บทที่ 6 รอยปริศนา

2220 Words
"มันเป็นบุญวาสนาที่ทำให้ข้าได้พบเจอนาง ข้าไม่รู้หรอกว่าบิดามารดาของนางคือผู้ใด รู้แต่ว่ามารดาของนางนอนสิ้นใจอยู่ในป่าทึบแคว้นฉิน ข้าและเย่วฉีพบเจอเข้าจึงช่วยเด็กออกมาได้ทันก่อนที่นางจะสิ้นใจตายตามมารดาไป แล้วตลอดระยะเวลาสามปีก็เป็นอาฉีที่เลี้ยงดูนางมาเองกับมือ " ฮุ่ยฉินเอ่ยเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้ทุกคนได้ฟัง " ห๊า!!.." สองเสียงประสานกันอย่างตกใจส่วนเย่วเทียนก็มองมาที่น้องชายอย่างประหลาดใจเช่นกัน " เจ้าเลี้ยงนางมาได้อย่างไร เลี้ยงเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ " จูเซียนเอ่ยอย่างสงสัย ตนเองเลี้ยงบุตรทั้งสองคนมาถึงแม้จะมีสาวใช้คอยช่วยดูแลแต่ก็ยังคงเหนื่อยล้ามากเช่นกัน " พวกเจ้าไม่ต้องสงสัยหรอกเย่วซินไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆนางพิเศษกว่าเด็กธรรมดารู้แค่นี้ก็พอ ทานข้าวกันเถิดกับข้าวจะเย็นชืดเสียหมด " ฮุ่นฉินเอ่ยตัดบทเพราะถ้าให้เล่าคงยืดยาวทั้งวันก็ไม่จบกับเรื่องวีรกรรมของหลานสาวตัวแสบ เย่วซินตักอาหารทานเองได้โดยไม่ต้องมีคนป้อนและยังไม่หกเลอะเทอะอีกด้วย นางใช้ตะเกียบคล่องแคล่วราวกับคนโตเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าแขนสั้นป้อมจะตักอาหารไม่ถึงแต่เย่วฉีที่นั่งอยู่ข้างๆก็คอยตักใส่ถ้วยของนางอย่างสม่ำเสมอ สายตาของหมิงอวี้หลางและภรรยามองเด็กสองคนแล้วยิ้มตามกับภาพที่เห็นอาฉีดูเป็นเด็กที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแถมยังเป็นเด็กชายที่อบอุ่นด้วยเสียด้วย ผิดกับอาเทียนที่เคร่งขรึมไม่ค่อยพูดจาวันๆเอาแต่ฝึกปราณยุทธ์พอว่างก็เข้าห้องตำราหมกมุ่นอยู่ในนั้นนานสองนาน " อาหลางวันนี้ไม่เข้าวังหรือ? " ฮุ่ยฉินเอ่ยถามบุตรชาย เพราะบุตรชายทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ " วันนี้เข้าช้าหน่อยขอรับท่านพ่อ นานๆจะได้อยู่พร้อมหน้าเช่นนี้ " " แล้วท่านพ่อไม่เข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือขอรับ พระองค์ทรงตรัสถามถึงอยู่บ่อยครั้ง " อวี้หลางเอ่ยถามบิดาที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับฮ่องเต้ทั้งสองรักกันดุจพี่น้อง ท่านพ่อจากเมืองเข้าป่ามาหลายปีพระองค์ทรงคิดถึงอยู่ไม่น้อย ฮุ่ยฉินครุ่นคิดอยู่ในใจตนเองไม่ได้พบฮ่องเต้มานานมากแล้วไปพบเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน "เช่นนั้นเจ้ากราบทูลฮ่องเต้ว่าพรุ่งนี้ยามอู่ข้าจะขอเข้าพบ " " รับทราบขอรับท่านพ่อ " หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยจูเซียนขออนุญาติบิดาของสามีให้เย่วซินเรียกตัวเองว่าท่านแม่และเรียกสามีว่าท่านพ่อและท่านก็อนุญาติ จูเซียนพาเด็กน้อยเย่วซินมานั่งที่เก๋งกลางสวนดอกไม้ ในสวนมีดอกไม้มากมายหลายชนิดส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว เย่วซินกวาดสายตามองรอบๆจวนพบว่าจวนหลังนี้กว้างขวางมากจนมองไม่สุดตา บ่าวไพร่ก็มากมายเดินกันขวักไขว่ถ้าให้เธอเดินสำรวจรอบๆคงได้หลงทางกันบ้าง " ซินเอ๋อร์เจ้าชอบที่นี่หรือไม่ " จูเซียนเอ่ยถามเด็กน้อย " ชอบมากเลยเจ้าค่ะ " เย่วซินเอ่ยตอบเสียงใส " เช่นนั้นเจ้าอยู่กับแม่ที่นี่เลยดีหรือไม่ ไม่ต้องตามท่านปู่กลับเข้าป่าอีกแล้ว " จูเซียนอยากให้เด็กน้อยอยู่กับตนเอง เธออยากมีบุตรสาวมานานแล้ว " ท่านแม่!!..ท่านกำลังล่อลวงนางอยู่ ข้าไม่ยอมหรอก ข้าเลี้ยงนางมาแต่อ้อนแต่ออกนางต้องอยู่กับข้าสิขอรับ " เย่วฉีเอ่ยขัดขึ้นมาทันที " เจ้าลูกตัวดี ถ้าเจ้าไม่อาสาเลี้ยงดูนางท่านปู่คงเอานางมาให้แม่เลี้ยงเองแล้วมันช่างน่านัก.." จูเซียนเอ่ยเสียงหงุดหงิดมองบุตรตาเขียวปัดพลางคิดในใจว่าต้องทำอะไรบางอย่างกับเด็กคนนี้เสียบ้างแล้ว " ซินเอ๋อร์ พี่จะพาเจ้าไปเดินชมรอบจวนไปกันเถิด " เย่วฉีเอ่ยชวนเด็กน้อย " ท่านแม่ข้าจะพาซินเอ๋อร์ชมรอบจวนประเดี๋ยวกลับมานะขอรับ " เย่วฉีเอ่ยขอมารดา " ก็ได้ๆดูแลน้องดีๆล่ะ " " ขอรับ " หลังจากนั้นเย่วฉินก็พาเย่วซินเดินดูรอบๆจวนจนมาถึงลานฝึกยุทธ์ เย่วฉีพาเด็กน้อยเดินมายังกระโจมด้านข้างที่มีพี่ชายนั่งพักอยู่ " พี่ใหญ่ข้าพาซินเอ๋อร์มาดูพี่ใหญ่ฝึกยุทธ์ขอรับ" เย่วฉีเอ่ยบอกพี่ชาย " นางเป็นหญิงใยไม่พาไปชมสวนกันเล่า " เย่วเทียนเอ่ยบอกน้องชาย " ข้าพาไปจนรอบจวนแล้วเหลือแต่ที่นี่แหละขอรับ " เย่วฉีเอ่ยกับพี่ชายแล้วหันไปถามเด็กน้อย "ซินเอ๋อร์เจ้าชอบอาวุธพวกนี้หรือเปล่าถ้าชอบพี่จะขอพี่ใหญ่ให้" " เจ้านี่!! นางยังเล็กใยเจ้าให้นางจับอาวุธ " เย่วเทียนเอ่ยดุน้องชายถ้าเกิดพลาดพลั้งไปนางคงเลือดตกยางออกเป็นแน่ " พี่ใหญ่นางเหมือนเด็กคนอื่นที่ไหนกันเล่า " เย่วฉีเอ่ยบอกพี่ชาย เย่วซินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตวัดสายตามองเย่วฉีตาขวางทันที มาหาว่าเธอไม่เหมือนเด็กคนอื่น ไม่เหมือนอย่างไรกันเธอก็ปกติดี.. " แฮะๆพี่ไม่ได้ว่าเจ้าเลยนะซินเอ๋อร์พี่ชมเจ้าต่างหาก " เย่วฉีรีบเอ่ยแก้ตัวเมื่อเห็นเด็กน้อยมองตาขวางใส่ตน " พวกเจ้าไปเล่นกันที่อื่นประเดี๋ยวจะโดนลูกหลงบาดเจ็บเอาได้ " เย่วเทียนเอ่ยอย่างเป็นห่วงแต่น้ำเสียงที่ค่อนข้างแข็งกระด้างถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักนิสัยอาจจะเหมือนว่าเขากำลังไล่เพราะรำคาญก็เป็นได้ เย่วซินสังเกตุมองพี่ชายของอาฉีคนนี้อายุๆราว11ปีแต่ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่อยู่มากหน้าตาหล่อเหลาคมคายตั้งแต่ยังเล็กเช่นนี้โตขึ้นคงป้อปในหมู่สาวๆเป็นแน่ ผู้ชายเย็นชาน่าสนใจดี.. เย่วเทียนที่รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองอยู่เขาจึงหันไปสบตา สายตาดุดันจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตสุกสกาวนั่นนางไม่ยอมหลบสายตาของเขา ถ้าเป็นเด็กคนอื่นคงเกรงกลัวหรือหลบสายตาไปแล้ว ดวงตากลมโตนั่นมีแววตาไม่เหมือนเด็กสามขวบแต่เหมือนแววตาของผู้ใหญ่เสียมากกว่า หลังจากจ้องมองกันชั่วครู่เย่วซินจึงเป็นฝ่ายเบนสายตาออกแล้วหันไปชวนเย่วฉีกลับเรือน แต่เท้าเล็กที่กำลังก้าวเดินออกไปนั้นกลับรู้สึกเจ็บข้อเท้าขึ้นมาเหมือนเดินเจ็บๆขัดๆจึงนั่งลงกับพื้นแล้วถอดรองเท้าออกโดยไม่กลัวว่าชุดสวยที่สวมใส่อยู่จะเปอะเปื้อนดินเลยซักนิด " เท้าของเจ้าเป็นอะไรรึ?ทำไมถึงบวมขนาดนี้ " เย่วฉีนั่งยองข้างๆร่างเล็กแล้วมองไปที่ข้อเท้าของนาง เย่วซินส่ายหน้า ก็เธอไม่รู้จริงว่ามันเป็นอะไรเกิดขึ้นมาได้อย่างไร " หน้าเจ้าแดงสงสัยจะมีไข้ด้วยขึ้นขี่หลังพี่เถอะเจ้าเดินกลับเองไม่ไหวหรอก " เย่วฉีเอ่ยพร้อมหันหลังให้ร่างเล็กได้ขึ้นขี่ เย่วซินใส่รองเท้ากลับที่เดิมค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้วกางแขนโอบรอบคอของเย่วฉีลำตัวโน้มแนบติดไปกับแผ่นหลัง เย่วฉีลุกขึ้นยืนแล้วเอามือจับขาทั้งสองข้างของเด็กน้อยเอาไว้ไม่ให้นางลื่นหล่นแล้วก้าวเท้าเดินกลับเรือนทันที เย่วเทียนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ก็เดินกลับเรือนตามหลังมาห่างๆเช่นเดียวกัน เมื่อมาถึงที่โถงด้านหน้าท่านแม่ที่กำลังนั่งสนทนาอยู่กับท่านปู่เมื่อเห็นเด็กน้อยกลับมาก็รีบเดินไปอุ้มทันที " ท่านแม่นางมีไข้ขอรับ " เย่วฉีเอ่ยบอกมารดาทันทีด้วยน้ำเสียงร้อนรน ฮุ่นฉินเมื่อได้ยินหลานชายบอกเช่นนั้นก็รีบลุกมาดูหลานสาวตัวน้อยเช่นเดียวกันตั้งแต่เขารับนางมาเลี้ยงดูนางยังไม่เคยเจ็บป่วยสักครั้งร่างกายแข็งแรงนัก " พานางไปที่เรือนรับรองก่อนข้าจะตรวจดูอาการนางเอง " ฮุ่ยฉินเอ่ย เรือนรับรองอยู่ติดกับเรือนหลักใกล้เรือนนอนของตนระหว่างทางเดินเย่วฉีก็เล่าว่าเท้าของนางบวมมากน่าจะอักเสบเลยทำให้มีไข้ จูเซียนให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดตัวเมื่อมาถึงก็วางเด็กน้อยนอนลงบนเตียงปลดอาภรณ์ที่สวมใส่ออกเหลือเเต่เอี้ยมตัวจิ๋วเพียงเท่านั้นเพื่อสะดวกแก่การเช็ดตัว เเต่ครั้นเมื่อเห็นผิวขาวบอบบางของเด็กน้อยมีรอยฟกช้ำก็ต้องตกใจไม่เพียงแต่จูเซียนเพียงเท่านั้น สายตาหลายคู่ในห้องนั้นต่างตะลึงจนนิ่งค้างด้วยความตกใจและแปลกใจ ร่างเล็กที่พวกตนกำลังมองอยู่นั้นบัดนี้มีแต่รอยฟกช้ำทั่วบริเวณลำตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลังเท้าก็บวมเปล่งจนน่ากลัว " ซินเอ๋อร์ทำไมถึงมีรอยช้ำไปทั้งตัวเช่นนี้เจ็บมากหรือไม่ " จูเซียนเอ่ยถามเด็กน้อยอย่างห่วงใย เย่วซินส่ายหน้าเบาๆดวงตาสะลึมสะลือจะปิดแหล่ด้วยความเพลียและพิษไข้ "ไม่เจ็บเจ้าค่ะ" ฮุ่ยฉินมองรอยฟกช้ำก็ทำให้ตนสงสัยแต่ก็หาคำตอบไม่ได้เพราะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกนางไม่เคยห่างสายตาเขาจนต้องเกิดบาดเจ็บเช่นนี้เลย ฮุ่ยฉินพับเก็บความสงสัยหยิบยาลดไข้ให้หลานสาวได้ทานแล้วส่งยาทาแก้ฟกช้ำให้สะใภ้ของตนทาให้เด็กน้อย เย่วฉียืนมองตาแดงกล่ำแม้ไม่มีน้ำตาไหลออกมาเพราะตนได้อดกลั้นมันเอาไว้ในใจเจ็บปวดไม่น้อย เขาเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เล็กไม่เคยต้องมาเจ็บตัวถึงเพียงนี้ผิวนางบอบบางมากแค่จับเบาๆก็เป็นรอยแดงแล้ว แต่ภาพที่เห็นมันเขียวช้ำทั่วทั้งตัวนางไปโดนอะไรมากันแน่..ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะเจ็บแทนนางเหลือเกิน เย่วเทียนยืนมองเหตุการณ์เงียบๆอยู่หน้าประตูเห็นร่างกายของเด็กน้อยแล้วอดคิดไม่ได้ว่านางตัวนิดเดียวทำไมถึงได้ทนต่อความเจ็บปวดได้ขนาดนี้กัน แล้วไหนว่าเจ้าน้องชายตัวดีของตนเลี้ยงดูนางมาอย่างดีแล้วเหตุใดนางถึงได้มีสภาพเช่นนี้ได้ เย่วเทียนเดินหันหลังกลับไปยังห้องตำราอย่างเคยเขาชอบอ่านตำราศึกษาหาความรู้รอบด้านที่ยังไม่เคยได้พบเจอการอ่านตำราก็เหมือนกับการได้ท่องเที่ยวและเป้าหมายของเขาคือการออกสู่โลกกว้างท่องยุทธภพให้ได้สักครั้งหนึ่ง.. มื้ออาหารเย็นวันนี้เย่วซินและเย่วฉีทานกันในเรือนรับรอง จริงๆแล้วเย่วซินไม่ได้รู้สึกเจ็บมากมายสักเท่าไรแต่ที่เท้าบวมและแดงมากขึ้นนั้นคงเพราะเดินสำรวจจวนนานไปหน่อยเท่านั้นเอง " นี่ๆอาฉีเลิกทำสีหน้าแบบนั้นสักทีเถอะ " เย่วซินแกล้งพูดเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กน้อย แต่ก็จริงๆนั้นแหละความคิดความอ่านของเธอถ้ารวมกับภพที่แล้วก็ยี่สิบกว่าไปแล้ว " อาฉีๆเรียกแบบนี้อีกแล้วพี่โตกว่าเจ้านะ " เย่วฉีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแง่งอนแต่มือก็คีบอาหารใส่ถ้วยให้เด็กน้อย ปกตินางชอบทานรสจัดชอบทานเผ็ดผิดวิสัยเด็กแต่ยามนี้นางป่วยจึงทานข้าวต้มกับอาหารรสชาติอ่อนๆแทน เย่วซินเบะปากส่ายหน้าดุกดิกอย่างกวนๆตอนนี้ไข้ลดลงแล้วเพราะได้ทานยาไปและนอนหลับพักผ่อนไปตื่นใหญ่ จึงทำให้เธอสดชื่นและคงนอนไม่หลับอีกแน่ในช่วงหัวค่ำนี้ " อาฉีที่นี่มีห้องหนังสือไหม " เย่วซินเอ่ยถาม " ห้องตำราหรือ? " เย่วซินพยักหน้ารับ " มีอยู่ติดกับเรือนหลักข้างห้องของท่านปู่เจ้าอยากอ่านตำราหรือ " เย่วฉีเอ่ยถามเพราะนางชอบอ่านตำรามากท่านปู่ก็เลยซื้อมาให้เสียมากมายในกระท่อม " พาข้าไปหน่อยข้าอยากอ่านหนังสือ " " แต่พี่ไม่อ่านกับเจ้าหรอกนะ ตอนที่อยู่กระท่อมก็ให้พี่ฝึกอ่านภาษาอะไรก็ไม่รู้แปลกพิลึก " เย่วฉีบ่นอุบ นางให้เขาสอนอ่านเขียนโดยแลกกับการที่นางสอนเขาอ่านเขียนเช่นเดียวกันนางสอนภาษาไทยและภาษาอังกฤษถึงตอนนี้เขาจะยังไม่เก่งมากแต่ก็พอพูดตอบโต้กับนางได้และนี่ก็คืออีกหนึ่งเรื่องประหลาดที่บอกว่านางไม่เหมือนเด็กทั่วไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD