บทที่ 4 เด็กน้อยโดนรังแก

2750 Words
แคว้นฉิน ตระกูลซู หลายวันมานี้เสี่ยวชิงอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนที่พอคุ้มหัวหลับนอนได้ คุณชายใหญ่ซูหลวนซานให้บ่าวไพร่นำของใช้จำเป็นมาให้อย่างเครื่องครัวและอาภรณ์ ถึงเเม้จะเป็นของเก่าก็ยังดีกว่าไม่มีให้สวมใส่ สองคนนายบ่าวอาศัยอยู่อย่างไม่ลำบากมากนัก คุณหนูจิวอิงยังได้กินนมวัวที่คุณชายใหญ่ซูหลวนซานให้แม่ครัวแบ่งปันเอามาให้ เธอตั้งชื่อคุณหนูน้อยว่าจิวอิง เพราะอยากให้คุญหนูเข้มแข็งและกล้าหาญที่จะเผชิญกับความยากลำบากตามชื่อของนาง เสี่ยวชิงหยิบถุงเงินที่ชายใจดีมอบให้ ภายในถุงมีเงินอยู่หลายตำลึงเงิน เเละมีเศษเงินอยู่อีกหลายอีแปะที่เหลือจากซื้อนมและหมั่นโถวที่ตลาด เสี่ยวชิงแอบนำเงินให้บ่าวที่สนิทนำไปซื้อของที่จำเป็นต่อคุณหนูจิวอิงเอาไว้ในยามฉุกเฉิน เพราะไม่อยากรบกวนคุณชายใหญ่มากเกินไป ตอนนี้ที่เรือนใหญ่กำลังวุ่นวายด้วยฮูหยินเจียวซื่อกำลังตั้งครรภ์แก่บุตรคนที่สองใกล้คลอดเต็มที ผู้คนมักรายล้อมอยู่ใกล้เรือนเพื่อความปลอดภัย ส่วนนายท่านใหญ่ช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับงานราชการที่กำลังจะหมดวาระจึงต้องเร่งสะสางที่ค้างคา นายท่านใหญ่ทำหลับหูหลับตายอมให้เสี่ยวชิงและคุณหนูน้อยจิวอิงอาศัยอยู่ แต่ก็ห้ามไม่ให้ออกมาเพ่นพล่านที่เรือนใหญ่ให้พวกเขาต้องระคายสายตา ถึงแม้เสี่ยวชิงจะรู้สึกปวดใจแทนคุณหนูจิวอิงอยู่บ้าง แต่ก็ก้มหน้าทำตามแต่โดยดี ชีวิตของเสี่ยวชิงและคุณหนูจิวอิงดำเนินไปอดบ้าง อิ่มบ้างแต่ก็มีความสุข เพราะเสี่ยวชิง ทั้งรักและหวงแหนคุณหนูจิวอิงเป็นอย่างมาก ตัวเองอดได้แต่คุณหนูของเธอต้องอิ่ม... * * สามปีผ่านไป ที่กระท่อมน้อยกลางเขามีเด็กน้อยนั่งห้อยขาอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ใบหน้ากลมแก้มยุ้ยป่อง ดวงตากลมโตพราวระยับแพขนตายาวงอน ขับให้ใบหน้านั้นดูโดดเด่นหน้ามอง ปากเล็กแดงระเรื่อนั่นอีก ทำให้ใครที่ได้เผลอมองเป็นต้องหลงใหล เด็กน้อยนามว่าเย่วซินนั่งมองเด็กหนุ่มที่ตอนนี้เติบโตขึ้นสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนนี้มากโข กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับแปลงผักไม่สนใจเธอเลยสักนิด " พี่เย่วฉี เมื่อไรจะเสร็จสักทีข้าเบื่อจะแย่แล้ว " เย่วซินเอ่ย เธอเบื่อที่ต้องมานั่งดูเขาทำงานแบบนี้ ครั้นจะลงไปช่วยก็ถูกเขาจับอุ้มมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิมอีก " ใกล้แล้วๆ เจ้าช่างใจร้อนเสียจริง ไม่เห็นเหมือนตอนเป็นเด็กทารกเลย " เย่วฉีเอ่ย พลางนึกถึงทารกน้อยที่นอนสงบนิ่งไม่ส่งเสียงร้องงอแงให้รำคาญหู ตั้งแต่นางเริ่มคลานนางก็เริ่มพูดได้เช่นกันตั้งแต่สี่ดือนแรก ใช่!!ฟังไม่ผิดนางเริ่มพูดได้ตั้งแต่สี่เดือนถึงแม้ว่าจะฟังนางพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม นางพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้เขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่บางคำนางก็พูดตามเขาบ้าง แต่นางก็ทำหน้าไม่เข้าใจในคำที่พูดตาม นางคลานไปเข้าห้องน้ำเอง ตอนลงบันไดช่วงแรกๆก็มีกลิ้งตกลงมาบ้างโชคดีที่ไม่สูงและท่านปู่ก็ไม่เห็นเขาจึงไม่โดนดุ นางชอบอ่าน ชอบเขียน ที่เขารู้เพราะนางคลานไปหยิบตำรามาเล่มหนึ่งแล้วชี้มือน้อยๆจิ้มๆลงที่ตัวอักษร เขาจึงเข้าใจความหมายและอ่านออกเสียงให้นางฟังแล้วนางก็อ่านตาม ท่านปู่และตัวเขาเองก็หัวเราะชอบใจในความฉลาดของนางนัก ท่านปู่ชอบออกจากกระท่อมเข้าเมืองบ่อยๆตั้งแต่เย่วซินมาอยู่ด้วย อาหารการกินล้วนไม่ขาด ท่านปู่ซื้อตำราเรียน กระดาษพู่กันมามากมาย เพื่อสอนเย่วซินอ่านเขียน ท่านปู่ดูจะมีความสุขมากเลยทีเดียว จนไม่รู้ว่าตนเองได้เปลี่ยนไปมากขนาดไหน " ก็ข้าโตแล้วจะให้เหมือนตอนเด็กได้อย่างไร " เย่วซินเถียงหน้านิ่ง ใช่!เธอโตแล้วอายุยี่สิบสองปีแล้วที่ภพเก่ากำลังเรียนอยู่ใกล้จะจบอยู่รอมร่อ แต่ดันมาโดนรถชนตายเสียก่อน " จ้าๆแม่สาวน้อย " เย่วฉีพูดประชดประชันด้วยความหมั่นเขี้ยว เมื่อถอนหญ้าที่แปลงผักเสร็จ จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาฟัดแก้มกลมนุ่มหลายฟอดแม้คนตัวเล็กจะโวยวายและขัดขืนก็ตาม " พี่เย่วฉี ท่านหอมแก้มข้าอีกแล้วนะ " เย่วซินที่โดนหอมแก้มไปหลายฟอดก็หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย จริงๆเธอน่าจะชินได้แล้วเพราะโดนเขาหอมแก้มอยู่ทุกวันตั้งแต่ยังแบเบาะ " ข้าจะฟ้องท่านปู่ " เย่วซินเอ่ยขู่ " ฮ่าๆตามใจเจ้า " เย่วฉีหัวเราะเสียงดัง ฟ้องหรือ?ท่านปู่ก็แค่ดุที่เขาหอมแก้มนางอยู่คนเดียว แล้วก็จบด้วยการที่นางโดนท่านปู่หอมบ้างก็เท่านั้น เด็กน้อยแก้มกลมเหลือกตามองบนฟ้าด้วยความเอือมระอา ครั้นเมื่อเห็นท่านปู่เดินมาก็รีบกระโดดลงจากแคร่ไม้ไผ่แล้ววิ่งไปหาท่านปู่ทันที " ท่านปู่กลับมาแล้ว '' เย่วซินวิ่งไปเกาะขาท่านปู่อย่างพะเน้าพะนอ " จะเอาของฝากอีกหรือ " ฮุ่ยฉินเอ่ยถามอย่างรู้ทัน เย่วซินยิ้มเขินที่ท่านปู่รู้ทัน ก็จริงอย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ " ท่านปู่รู้ทันหลานอีกแล้ว " " ฮ่าๆๆมาหอมแก้มปู่ก่อนแล้วจะให้ของฝาก " ฮุ่ยฉินทุกครั้งที่ซื้อของมาฝาก เขาก็จะขอรางวัลจากนางเสมอ พร้อมกับค้อมตัวลงรอรับริมฝีปากน้อยที่จะจุมพิตลงบนแก้มสากของตน เย่วซินยื่นหน้าหอมแก้มท่านปู่อย่างไม่อิดออดทั้งแก้มซ้ายและแก้มขวาด้วยความรักและเทิดทูนที่เลี้ยงดูเธอมา เย่วฉีมองท่านปู่ด้วยความอิจฉา นางไม่ยอมหอมแก้มของเขา โดยอ้างต้องมีของฝากมาแลกถึงจะยอม แล้วเขาจะไปหาของฝากมาจากไหนวันๆก็เฝ้าอยู่กับนางที่กระท่อมเนี่ย!! " ปู่ซื้ออาภรณ์ชุดใหม่มาให้และมีขนมด้วย เข้าเรือนไปลองชุดกันเถอะ " ฮุ่ยฉินพูดพร้อมกับอุ้มร่างเล็กขึ้นแล้วเดินเข้าเรือนทันที " ท่านปู่แล้วของฝากข้าเล่าไม่มีหรือ? " เย่วฉีร้องตะโกนตามหลังไป " ไม่มี!! " " โถ่ว..ท่านปู่ลำเอียง " เย่วฉีโอดครวญ แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรหรอก เพราะท่านแม่จะให้คนส่งเสื้อผ้าและของใช้มาให้มากมายตลอดสามปี และก็สามปีที่เขาอยู่ศึกษาตำราสมุนไพร ปลูกสมุนไพร ปรุงยากับท่านปู่ไม่ได้กลับจวนไปหาท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ใหญ่เลย " วันพรุ่งปู่จะพาเจ้ากลับจวนไปเยี่ยมบิดา มารดาเตรียมตัวให้พร้อม " ฮุ่ยฉินเอ่ยบอกหลานชาย เขาเองก็ไม่ได้กลับจวนมาหลายปีแล้วตั้งแต่เย่วซินมาอยู่ด้วย เขาเคี่ยวกำหลานชายและหลานสาวเรียนรู้ตำราต่างๆโดยเฉพาะเรื่องสมุนไพรและการปรุงยา " จริงหรือขอรับ หลานคิดถึงทุกคนแล้วเช่นกัน " เย่วฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ เขาเองก็มัวยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูเย่วซินและอ่านตำราจนเวลาล่วงมาสามปีแล้ว " จวนของท่านปู่กับพี่เย่วฉีอยู่ที่ไหนหรือเจ้าค่ะ " เย่วซินเอ่ยอย่างสงสัย เพราะท่านปู่ไม่เคยพาเธอออกไปไหนเลย นอกจากเข้าป่าหาสมุนไพรบ้างเท่านั้น " อยู่เมืองหลวง " เย่วฉีเอ่ยตอบ เย่วซินตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงเมืองหลวงเพราะเธออยู่แต่ในป่า ยังไม่เคยเห็นแสงสีในเมืองเลย อยากไปๆ.. " ฮ่าๆๆ" ฮุ่ยฉินหัวเราะเสียงดังกับท่าทางของหลานสาว เย่วซินนางตัวเล็กนิดเดียวแต่กิริยาท่าทางและความคิดของนางเหมือนผู้ใหญ่ช่างขัดแย้งกันเสียจริง " หลานขอตัวไปหาแม่มะลิก่อนนะเจ้าคะ เอ..แต่เราไปแล้วใครจะดูแลแม่มะลิเล่าเจ้าคะท่านปู่ '' เย่วซินยังอดห่วงผู้มีพระคุณอีกคน เอ้ย..อีกตัวหนึ่งไม่ได้ " ไม่ต้องห่วงหรอก ปู่จัดการเรียบร้อยแล้ว " " เจ้าค่ะ " เด็กน้อยวิ่งลงเรือนไปทางด้านหลังกระท่อมทันที แคว้นฉิน จวนตระกูลซู วันนี้ผู้คนในจวนต่างคึกคัก บ่าวไพร่ช่วยกันตระเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้นายท่านซูหลวนซานที่ได้รับตำแหน่งแม่ทัพอุดร นายท่านใหญ่จึงจัดงานเลี้ยงเล็กๆเชิญเฉพาะคนสนิทมาร่วมยินดี แม้ในจวนใหญ่จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหารไม่เคยขาด แต่ไม่ใช่กับเรือนหลังเล็กท้ายจวนที่ไม่ค่อยมีกันเท่าไรนัก แม้เสี่ยวชิงจะปลูกผักไว้กินเองบ้าง แต่ข้าวสารและเนื้อสัตว์ยังต้องปันมาจากเรือนใหญ่ ในตอนแรกๆเธอก็ยังได้รับดีพร้อมเสมอมาเพราะตอนนั้นฮูหยินเจียวซื่อตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด และหลังคลอดแล้วก็มัวแต่เลี้ยงบุตรจนต้องยกหน้าที่ดูแลจวนให้พ่อบ้านใหญ่เป็นคนจัดการและเป็นคุณชายหลวนซานที่สั่งให้บ่าวไพร่จัดหาส่งมาให้เรือนท้ายจวน เธอและคุณหนูจึงไม่ขัดสนเรื่องการเป็นอยู่ แต่หลังจากที่ฮูหยินเจียวซื่อกลับมาทำหน้าที่ ของใช้ในครัวก็ถูกตัดรอนได้บ้างไม่ได้บ้าง และเธอก็ไม่กล้าที่จะโวยวายได้เพราะช่วงหลังมานี้คุณชายหลวนซานยุ่งอยู่กับงานราชการทหารไม่ค่อยได้กลับจวนสักเท่าไร คุณชายหลวนซานบางครั้งที่ว่างจากงานท่านก็จะปลีกตัวมาเยี่ยมหลานสาวตัวน้อยโดยที่ไม่มีใครรู้และยังมอบเงินเอาไว้ให้อยู่เสมอ เสี่ยวชิงจึงเก็บเงินส่วนนี้เอาไว้ใช้ยามจำเป็น เธอจึงเอาเงินส่วนนี้มอบให้บ่าวคนสนิทเอาไปซื้อข้าวสารและของใช้มาตุนเอาไว้เสมอ " พี่เสี่ยวชิง ทำไมถึงห้ามไม่ให้เดินไปทางนั้น " จิวอิงถามด้วยความยังเด็กจึงสงสัยใคร่รู้ เพราะพี่เสี่ยวชิงมักจะกำชับเสมอว่าห้ามเดินเข้าไปเด็ดขาด " ทางนั้นมีคนใจร้ายอยู่มาก คุณจะโดนตีเอาได้เจ้าค่ะ " เสี่ยวชิงเอ่ยขู่ให้ดูน่ากลัวเข้าไว้เด็กน้อยจะได้ไม่กล้าขัดคำสั่ง "โดนตีมันเจ็บมากนะเจ้าคะ ห้ามไปเด็ดขาด " เสี่ยวชิงกำชับต่อ " อิงเอ๋อร์ไม่อยากโดนตีเจ้าค่ะ " จิวอิงทำหน้าสลดด้วยความกลัว เสี่ยวเห็นแล้วก็นึกสงสาร คุณหนูจิวอิงอยู่แต่ในเรือนหลังเล็กแห่งนี้ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นเลย " ประเดี๋ยวบ่าวจะสอนคัดตำราดีหรือไม่เจ้าคะ " เสี่ยวชิงเอ่ย เธอรับใช้คุณหนูซูเหม่ยอิง คุณหนูมักจะสอนเธออ่าน คัดตำราเป็นประจำให้เธอได้มีความรู้ " ดีเจ้าค่ะอิงเอ๋อร์ชอบ " จิวอิงมีใบหน้ายิ้มแย้มขึ้น คัดตำราดีกว่านั่งอยู่กับที่เฉยๆกระมัง " เช่นนั้นคุณหนูรอบ่าวก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะไปเตรียมสำรับเย็นก่อน " เสี่ยวชิงเอ่ย เมื่อเห็นคุณหนูพยักหน้ารับเธอก็รีบเดินเข้าครัวทันที จิวอิงนั่งเล่นอยู่หน้าเรือน หูพลันได้ยินเสียงเพลงแว่วมาไกลๆเสียงนั้นไพเราะจับใจมาก จิวอิงอยากฟังใกล้ๆจึงก้าวขาเดินออกไปตามเสียงเพลงนั้นโดยไม่คิดว่าตัวเองได้ก้าวเข้าไปยังเขตหวงห้ามเข้าแล้ว เท้าน้อยๆหยุดเดินหลังจากเสียงเพลงได้หยุดลง ภาพเบื้องหน้าเด็กน้อยไม่เคยเดินมายังที่แห่งนี้มาก่อน จึงกวาดสายตามองรอบๆ เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังสิ่งเล่นกันสนุกสนานอยู่ที่ลานกว้าง ด้วยความที่จิวอิงไม่เคยมีเพื่อนเล่นมาก่อนเลยสักครั้ง จึงอยากลองเล่นบ้าง เท้าเล็กๆจึงก้าวเดินออกไปยังกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นกันอยู่สี่ห้าคนทันที เด็กหญิงชายที่เล่นกันอยู่สี่ห้าคนหยุดชะงักทันทีที่กำลังเล่นโยนลูกบอลผ้ากันอยู่ เมื่อเห็นว่ามีคนมายืนจ้องมอง " เจ้าอย่ามายืนเกะกะขวางพวกเราหลีกไป!! " เด็กผู้ชายเเต่งตัวดีอายุราวๆหกขวบปีเอ่ยขึ้น " ขอข้าเล่นด้วยคนได้หรือไม่เจ้าคะ " จิวอิงเอ่ยเสียงอ่อนหวานออกไป " ข้าไม่ให้เล่นเจ้าแต่งตัวสกปรกไปไกลๆพวกเราเลย " เด็กหญิงตัวน้อยวัยน่ารักเอ่ยขึ้น นางคือซูเจียวเหมยวัขสามขวบปี บุตรีแม่ทัพที่เพิ่งได้รับตำแหน่งหมาดๆ เด็กน้อยจิวอิงยังยืนนิ่งถึงแม้จะโดนไล่แต่ก็ยังไม่ได้ถอยกลับเรือน " คุณหนูซูเจียวเหมยบุตรสาวเจ้าของเรือนเอ่ยไล่ไม่ได้ยินหรืออย่างไร! " เด็กหญิงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับผลักจิวอิงล้มลงกอลกับพื้น " โอ้ยย.." จิงอิงร้องเสียงดังด้วยความเจ็บ แต่ก็ยังกลั้นไม่ให้สะอื้นออกมา " พอๆเลยพวกเจ้า ถ้านางอยากเล่นด้วยก็ให้นางเล่นกับพวกเราสิ " เด็กผู้ชายคนเดิมเอ่ยขึ้น แม้หลายคนจะสงสัยว่าทำไมถึงยอมให้เด็กไร้สกุลแต่งตัวมอมแมมเล่นด้วย แต่เมื่อเห็นคุณชายหลิวหยิบลูกบอลผ้ามาแล้วปาใส่เด็กที่ยังนั่งอยู่ผู้นั้นก็นึกสนุกกันขึ้นมาทันที " โอ้ย..ๆ.." เด็กชาย เด็กหญิงผลัดกันปาลูกบอลผ้าใส่จิวอิงอย่างสนุกสนานเสียงดังเฮฮา ปาโดนบ้างไม่โดนบ้าง แรงบ้าง เบาบ้าง แต่เด็กน้อยสามขวบมีหรือที่จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด จิวอิงน้ำตาไหลอาบแก้ม ได้แต่ขดตัวยกมือขึ้นป้องหน้าตัวเองด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะมีบ่าวไพร่ที่ติดตามดูแลเด็กเหล่านั้นอยู่ แต่ก็หาได้มีสักคนที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ " หยุด!!..พวกเจ้าทำอันใดกันหรือ? " เสียงเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความสนุกสนาน เขาคือบุตรคนโตของแม่ทัพหลวนซาน นามว่าซูหมิงลู่ในวัยสิบขวบปี " ท่านพี่ ข้ากำลังเล่นปาบอลกันเจ้าค่ะ " ซูเจียวเหมยรีบวิ่งไปหาพี่ชายทันทีที่เอ่ย ซูหมิงลู่ที่ได้ยินเสียงเด็กๆเล่นกันเสียงดังจึงเดินออกมาดู แต่หลานชายของแม่ทัพใหญ่ขอตามออกมาด้วย เพราะอยากมาสูดอากาศด้านนอก และเมื่อมาถึงเห็นน้องสาวและสหายกำลังปาบอลใส่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เขาที่เห็นดังนั้นจึงต้องเอ่ยห้ามปรามเสียหน่อย แม้ว่าจะไม่เคยเอ่ยบ่นน้องสาวของเขาเลยสักครา " แล้วเหตุใดถึงต้องปาใส่นาง? " ซูหมิงลู่เอ่ยถามน้องสาว " ก็นางมาขอเล่นด้วยเจ้าค่ะ คุณชายหลิวจึงยอมให้นางเล่นเป็นเป้าบอล นางอยากเล่นเองนะเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงต้องดุข้าด้วย " ซูเจียวเหมยทำแง่งอนใส่พี่ชาย หยางหลงที่ขอติดตามออกมาสูดอากาศภายนอก ยืนฟังอยู่เพียงครู่ ก็หันไปหาเด็กน้อยที่ยังนอนขดตัวอยู่ เขาจึงเดินไปช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นยืน " เจ้ายืนไหวหรือไม่ " หยางหลงวัยสิบสองขวบปีเอ่ยถาม จิวอิงพยักหน้าตอบรับ ยามนี้ดวงหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มดวงหน้า " เจ้าจะไปไหนก็ไป อย่ามาเดินเกะกะแถวนี้อีก เป็นบ่าวไม่อยู่ส่วนบ่าวถ้าไม่เชื่อฟังข้าจะให้ท่านพ่อลงโทษแม่ของเจ้าที่ไม่อบรม " ซูหมิงลู่เอ่ย จิวอิงหันตัวกลับหลังแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อรู้ว่าตัวเองจำทางกลับเรือนไม่ถูก เด็กน้อยหันซ้ายหันขวา จะก้าวไม่ก้าวทำซ้ำๆอยู่หลายครา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD