Chapter 7 《 Part 1》

1693 Words
เมื่อเดินพ้นช่องทางคับแคบออกมาก็เจอกับทางเดินที่ถูกปูด้วยไม้แผ่นเล็กเรียบเสมอกันกับวิวแม่น้ำโขงเบื้องหน้า ฉันเดินออกมาจับราวระเบียงพลางสูดกลิ่นอายเย็นเข้าเต็มปอด ก่อนทอดน่องไปเรื่อยๆ ตามทางเดินที่ทอดยาวดื่มด่ำบรรยากาศเงียบๆ ระหว่างทางมีสวนกับเพื่อนจากมหาลัยด้วย แต่ไม่ได้พูดอะไรกันมากแค่ยิ้มทักทายต่างคนต่างเดิน เดินได้สักพักฉันก็หย่อนตัวลงนั่งในพื้นที่ที่คนเขานั่งกัน ส่วนมากจะนั่งกันเป็นกลุ่ม ไม่ก็เป็นคู่ ฉันมาคนเดียวรู้สึกเปลี่ยวนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนใจอะไร ฉันเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายภาพวิวน้ำโขงตอนกลางคืนแล้วส่งให้แม่ดู จากนั้นก็ถามถึงลูก อยากวิดีโอคอลด้วยซ้ำแต่ตรงนี้มีคนอยู่ฉันไม่สะดวกใจ ไม่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวต่อหน้าคนอื่น แล้วแม่ก็ถ่ายรูปตาหนูกำลังหม่ำข้าวมาให้ดูเป็นการปลอบใจ ตรงขอบปากและคางเลอะคราบซอสมะเขือเทศด้วย เห็นแล้วถึงกลับหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ฉันกำลังจมจ่อมอยู่ในโลกเล็กๆ ของตัวเองอย่างมีความสุข เสียงเดินที่แตกต่างจากคนทั่วไปดังใกล้เข้ามา ได้ยินเหมือนเสียงวัตถุกระทบพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ด้วยความข้องใจแล้วก็ประสานสายตาเข้ากับร่างสูงที่เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพอดี หัวใจฉันกระตุก พรวดพราดลุกขึ้นยืน “ฮาน…” ทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ บังเอิญเหรอ? ไม่สิ… ฉันรู้จักฮานดี นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ แต่ว่าเขารู้ที่อยู่ฉันได้ยังไง ให้คนสะกดรอยตาม? ทันทีที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัว ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ นอกจากนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาฉันก็มองไม่ออกว่าใครน่าสงสัย ใครที่คอยรายงานตำแหน่งของฉันให้ฮานรู้ ถึงจะคาใจแต่ฉันไม่อยากเสียเวลากับเขา ทันทีที่ฮานปรากฎตัวฉันก็หมดอารมณ์แล้ว ไม่คิดจะอยู่ต่อแม้แต่นาทีเดียว “เก่งจริงอย่าหนีสิ” เสียงเรียบนิ่งดังขึ้น ไม่มีแววออดอ้อนเอาใจเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับทำให้ฉันได้ยินแล้วทนไม่ไหว หันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา “ใครหนี ฉันแค่เหม็นขี้หน้าคนบางคนจนอยากอ้วกแค่นั้น” “แน่ใจเหรอ ไม่ใช่กลัวอยู่ใกล้แล้วจะใจอ่อนเหรอ” ฮานหรี่นัยน์ตาคมกริบลงพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ ฉันไม่ได้ถอยหนีเหมือนอย่างที่ควรเป็นแต่กลับปักหลักยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าฉันไม่ได้หวั่นไหวอะไรเลย “กล้าพูด! ทำคนเขาเกลียดยังไม่รู้ตัวอีก” “เกลียดมากไหม” “ยังต้องถามอีกเหรอ” “รักมากเกลียดมาก ไม่รักก็คงไม่เกลียด” “พูดอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง” ฉันแทบทนฟังไม่ได้ เขาต้องหน้าหนาขนาดไหนถึงพูดอะไรน่าอายแบบนั้นออกมาได้หน้าตาเฉย ฮานทำเสียงหึในลำคอ เขาแย้มยิ้มก่อนเหม่อมองไปข้างหน้า “บรรยากาศดีว่าหรือเปล่า” เปลี่ยนเรื่องเฉยเลย ฉันส่ายหน้าเอือมระอาแล้วเดินออกมา ฮานรีบร้อนเดินตามแต่กลับถูกคนที่เดินสวนมาชนเสียหลัก จนเซล้มฟุบไม่เป็นท่า เสียงไม้ค้ำยันกระแทกพื้นดังปึ้ก “โง่หรือไง สังขารไม่เต็มแล้วยังออกมาเดินเพ่นพ่านอีก” ฉันเห็นท่าทางน่าสมเพชของฮานแล้วอดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้น คนชนฮานทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ ก่อนจะได้สติรีบเก็บไม้ค้ำยันที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาให้พร้อมกับเอ่ยขอโทษซ้ำๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ตั้งใจชน ฉันรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุแต่ก็อดไม่ได้ที่หัวเสียเอ่ยปรามคนที่ชนฮานเสียงแข็ง “คราวหลังก็ระวังด้วยนะคะ ไม่ใช่มัวแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์” “คะครับ... ขอโทษจริงๆ ครับ” เขาก้มหน้าอย่างสำนึกผิดยอมรับคำตักเตือนแต่โดยดี หลังจากมั่นใจแล้วว่าฮานไม่ได้เจ็บหนักเขาก็ผละออกไปทั้งที่สีหน้ายังคงซีดอยู่พร้อมกับความสนใจของคนรอบข้างค่อยๆ หมดลง “แล้วนี่ไม่เป็นไรแน่เหรอ” ฉันมองสำรวจฮานด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ถึงจะไม่ชอบใจแต่ก็ไม่กล้าหมางเมินคนเจ็บ มันไม่เหมือนกับตอนที่ฉันผลักเขาล้มบนดาดฟ้า ตอนนั้นต่อให้เขาจะเจ็บตัวแต่ก็อยู่ใกล้ที่พักแถมพนักงานโรงแรมก็อยู่ด้วยฉันจึงเดินหนีได้อย่างสบายใจ แต่ว่าที่นี่คนพลุกพล่าน ไม่รู้ใครเป็นใคร ทำให้รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนักถ้าจะทิ้งเขาไว้ลำพัง นี่ล่ะคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงหงุดหงิดที่เขาออกมาข้างนอกทั้งที่สังขารไม่เอื้ออำนวย เกิดอะไรขึ้นก็ช่วยเหลือตัวเองลำบากอีก “เจ็บก้นนิดหน่อย แต่ขาไม่เป็นไร เดินไหว คิดว่านะ” ฉันหรี่ตามอง ตกลงเป็นหรือไม่เป็นกันแน่ แต่ช่างเถอะ ฉันตัดบทอย่างรำคาญใจ “แล้วมายังไง” “ตุ๊กตุ๊กโรงแรม” ฉันไม่แปลกใจนักเพราะสภาพฮานเป็นแบบนี้คงขับรถเองไม่ได้ แต่ทั้งที่เป็นแบบนี้ก็ยังจะออกมา นั่นแหละที่ฉันสงสัย หรือว่าอยากมาเที่ยวชมถนนคนเดิน? ฉันมองหน้าฮานแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเปลี่ยนไปต่อว่าเขาแทน ที่ไม่รู้จักเจียมสังขาร ฮานไม่ตอบโต้สักคำหรือทำหูทวนลมก็ไม่รู้ เขาเดินตามฉันมาที่ถนนเงียบๆ ตอนแรกฉันตั้งใจจะส่งเขาขึ้นตุ๊กตุ๊กกลับโรงแรมคนเดียวแต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะขี้เกียจกลับไปเดินฝ่าคนแน่นๆ ที่ถนนคนเดินและไม่อยากเจอสายตาหวานเยิ้มของพี่ฉลาม แค่นึกก็กระอักกระอ่วนใจแล้ว ฉันขึ้นตุ๊กตุ๊กกลับมาที่โรงแรมกับฮาน โดยไม่ลืมส่งข้อความบอกเพื่อนว่ากลับมาแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงและก็ฝากให้พวกนั้นแจ้งรุ่นพี่ให้ด้วย ยัยบุ้งกี๋ส่งสติ๊กเกอร์หัวร้อนกลับมา ฉันเลยส่งหัวใจกลับไป ตุ๊กตุ๊กจอดหน้าตึกรับรอง ฉันจ่ายค่าโดยสารโดยไม่รอฮานแล้วรีบลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว ตรงข้ามกับฮานที่เชื่องช้า เห็นเขาไม่คล่องตัวแบบนั้นจะเดินหนีไปเลยก็ออกจะแล้งน้ำใจเกินไปสักนิด ฉันยืนรออยู่ท้ายรถ เห็นฮานขยับตัวออกมาฉันก็ยื่นมือออกไปช่วยประคอง เขาทำหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยขอบใจฉันเบาๆ หลังจากลงรถแล้ว ดวงตาคมกริบฉายแววอ่อนโยน ไม่รู้ทำไม ในใจฉันถึงสั่นไหวขึ้นมา แล้วอากาศคืนนี้ยังเย็นเป็นพิเศษอีก ฉันไม่ได้สวมเสื้อแขนยาว ในมือมีถุงผ้าพันคอที่ซื้อเป็นของฝาก แต่จะเอาออกมาใช้ก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ แค่รีบขึ้นห้องก็ไม่เป็นไรแล้ว “กลับห้องเองนะ ไปล่ะ” ฉันพูดกับฮานเสียงห้วน ลนลานเดินออกมา “ตอนนั้นพี่ไม่ได้ตามริชไป” จู่ๆ ฮานก็โพล่งบางอย่างออกมา ฉันชะงัก หันกลับไปมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ ภายในอกรู้สึกเจ็บ ตอนที่นอนเข้าน้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลฉันเฝ้าสงสัยเรื่องของฮานมาตลอด ทว่าเขากลับไม่เคยเหลียวแลฉันเลยสักนิด มาตอนนี้ที่ฉันไม่หวังอะไรแล้วเขากลับอยากอธิบาย… มันสายไปแล้วหรือเปล่าฮาน “…พี่ไปเพราะเรื่องในครอบครัว” “แล้วไง ใครอยากรู้?” “มันเป็นจังหวะที่พี่มีปัญหารุนแรงกับริกกี้พอดี พี่ก็เลยเลือกที่จะปลีกตัวออกไปเพื่อยุติความขัดแย้งทั้งหมด” “รวมฉันด้วยใช่ไหม ยินดีด้วยตอนนี้นายทำสำเร็จแล้ว การจากไปครั้งนั้นได้ยุติความสัมพันธ์ของเราไปแล้ว” แม้ฉันจะพูดด้วยความรู้สึกที่ราวกับเอามีดเฉือนเนื้อตัวเองแต่ใบหน้าของฮานก็ยังคงนิ่งสงบ ไม่แม้แต่จะหวั่นไหวอะไรเลย นี่แหละฮาน… เขามักจะสุขุมเยือกเย็นเสมอไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ไม่เคยแสดงด้านอ่อนแอออกมาให้คนเห็น ยกเว้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่เขาแสร้งทำสำออยใส่ฉันบ่อยๆ “พี่เสียใจ” “พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว ยังไงก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก” ฉันข่มความเจ็บที่ตีตื้นขึ้นจุกลำคอลงไป สูดหายใจลึกเค้นเอาความเข้มแข็งออกมา ทว่าขอบตากลับร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ “สำหรับฉันฮานก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว” “ฮานคนก่อนอาจจะตายไปแล้วจริงๆ แต่คนที่ยืนอยู่ตอนนี้คือพ่อของลูกนี นีไม่ต้องยกโทษให้พี่ก็ได้ แต่เรื่องลูก...พี่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ” “จะมาอยากทำตัวเป็นพ่อที่ดีอะไรตอนนี้” ฉันมองตอบสายตาของฮาน ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงหรือมาไม้ไหนฉันก็ไม่มีทางแง้มประตูบานเดิมที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแน่นอน “ไม่ใช่แค่พ่อแต่เป็นสามีด้วย” “....” ใบหน้าฉันร้อนวาบ ถึงขั้นจังงัน “พี่” “หยุด!” ฉันขึ้นเสียงใส่ฮานที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างเพิ่งได้สติ ทั้งที่เขาต้องอาศัยไม้ค้ำแบบนั้นแต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจ คงเพราะคำพูดที่ชวนคลื่นไส้นั่นทำฉันถึงกลับเหม่อเลยรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่านี้ “บอกแล้วไงว่าเรื่องของเรามันจบไปแล้ว” “จบก็เริ่มใหม่” “นี่!” ฉันเริ่มมีน้ำโหเมื่อพูดอะไรไป ฮานก็ไม่ซึมซับเอาซะเลย “ประสาทกลับหรือไง เมื่อก่อนเคยผลักไสฉันยังไงจำไม่ได้เหรอ” “....” “กลับไปหาผู้หญิงที่นายรักโน่น แล้วก็นะ... ถ้าอยากได้ลูกมากก็ไปทำเอาใหม่ ไม่ต้องมาเสนอหน้าขอเป็นพ่อคนตอนนี้เพราะมันสายเกินไปแล้ว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD