Chapter 7 《 Part 3》

1784 Words
หลังฟังเรื่องราวจากทั้งสองคนฉันก็รู้สึกทึ่งที่ทั้งคู่รอดชีวิตมาได้แถมยังบาดเจ็บไม่เยอะ จนขั้นต้องเอ่ยปากแซวไปว่าห้อยพระอะไรถึงได้ดวงดีขนาดนี้ แล้วพี่ทั้งสองก็หัวเราะแห้งๆ แทนคำตอบเพราะขนาดเจ้าตัวก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีโอกาสมานั่งหัวเราะอยู่แบบนี้ บทสนทนาของเราสามคนหยุดลงตอนที่ฮานกลับมาหลังจากไปคุยกับคุณหมอ เขาบอกกับพี่โน่พี่โต๋อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “เดี๋ยวพวกมึงอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลสักสองสามคืน ถึงภายนอกจะดูไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็เผื่อไว้ก่อน อีกอย่างกลับไปสภาพนี้ก็คงช่วยเหลือตัวเองลำบาก อยู่นี่อย่างน้อยมีพยาบาลดูแล กูขอห้องพิเศษแบบสองเตียงเอาไว้ให้แล้วพวกมึงจะได้ไม่เหงา” เขาแจกแจงรายละเอียดอยู่ฝ่ายเดียว ฉันรู้สึกว่าเขาช่างเอาใจใส่ลูกน้องดีจริงๆ เป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้... เดี๋ยวสิ นี่ฉันกำลังเพ้ออะไรอยู่เนี่ย ฉันรีบปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง ยืนฟังทั้งสามคุยกันเงียบๆ “แล้วเรื่องสำรวจเส้นทางล่ะเฮีย” พี่โน่ถาม “ที่เหลือกูจัดการเอง พวกมึงไม่ต้องคิดมาก รักษาตัวให้หายก็พอ” “ครับ ขอโทษนะเฮีย ถ้าผมระวังกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” พี่โต๋พูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก ปลอดภัยก็ดีแล้ว” “ครับ” พี่โต๋กับพี่โน่พยักหน้า ถึงจะเป็นอุบัติเหตุหวิดเอาชีวิตไม่รอดแต่ทั้งสองคนก็คงรู้สึกผิดที่ทำให้ฮานเดือดร้อน หลังจากนั้นไม่นานบุรุษพยาบาลก็เอารถเข็นมารับทั้งคู่ไปที่ห้องพิเศษ ฮานตามมาส่งถึงที่ รอจนทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็ชวนฉันกลับ ตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลฉันคุยกับฮานนับครั้งได้ พอเขาชวนกลับ ฉันก็แค่สบนัยน์ตาคมคู่นั้นแล้วเดินตามเขามาที่รถเงียบๆ ฮานขอให้ฉันแวะไปที่อู่ก่อน พอฉันขมวดคิ้วไม่พอใจเพราะไม่อยากไปไหนต่อไหนตามลำพังกับเขานานๆ เขาก็อธิบายอย่างใจเย็นว่าอยากไปดูสภาพรถที่จ้างคนไปลากมาให้ก่อนหน้านี้ ฉันทำเสียง “ชิ!” อย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ขับรถไปตามเส้นทางที่เขากำหนดอยู่ดี เพราะไม่คุ้นเส้นทาง เลยใช้เวลาเยอะพอสมควรกว่าจะมาถึงที่หมาย “จนป่านนี้แล้วอู่ไม่ปิดแล้วเหรอ ดึกขนาดนี้คงเปิดอยู่หรอก” ฉันบ่นระหว่างขับรถหลงซอย ระบายอารมณ์ฉุนเฉียวใส่คนข้างๆ ฮานไม่ตอบโต้เขาโทรถามเส้นทางจากอู่อย่างใจเย็น เพราะขับตามจีพีเอสแล้วแต่ก็ยังหลง “แยกหน้า” ฮานบอกหลังจากวางสาย “ชัวร์นะ” ฉันถามเสียงเขียว “ดูจากจีพีเอสไม่ผิดหรอก” ฮานย้ำ เพราะเหมือนฉันจะทะเล่อทะล่าเข้ามาในซอยนี้เอง ฉันกัดริมฝีปากล่าง อยากจะระเบิดอารมณ์ใส่เขาอยู่หรอกแต่ก็อดทนไว้ วนรถกลับไปอย่างไม่มีทางเลือก เพราะแบบนั้นเราก็มาถึงที่หมายจนได้ ฉันรออยู่บนรถ ไม่ได้ลงไปกับฮาน ปล่อยให้เขาเดินใช้ไม้ค้ำเข้าไปในอู่ที่ปกติปิดแล้วแต่ก็ยังอุตส่าห์เปิดไฟรอลูกค้า ระหว่างนั้นฉันก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาเพื่อนที่โรงแรม บุ้งกี๋บอกว่ารุ่นพี่เข้ามาเช็กชื่อแล้ว ถึงเธอจะช่วยแก้ต่างให้ฉันแต่เหมือนรุ่นพี่จะไม่พอใจเท่าไหร่ที่ฉันออกมาโดยพลการ แล้วบอกให้ฉันรีบกลับ... ยังคุยกับบุ้งกี๋ไม่เสร็จดีแม่ก็วิดีโอคอลมา หัวใจฉันกระตุกวูบ ความคิดแรกที่วาบขึ้นมาในหัวคือ หรือแม่จะรู้เรื่องที่ฉันอยู่กับฮาน? แต่ไม่หรอก ไม่น่าเป็นไปได้ ฉันพยายามใจเย็น มองสายเรียกเข้าบนหน้าจออย่างลังเล กลั้นใจกดตัดสายทิ้ง รู้สึกผิดชะมัด ฉันกัดริมฝีปากขณะส่งข้อความกลับไปหาแม่ว่าไม่สะดวกคุย แม่คงเข้าใจว่าฉันทำกิจกรรมอยู่ จึงส่งข้อความถามไถ่กลับมาพร้อมกับแนบรูปตาหนูที่กำลังนอนหลับอุตุมาด้วย Mom : (รูปภาพ) Mom : หลับปุ๋ยเลย เพนนี : คิดถึงจัง ฉันอยากคุยกับแม่มากกว่านี้แต่ก็กลัวเผยพิรุธ ส่งแค่สติ๊กเกอร์กลับไปแล้วปิดหน้าจอออก ตอนนั้นฮานก็เดินกลับมาพร้อมของบางอย่าง พอมองดีๆ แล้วถึงรู้ว่าเป็นกล้องหน้ารถ “กลับได้ยัง” ฉันถามโดยไม่คิดจะสนใจเรื่องอื่น “อืม ขอโทษที่ทำให้ลำบาก” ฮานเอ่ยอย่างเกรงใจ ฉันไม่ตอบ แต่เปิดจีพีเอสเพื่อกลับโรงแรม ความเครียดที่เกิดจากการโกหกแม่และความกังวลเรื่องที่เพิ่งคุยกับบุ้งกี๋ทำให้หัวปวดหนึบ ไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะถูกรุ่นพี่ตำหนิยังไงบ้าง แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ สิ่งที่กวนใจฉันมากที่สุดคือต้องเป็นคนขับรถให้ฮานต่างหาก ทั้งที่ฉันพยายามรักษาระยะห่างแต่ก็เข้ามาพัวพันกับเขาจนได้ ให้ตายสิ ตอนนั้นฉันแค่พูดส่งเดชเรื่องเงินค่าจ้าง ไม่คิดว่าเขาจะเออออตาม นี่หรือเปล่าที่เขาว่าซวยเพราะปาก มารู้ตัวอีกทีฉันก็กลุ้มใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเอาเชือกมารัดคอตัวเองยังไงยังงั้น หรือว่าฉันจะเบี้ยว? ทำเหมือนไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน ถึงจะดูใจดำไปบ้างแต่นั่นเป็นปัญหาของฮาน ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย เดี๋ยวเขาก็หาทางทำอะไรสักอย่างเองนั่นแหละ ระหว่างที่ครุ่นคิดว่าจะถอนตัว ก็ขับรถกลับมาถึงโรงแรมพอดี ฉันตั้งใจจะบอกกับเขาทันทีที่ดับเครื่องยนต์ แต่ฮานก็พูดขึ้นมาก่อน “ค่ายจบวันไหน” เป็นคำถามที่สร้างความอึดอัดไม่น้อย ฉันเม้มริมฝีปาก ไม่อยากถูกอีกฝ่ายชักนำไปมากกว่านี้ ตั้งใจจะปฏิเสธข้อตกลงก่อนหน้า “คือว่านะ” “สองคนนั่นน่าจะใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลสักพัก งานสำรวจเส้นทางยังไม่เสร็จ พี่คงต้องทำเอง แต่อย่างที่รู้พี่ขับรถไม่ได้ระหว่างนั้นคงต้องรบกวนน้องนี” ฮานชิงพูดความจำเป็นของตัวเองออกมาทำให้เสียงของฉันถูกกลืนหายไปในลำคอ ทำไมกันล่ะ ฉันไม่ควรจะลังเลแบบนี้นี่ ทั้งที่เคยคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะหันหลังให้เขา ไม่ขอเข้าไปข้องเกี่ยวอะไรอีก แต่พอเห็นพี่โต๋กับพี่โน่บาดเจ็บถึงขนาดนั้นและสภาพร่างกายครึ่งๆ กลางๆ ของฮานในตอนนี้ก็อดคิดว่ามันช่วยไม่ได้ขึ้นมา เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าฉันกำลังใจอ่อนหรอกเหรอ ถ้าคิดอย่างเป็นกลางแล้ว ไม่ว่าใครก็มีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น ปัญหาของใคร คนนั้นก็ต้องแก้เอง ฉันไม่เห็นต้องคิดมากเลย ไม่จำเป็นต้องสนใจด้วยซ้ำ “ไม่ว่าง ไปหาคนอื่นเถอะ” “ตกลงกันแล้วไง” ฉันกำลังจะลงจากรถเสียงฮานก็ดังขึ้นซะก่อน น้ำเสียงที่เหมือนประท้วงนั่นทำให้อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ดวงตาคมกริบของฮานคล้ายกำลังตำหนิฉันที่ผิดคำพูด เหอะ! ใครสน? “ถือซะว่าไม่เคยพูดแล้วกัน” ฉันเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินออกมา “น้องนี!” ได้ยินเสียงย่ำเท้ากับเสียงไม้ค้ำกระทบพื้นรีบร้อนไล่ตามมาด้านหลัง ฉันหลับหูหลับตาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น พลั่ก! “อึก!” เสียงล้มดังมาก มากจนต้องหันกลับไปดู... “....” ฉันที่ทำสีหน้าราบเรียบ ขาไม้ค้ำฮานขัดกับรางระบายน้ำทำให้เขาสะดุดล้มหน้าคว่ำพื้น ย้ำว่าหมอบกับพื้นเลย! ถ้ามองไม่ผิดเหมือนจะเห็นคาบใบหญ้าอยู่ในปากด้วย แต่แสงไฟตรงนี้ค่อนข้างสลัว เลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ ลังเลว่าควรเข้าไปช่วยหรือเปล่า ตอนนั้นฮานก็ยกมือขึ้นคล้ายขอความช่วยเหลือ ฉันเก้ๆ กังๆ แต่สุดท้ายก็ทนใจแข็งไม่ไหว เดินกลับไปช่วยพยุงเขาลุกขึ้น “ขอบ... อึก!” ยังไม่ทันจะขอบคุณฉันที่ช่วย ไม้ค้ำที่เขาใช้ถ่ายเทน้ำหนักตัวดันพังไม่บอกไม่กล่าว คงเกิดจากการกระแทกพื้นก่อนหน้านี้ทำให้ฮานซวนเซล้มหน้าคว่ำอีกรอบ “อ๊ะ!” ก่อนที่จะรู้ตัว ฉันก็ถูกร่างสูงล้มทับอยู่บนพื้นในสภาพที่ฮานคร่อมอยู่บนตักฉัน ฝ่ามือฉันกระแทกกับพื้นอย่างจัง เจ็บหนึบจนแสดงออกมาทางสีหน้า จ้องตัวต้นเหตุเขม็ง “โทษที” ฮานพึมพำใบหน้ารู้สึกผิด ไม่ได้ตั้งใจทำให้ฉันเจ็บตัว เขาควานหาไม้ค้ำที่หล่นอยู่ข้างๆ แล้วหยิบขึ้นมาตรวจสอบก่อนจะพบว่ามันใช้การไม่ได้จริงๆ ฮานผละออกจากฉันอย่างไม่คิดฉวยโอกาส เขานั่งเหยียดขาอยู่ข้างๆ หันมามองฉันแล้วยิ้มอย่างหมดสภาพ “ช่วยพยุงพี่ลุกที” ท่าทางลำบากไม่เบา... ฉันนึกเห็นใจอยู่ลึกๆ ถึงจะหน้าบึ้งตึงและไม่สบอารมณ์แต่ฉันก็ฉุดแขนฮานขึ้นโดยไม่บ่น ก่อนก้มลงเก็บไม้ค้ำส่งให้ “ขอบคุณครับ” ฮานรับไม้ค้ำไป แต่ไม่ได้ใช้ เขายิ้มอ่อน “ต้องให้มาเห็นในสภาพนี้ ดูไม่จืดว่าไหม” “....” กำลังสมเพชตัวเองอยู่หรือไง “น้องนีจะหัวเราะเยาะพี่ก็ได้ แต่พี่ขอร้องได้ไหม มีแค่นีที่ช่วยพี่ได้” “....” จู่ๆ เขาก็พูดออกมา แววตาอับจนของฮานทำให้ฉันลังเล ไม่สิ... ฉันกำลังอึ้งที่ฮานเผยด้านที่อ่อนแอออกมา ความจริงแล้วฉันกำลังดีใจอยู่หรือเปล่านะ คนเลือดเย็นอย่างเขาต้องมาง้อฉัน รู้สึกเหมือนได้เอาคืนอยู่นิดหน่อย แต่ว่ามันก็แค่นั้น “ไม่!” ฉันปฏิเสธเสียงแข็ง “....” ฮานหน้าเจื่อน ชิ! รู้จักตีหน้าเศร้าตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย “พี่หมดโอกาสจริงๆ แล้วเหรอ” “เหอะ” “ถ้างั้นขอแค่ครั้งเดียว ช่วยประคองพี่ไปที่ห้องพักที” ฉันลังเล ไม่รู้ว่าฮานจะเล่นแง่อะไรอีก แต่พอมองสีหน้าหมดหวังของฮานแล้วฉันก็ได้แต่ถอนหายใจ ช่วยประคองเขาไปส่งที่พัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD