ทันอยู่ดี
“เขียนฟ้า”
“มาได้ไงอะ” อาร์ทเป็นเพื่อนผู้ชายในห้องค่ะ เป็นคนที่แซนแอบชอบนั่นเอง
“มาซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่อะเห็นแวบ ๆ ว่าใช่เธอสองคนหรือเปล่าเราก็เลยลองเข้ามาในร้านดู”
“อ๋อ งั้นกินด้วยกันดิ” ฉันเอ่ยชวนตามมารยาท
“ไม่เกรงใจจริง ๆ นะ”
“ตามสบาย เอาที่นายสบายใจเถอะ” แซนตอบกลับก่อนจะย้ายที่นั่งมาข้างฉัน แล้วให้อาร์ทนั่งตรงข้ามกับพวกเราแทน
“เตรียมตัวสอบกันหรือยัง จะเรียนต่อที่ไหนกันอะ” คำถามของอาร์ททำเอาฉันไปต่อไม่ถูก ไม่รู้จะตอบยังไง เรื่องที่บ้านล้มละลายมีแค่แซนเท่านั้นที่รู้ อีกอย่างชีวิตฉันตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่เลย์ด้วย
“เราจะเรียนพยาบาลส่วนเขียนฟ้าเรียนบริหาร” ฉันมองหน้าแซนอย่างไว มันกระพริบตาปิ๊ง ๆ มาให้แทนคำตอบ
“เราเคยได้ยินมาว่าเขียนฟ้าอยากเป็นแอร์โฮสเตสไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่อยากแล้ว” ตอบแบบขอไปที
“คุยกันไปก่อนนะเราขอไปห้องน้ำก่อน” แซนพูดแทรกขึ้นแล้วลุกออกจากโต๊ะไปทันทีทำให้ตรงนี้เหลือฉันกับอาร์ทแค่สองคน
“สงสัยปวดท้องมั้ง ... แล้วอาร์ทล่ะเรียนอะไร” ฉันเฉไฉทำทีเปลี่ยนเรื่องเพื่อเลี่ยงที่จะเป็นฝ่ายตอบคำถาม
“เราอยากเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์น่ะ เราเป็นพวกชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง ฮ่า ๆ”
“ย่ะ! พ่อคนอัจฉริยะ”
“เขียนฟ้า…” อาร์ทเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเราถามอะไรเธออย่าโกรธกันนะ”
“เรื่องที่บ้านเราล้มละลายใช่ไหม” ฉันถามกลับอย่างรู้ทัน ชีวิตฉันตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวแหละที่น่าสนใจ
“อืม”
“...”
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ คือเราได้ยินข้างบ้านเขาคุยกันเราไม่ได้มีเจตนาซ้ำเติมอะไรนะ เราแค่อยากรู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เขาทำร้ายเขียนฟ้าหรือเปล่า”
“เขา?”
“ก็คนที่พ่อเธอพาไปส่งไง”
“ไม่หรอก พี่เลย์เขาไม่ได้ทำอะไร เรามีเงินร้อยล้านไปคืนเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละเราถึงจะเป็นอิสระ”
“เราช่วยได้นะ”
“ไม่เป็นไร เงินมันเยอะมากนะอีกอย่างเขาไม่ทำอะไรเราหรอก” ต้องบอกก่อนว่าฐานะครอบครัวของอาร์ทรวยมาก ใช้เงินเป็นกระดาษยังได้เลยค่ะ
“รู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำ เอาอะไรไปไว้ใจชนาดนั้น เราอยากช่วยจริง ๆ นะ” มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือฉันอย่างถือวิสาสะ
“ไม่หรอก พี่เขา…”
หมับ!
แขนข้างหนึ่งถูกกระชากเต็มแรง
“พี่เลย์!”
“นี่เพื่อนเธอ?” เลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไหนว่าจะไปหาแม่ไง แม่เธออยู่ที่นี่งั้นสิ”
“หนูไปมาแล้ว” ปากพูดขณะที่มือก็พยายามแกะข้างที่ถูกพี่เลย์กระชากไว้อยู่ ท่าทางของเขาตอนนี้มันน่ากลัวมาก
“คิดลองดีกับฉันหรือไง”
“ปล่อยเขียนฟ้าเดี๋ยวนี้นะ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้” อาร์ทพยายามรั้งฉันให้ออกห่างจากพี่เลย์ แต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งทำให้เขาดึงฉันแรงขึ้นไปอีก
“มึงอย่าเสือก!” พูดจบเขาก็ลากฉันออกมาจากร้านทันทีโดยที่ไม่ฟังอะไร
“เจ็บค่ะ” พี่เลย์ไม่ฟังเสียงฉันเลยสักนิดแถมยังออกแรงกระชากจนฉันเจ็บไปหมด
“ฉันใจดีกับเธอมากไปสินะ”
“หนูทำอะไรผิดล่ะคะ หนูไปหาแม่มาแล้วจริง ๆ” ฉันยังคงพยายามอธิบายแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่
“เธอไม่มีสิทธิ์ไปเสนอหน้ากับผู้ชายคนอื่นจำใส่หัวไว้!”
“นั่นเพื่อนนะคะ”
“แล้ว?”
“...” เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างกับคนละคนไม่มีผิด บางครั้งก็ใช้เหตุผลและบางครั้งก็ใช้แต่อารมณ์
ถ้ารู้ว่าออกจากบ้านมาแล้วจะเจอเรื่องบ้าบออย่างนี้ฉันอยู่บ้านซะยังดีกว่า