บทที่ 7 คนไข้รายแรก

2615 Words
เย่วฉีอุ้มร่างน้อยเดินมายังห้องตำราห้องนี้กว้างขวางมีตำรามากมายหลายอย่างจัดแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างมีระเบียบง่ายต่อการค้นหา " เจ้าจะอ่านตำราอะไรบอกพี่มาประเดี๋ยวจะหยิบมาวางเอาไว้ให้ " เย่วฉีเอ่ยถามเพราะนางตัวเตี้ยนิดเดียวคงหยิบไม่ถึงพลางอุ้มนางเดินดูตำราตามชั้นต่างๆ เย่วซินมองไปรอบๆเห็นมีเก้าอี้วางอยู่จึงเอ่ยบอกคนตัวโต "ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวข้าหยิบเอง"เย่วซินเอ่ยพร้อมชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง "อ้อ!ตอนนี้อุ้มข้าไปหยิบเล่มนนั้นก่อน" เย่วซินชี้นิ้วไปที่หนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนว่าฝึกพลังปราณ เย่วซินหยิบหนังสือที่เธอจะอ่านและให้เย่วฉีอุ้มมานั่งที่ตั่งยาวมีฝูกสีขาวนุ่มนิ่มปูเอาไว้แล้วจึงให้เขาออกไปได้ เธอนั่งอ่านหนังสือเงียบๆด้วยความสนใจ ยุคสมัยนี้มีคนที่ฝึกพลังปราณกันอยู่จำนวนมากและส่วนมากจะเป็นบุรุษแต่ใช่ว่าจะฝึกฝนกันได้ทุกคน บางคนเส้นพลังปราณเล็กมากไม่สามารถฝึกได้ และคนที่ฝึกพลังปราณได้ก็ต้องมีเส้นพลังที่ใหญ่หนาและแข็งแรงจะได้ไม่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือเส้นพลังฉีกขาดขณะฝึกฝน ' อืม..นับว่ายากอยู่พอสมควรแล้วเส้นพลังของเธอมันใหญ่หรือเปล่านะ' เย่วซินคิดในใจ เย่วซินเปิดอ่านหนังสือไปเรื่อยๆจนจบเล่มแล้วลุกขึ้นยืนโดยทิ้งน้ำหนักไปยังเท้าข้างที่ไม่เจ็บเดินโขยกเขยกลากเก้าอี้มายังจุดที่หยิบหนังสือออกมาเพื่อจะเก็บมันเข้าที่ เธอปีนขึ้นเก้าอี้เอื้อมมือเพื่อวางหนังสือเก็บเข้าที่แต่เหลืออีกนิดเดียวก็จะถึงเธอเขย่งปลายเท้าจนสุดแล้วเอื้อมมือจนสุดแขน แต่เท้าของเธอที่ยังไม่หายเจ็บดีมันดันกำเริบเจ็บแปลบขึ้นมาจนเสียหลักหงายหลังเย่วซินหลับตาแน่นเกร็งตัวเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เอ๊ะ..ทำไมมันไม่เจ็บเสียทีคิดได้ดังนั้นจึงลืมตาขึ้นมามอง พลันสบสายตาเข้ากับดวงตาคมดุกำลังจ้องมองมายังเธออยู่เช่นกัน และตอนนี้เขากำลังอุ้มร่างน้อยๆของเธอเอาไว้ในอ้อมแขน เย่วซินหัวใจเต้นแรงเมื่อถูกหนุ่มเย็นชาหน้าน้ำแข็งอุ้มถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังเป็นเด็กชายแต่ประกายความหล่อช่างเต็มสิบเหลือเกิน 'โชคดีชะมัดอย่างน้อยครั้งหนึ่งเธอก็เคยอยู่ในอ้อมแขนของเขาแหละน่า..' " คิดแก่แดดอะไรอยู่รึ? " เย่วเทียนเอ่ยถามเมื่อเห็นแววตาและสีหน้ากรุ้มกริ่มของเด็กน้อย " ปะ..เปล่าคิดเสียหน่อย " เย่วซินเอ่ยปฏิเสธเสียงกุกกักที่โดนจับได้ว่าคิดไม่ซื่อ คนอะไรฉลาดเป็นบ้า เย่วเทียนหยิบตำราในมือของเด็กน้อยมาเก็บไว้ที่เดิม "เจ้าอ่านออกหรือ?" เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเเอบมองนางอยู่สักพักหนึ่งแล้วตั้งแต่นางเข้ามาจนถึงตอนที่ลากเก้าอี้เพื่อเก็บตำรา ดีนะที่เขาอยู่ในห้องนี้พอดีไม่เช่นนั้นเด็กน้อยคงได้เจ็บตัวอีกเป็นแน่ เด็กน้อยพยักหน้าตอบแต่เขาไม่เชื่อหรอกเด็กสามขวบจะอ่านตำราที่เข้าใจอยากเช่นนี้ได้อย่างไร นางคงเปิดดูภาพวาดหรือไม่คงซุกซนตามประสาเด็กอยาดรู้อยากเห็นเพียงเท่านั้น " จะกลับเรือนเลยหรือไม่ข้าจะเดินไปส่ง " เพราะเขาเองก็จะกลับเรือนเเล้วเช่นกันปล่อยเด็กน้อยเอาไว้เช่นนี้ไม่ได้ประเดี๋ยวรื้อตำราเสียหายกันหมดพอดี เย่วซินที่เพิ่งอ่านหนังสือไปแค่เล่มเดียวก็อยากจะอ่านต่ออีก แต่เมื่อเห็นสายตาดุดันคู่นั้นเธอก็รู้ความหมายทันที " กลับก็ได้เจ้าค่ะ " เย่วซินตอบไม่เต็มเสียงเท่าไร เย่วเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็อุ้มร่างเล็กเดินออกไปจากห้องตำรามุ่งหน้ากลับเรือนส่งเด็กน้อยเข้านอนทันที " นอนได้แล้วอย่าเที่ยวซุกซนให้มาก " เย่วเทียนเอ่ยหลังจากวางร่างเล็กบนเตียงนอนเรียบร้อย น้ำเสียงที่เอ่ยคล้ายดุเล็กน้อยเพราะขาดความอ่อนโยนของน้ำเสียงไป "แล้วทายาหรือยัง" เย่วเทียนเอ่ยถามต่อแต่ในใจกลับนึกก่นด่าตนเองว่าทำไมต้องถามด้วยเขาไม่ได้เป็นห่วงนางเสียหน่อย " ยังเลยเจ้าค่ะ " เย่วซินเอ่ยตอบโดยแอบหวังว่าเจาจะเป็นห่วงและอาสาทายาให้เธอ " เช่นนั้นก็รีบทารีบนอนเสีย " เย่วซินผิดหวังอย่างแรงแต่อย่างว่าผู้ชายเย็นชาหน้าน้ำแข็งต้องแบบนี้แหละถึงจะเจ๋งโคตรๆ..ยืนหยัดความเย็นชาเอาไว้ให้ตลอดไปนะข้าชอบ.. " คิดเรื่องแก่แดดอีกแล้วรึ?ฮึ.." เย่วเทียนเอ่ยจบก็เดินจากไปทันที เย่วซินอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นไม่ยิ้มก็ว่าหล่อแล้วแต่เมื่อกี้เขายิ้มเธอตาไม่ฝาดแน่นอนถึงจะเป็นเพียงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก็เถอะ โอเอ็มจี.ใจละลายแล้วแม่จ๋า..อิจฉาผู้หญิงของเขาในอนาคตเหลือเกินอยากเป็นคนๆนั้นจัง..เฮ้อ เย่วซินเลิกคิดเพ้อฝันแล้วทายาที่ขา ตามตัวเสร็จเรีบยร้อยก็เตรียมเข้านอน แต่มารดันผจญเสียก่อนเป็นแบบนี้ตลอดแต่ก็เอาเถิดถือว่าร่างนี้ยังเล็กนักแล้วเขาก็เปรียบเสมือนบิดาของเธอก็ว่าได้ก็ผู้ที่ป้อนข้าวป้อนน้ำเธออย่างไรเล่าจะใครเสียอีก เย่วฉีเดินไปรับเด็กน้อยที่ห้องเก็บตำราแต่ไม่พบจึงเดินมาหาที่เรือนนอนแล้วเห็นว่านางกำลังจะเข้านอนพอดิบพอดี เขาจึงเดินเข้าไปลงนอนข้างๆเด็กน้อยหอมแก้มกลมยุ้ยทั้งสองข้างแล้วกอดร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมแขนนอนหลับไปด้วยกันทั้งคู่ เช้าวันนี้เย่วซินและเย่วฉียังคงทานอาหารกันอยู่ที่เรือนพัก จวนแห่งนี้มีบ่าวไพร่มากมายไม่ต้องลุกมาหุงหาอาหารเองแถมยังมีแต่ของอร่อยๆถึงแม้จะสู้ภพก่อนของเธอไม่ได้ก็ตาม แต่ก็อร่อยกว่าฝีมือของท่านปู่ก็แล้วกัน หลังทานอาหารเสร็จเรียบร้อยเธอกับเย่วฉีก็ขลุกกันอยู่ในเรือน เย่วซินสอนเย่วฉีอ่านเขียนภาษาของภพก่อนคือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เธอสอนเขามาสองปีกว่าแล้วถึงแม้ว่าเขาจะอิดออดไปบ้างก็ตามเธอสอนเขาทุกวันอย่างน้อยก็วันละหนึ่งชั่วยาม เพราะเย่วฉียังต้องท่องตำราสมุนไพรและฝึกปรุงยาอีก ด้านโถงหลักมีฮุ่ยฉิน อวี้หลาง จูเซียนและเย่วเทียนนั่งคุยสนทนากันอยู่ " อาเทียนเจ้าจะไปสำนักศึกษาเมื่อไรหรือ " อวี้หลางเอ่ยถามบุตรชาย " เดือนหน้าขอรับท่านพ่อ '' " ไม่รู้ว่าอาฉีจะยอมเข้าสพนักศึกษาหรือไม่ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก " อวี้หลางหันไปเอ่ยกับบิดาเขาอยากให้บุตรคนเล็กได้่เล่าเรียนเพิ่มพูนความรู้จะได้ไม่อายผู้ใด ฮุ่ยฉินพยักหน้ารับรู้ความคิดของบุตรเขาเองนั้นสอนเพียงตำราสมุนไพรและฝึกวรยุทธ์เล็กน้อยเท่านั้นแต่มันไม่พอบันฑิตต้องมีความรู้รอบด้าน "ข้าจะลองถามอาฉีให้แต่ตอนนี้อาฉีตัวติดซินเอ๋อร์ตลอดเวลาพวกเจ้าก็เห็น" อวี้หลางและจูเซียนถอนหายใจยาวด้วยความกลุ้มใจและลอบมองสายตากันอย่างมีแผนที่ทั้งสองเคยคุยกันเอาไว้ว่าท่านพ่อกลับมาคราวนี้จะไม่ยอมให้ท่านกลับเข้าป่าอีกเป็นอันขาดและพวกเขาก็พอมีความหวังโดยการนำตัวเด็กน้อยซินเอ๋อร์มาเป็นข้ออ้างในครั้งนี้ " ท่านพ่อเช่นนั้นข้าขอตัวเข้าวังก่อนขอรับ " อวี้หลางเอ่ยพร้อมโค้งศีรษะแล้วเดินจากไปเขาคงต้องหาตัวช่วยอย่างพี่น้องร่วมสาบานของท่านพ่อมาช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอีกทางหนึ่ง เย่วฉีเรียนอ่านภาษากับเย่วซินได้หนึ่งชั่วยามก็รีบเผ่นออกจากห้องทันทีนางชอบเคี่ยวเข็ญเขาให้อ่านเขียนไปทำไมก็ไม่รู้พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่อง อ้อ!มีท่านปู่อีกคนที่พอเข้าใจอยู่บ้างเพราะบางครั้งท่านปู่นึกสนุกก็มาร่วมวงร่ำเรียนด้วย " เจ้าจะรีบไปไหนทำหน้าอย่างกับหนีอะไรมา " เย่วเทียนถามน้องชายที่เดินสวนออกมาตรงหน้าเรือนหลัก " ข้าหนีซินเอ๋อร์นางชอบเคี่ยวเข็ญข้าให้อ่านเขียนตำราภาษาประหลาด " เย่วฉีเอ่ยตอบแบบลวกๆ "พี่ใหญ่จะไปซ้อมวรยุทธ์ที่ลานฝึกหรือ?ให้ข้าไปด้วยคนนะ" เย่วฉีทำตาปริบๆเป็นเชิงขอร้องอ้อนวอน เย่วเทียนไม่ตอบแต่ไม่ได้ปฏิเสธแล้วเดินนำหน้าไปยังลานฝึกทันที เขาฝึกซ้อมกระบี่ ยิงธนู มีดสั้นและอีกหลายอย่างเผื่อวันข้างหน้าได้ออกท่องยุทธภพจะได้มีวิชาป้องกันตัวจากภัยอันตราย ส่วนครูฝึกก็เป็นท่านพ่อที่เป็นผู้หามาให้ เย่วฉีเองก็พอมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เก่งกาจเท่าใดเพราะไม่ค่อยได้ฝึกซ้อมมัวแต่ศึกษาด้านการแพทย์เสียมากกว่า หลังจากท่านปู่เปิดจุดพลังปราณในร่างกายให้ก็ฝึกซ้อมกับท่านปู่บ้างเวลาว่างๆ วันนี้เห็นพี่ชายฝึกซ้อมก็นึกอยากลองบ้างในช่วงที่ยังอยู่ที่จวนแห่งนี้.. เย่วซินตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในเก๋งริมสระบัวมีท่านแม่จูเซียนนั่งมวยผมเป็นก้อนซาลาเปากลมดิกสองก้อนอยู่บนหัวของเธอ จริงๆเธอชอบถักเปียมากกว่าดูดีกว่าซาลาเปาสองก้อนบนหัวเป็นไหนๆ แต่เอาเถิดเพื่อความสบายใจของท่านแม่จูเซียนเธอทนได้... บ่ายนี้ท่านปู่เดินทางเข้าวังเพื่อเข้าองค์ฮ่องเต้เย่วฉีก็หนีหน้าไปยังไม่ยอมโผล่หัวกลับมาตอนนี้เธอรู้สึกเบื่อเป็นอย่างมากหลังจากที่นั่งเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ให้ท่านแม่เล่นมาเกือบหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ “ ท่านแม่ที่จวนมีห้องปรุงยาหรือไม่เจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยถามเพราะไม่แน่ใจเธอเองก็ลืมถามท่านปู่เสียสนิท “มีสิท่านปู่ของเจ้าชอบปรุงยาชอบสะสมสมุนไพรหลากหลายชนิด” “อย่างนั้นหรือเจ้าค่ะ” เย่วซินใช้ความคิดเพียงครู่ “ท่านแม่ข้าอยากอ่านหนังสือเจ้าค่ะ” “หนังสือคืออะไรหรือ”จูเซียนเอ่ยถามอย่างสงสัย “เอ่อ..ตำราเจ้าข้าอยากอ่านตำรา” เย่วซินลืมตัวสมัยนี้เขาเรียกตตำราไม่ใช่หนังสือแต่ที่เธอพูดจนติดปากท่านปู่กับเย่วฉีก็เข้าใจและไม่ได้ขัดกับคำพูดของเธอ “เจ้าอ่านออกแล้วหรือตัวเท่านี้” จูเซียนเอ่ยพร้อมกับหยิกแก้มยุ้ยอย่างเข่นเขี้ยว “พี่เย่วฉีสอนข้าเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมกับยิ้มตาหยี ท่านแม่สั่งให้สาวใช้อุ้มเธอมาส่งที่ห้องตำราและให้คอยนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้อง เย่วซินเดินเข้ามาในห้องตำราที่และเดินหาตำราที่เธออยากอ่านนั่นก็คือตำราพิษแก้พิษ เธอชอบศึกษาเรื่องนี้มากแต่ท่านปู่ไม่อยากให้เธอศึกษามันอ้างว่าเธอยังเล็กมันอันตรายเกินไปและเธอรู้มาว่าท่านปู่ไม่ชอบศึกษาเรื่องพิษสักเท่าไรแต่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ส่วนมากท่านปู่ชอบปรุงยาสมุนไพรรักษาโรคทั่วไปและค้นคว้าแนวทางการรักษาแบบใหม่ซึ่งเธอเองก็คอยแนะนำท่านบ้างเกี่ยวกับยาชนิดใหม่ๆ เธอเองเมื่อก่อนก็ไม่ได้เรียนด้านด้านการแพทย์หรอกนะ แต่ว่าโลกเก่าการสื่อสารมันเปิดกว้างและสะดวกรวดเร็วด้วยสี่จีห้าจีเปิดโทรศัพท์ดูนั่นนี่ทั้งมีสาระและไม่มี ซีรี่ส์ สารคดีไทย จีน เกาหลีเธอดูหมด เรื่องการแพทย์ถึงเธอไม่เคยปฏิบัติแต่ทฤษฎีก็พอมีอยู่บ้างบวกกับที่เล่าเรียนกับท่านปู่มานานสองปีกว่า เย่วซินเดินดูตำราอยู่หลายชั้นก็เจอตำราที่เธออยากได้จึงเลื่อนเก้าอี้มาปีนตอนนี้เท้าของเธอไม่บวมแล้วและไม่เจ็บแล้วด้วย รอยฟกช้ำตามตัวก็จางลงมากแล้วซึ่งบอกตามตรงเลยว่ารอยพวกนั้นเธอไม่ได้เจ็บเลยสักนิดเดียว เย่วซินหยิบตำราแล้วลงมานั่งอ่านบนฟูกอย่างตั้งใจตำรามีรายชื่อสมุนไพรที่ใช้เกินขนาดจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต สมุนไพรที่มีพิษและการปรุงยาพิษ ยาถอนพิษ เย่วซินเปิดตำราดูอยู่ชั่วครู่ก็รีบยัดเก็บเข้าอกเสื้อของตนแล้วรีบเดินออกจากห้องตำรากลับห้องพักทันทีโดยมีสาวใช้เดินตามอยู่ไม่ห่าง เย็นแล้วท่านปู่ก็ยังไม่กลับเธออยากขอเข้าไปใช้ห้องปรุงยาเสียหน่อย เย่วซินออกมาดักรอท่านปู่อยู่ที่หน้าเรือนพักของท่านเธอยืนรออยู่เกือบสองเค่อก็เห็นอาฉีเดินมากับหนุ่มน้อยหน้านิ่ง แต่!ทำไมหนุ่มหนุ่มหน้านิ่งถึงได้เดินตัวเกร็งขนาดนั้นเย่วซินสงสัยจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที “อาฉีหายไปไหนมา” “ซู่..ซินเอ๋อร์อย่าส่งเสียงดัง” เย่าฉีเอ่ยแล้วย่อตัวอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแล้วรีบเดินจ้ำเข้ามาในห้องพักของเย่วซินทันทีเพราะอยู่ใกล้ที่สุดแล้ว เมื่อมาถึงห้องเย่วฉีวางเด็กน้อยลงแล้วรีบเปิดแขนเสื้อของพี่ชายขึ้นดูบาดแผลที่ตนเป็นผู้กระทำ เขาฝึกฟันดาบแต่ดันพลาดไป โดนแขนของพี่ชายเข้าด้วยความที่กลัวว่าจะโดนท่านดุเลยอาสามาทำแผลให้พี่ชายด้วยตนเอง “โห..แผลลึกจังไปโดนอะไรมารึ?” เย่วซินที่เห็นแผลยาวเกือบคืบแต่ค่อนข้างลึกแผลเปิดอ้า “พี่เป็นคนทำพี่ใหญ่เอง”เย่วฉีพูดพร้อมเดินไปหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดแผลเช็ดคราบเลือดที่ไหลเปอะเปื้อนแม้เลือดจะหยุดไหลแล้วเพราะตนใส่ยาห้ามเลือดเอาไว้ เมื่อเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อยเย่าฉีหยิบยาใส่แผลที่ตนเป็นผู้ปรุงขึ้นออกมาจากแหวนจัดเก็บเตรียมโรยใส่แผล “พี่เย่วฉีอย่าเพิ่งโรย” เย่วซินเอ่ยห้าม “แผลลึกเกินไปใส่ยาอย่างเดียวอาจหายช้าและอาจติดเชื้อได้ง่าย” เย่วซินคิดว่าบาดแผลลึกขนาดนี้คงต้องเย็บปิดปากแผลดีที่สุด “แล้วเจ้าจะทำเช่นไรรึ?” เย่วฉีเอ่ยถามอย่างสงสัย “เย็บ..เจ้าค่ะ” เย่วเทียนเบิกตาโพลงหลังจากได้ยินเด็กน้อยเอ่ยแขนเขาไม่ใช่ผ้าเหตุใดต้องเย็บด้วย แต่แตกต่างกับเย่วฉีที่ดูตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นแนวการรักษาแบบใหม่ที่ตนยังไม่เคยได้ทดลองใช้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD