บทที่ 8 เริ่มต้นเรียนรู้

2775 Words
เย่วซินสั่งให้เย่วฉีเตรียมอุปกรณ์ที่พอหาได้ในยุคนี้เช่นเหล้าเอามาฆ่าเชื้อโรค เข็มและไหม โชคดีที่คิดค้นยาชาและให้ท่านปู่ปรุงมันขึ้นมาเพื่อทดลองวันนี้คงได้ใช้งานเสียที “พี่เย่วเทียนเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยถามระหว่างรอเย่วฉีไปเตรียมอุปกรณ์ “นิดหน่อย นักรบย่อมมีบาดแผลแค่นี้ยังไกลหัวใจนัก” เย่วเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบถึงแม้จะเจ็บปวดเขาก็ต้องอดทนให้ได้ “ว่าแต่เจ้าจะมาเล่นกับบาดแผลของข้าไม่ได้นะรีบๆใส่ยาเถอะ” เย่วเทียนเอ่ยต่อ ตนคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่รับปากจะไม่บอกท่านแม่แล้วยอมให้ให้น้องชายเป็นผู้รักษาแผลให้พูดจบเย่วฉีก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาพร้อมของที่เด็กน้อยสั่งอย่างครบครัน “ไว้ใจข้าเถิดเจ้าค่ะพี่เย่วเทียนรับรองไม่ผิดหวัง” เย่วซินเอ่ยพร้อมยกยิ้มหวังให้คนเจ็บเบาใจ “ใช่ๆไว้ใจซินเอ๋อร์เถอะพี่ใหญนางไม่เหมือนเด็กทั่วไปหรอกนางเก่งและฉลาดมากข้ารับรองได้” เย่วฉีเอ่ยขึ้นตนมั่นใจในตัวน้องสาวผู้นี้นักนางเก่งกาจเกินเด็กจริงๆ เย่วซินจัดการเทเหล้าลงบนผ้าสะอาดแล้วเช็ดรอบๆบาดแผลอีกครั้งมันคงจะแสบพอดูเพราะเธอรับรู้ได้ถึงแรงสะดุ้งเบาๆของคนเจ็บ เย่วซินหยิบผงยาชาโรยบริเวณรอบๆบาดแผลทิ้งไว้แล้วตนเองก็หันไปหยิบไหมมาร้อยเข้ากับเข็มเพื่อเตรียมเย็บบาดแผล “พี่เย่วเทียนโชคดีแล้วนะเจ้าคะที่ข้าและท่านปู่ทดลองปรุงยาชาขึ้นมาไม่เช่นนั้นท่านคงเจ็บแผลน่าดูเลยทีเดียว” เย่วซินพูดขณะเย็บบาดแผลมือน้อยๆบรรจงเย็บอย่างประณีตให้มากที่สุดเพราะจะได้ไม่ทิ้งแผลเป็นน่าเกลียดเอาไว้ แต่..มือเจ้ากรรมมันไม่รักดีกลับสั่นเป็นเจ้าเข้า.. “บางครั้งเจ้าก็พูดจาแปลกๆอะไรคือยาชาหรือ”เย่วเทียนสงสัยจึงเอ่ยถาม “ก็ยาที่ทำให้เราไม่รู้สึกอย่างไรเล่าตอนนี้ท่านรู้สึกเจ็บแผลบ้างหรือไม่” เย่วซินเอ่ย “จริงด้วยตอนนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บแผลเลยสักนิดเดียว” เย่วเทียนเมื่อลองสังเกตุจึงรับรู้ว่าแผลของตนไม่มีความรู้สึกเลยยาของนางช่างดีจริงๆเขาจึงเบาใจขึ้นหลังจากที่กังวลอยู่ไม่น้อยกลัวว่าเด็กน้อยคิดซุกซนเล่นสนุกกับบาดแผลของตน “ซินเอ๋อร์แสดงว่ายาของเจ้าใช้ได้ผลดีจริงด้วยพี่คงต้องขอสูตรบ้างเผื่อเอาไว้ใช้กาลหน้า แต่ว่ามือของเจ้าเหตุใดถึงได้สั่นอย่างนั้นเล่า”เย่วฉีเอ่ยขอสูตรยาชาแต่สายตายังคงจับจ้องวิธีการเย็บแผลของนางจึงเห็นว่ามือของนางออกจะสั่นๆ “ได้เลยข้าไม่หวงท่านหรอกเจ้าค่ะ แต่ที่มือข้าสั่นเพราะข้าตื่นเต้นไปหน่อยก็พี่เย่วเทียนเป็นคนไข้รายแรกที่ข้าได้ลองทำฮะๆ..” เย่วเทียนได้ยินเช่นนั้นก็แทบอยากจะกัดลิ้นตนเองตายไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เด็กน้อยพูดจาเหมือนว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่ที่ไหนได้เขาคือหนูทดลองของนางดีๆนี่เอง “เสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เย่วซินตัดไหมออกแล้วยกแขนขึ้นให้ทั้งสองได้ยลโฉมผลงานเย็บแผลของตน ทั้งสองหนุ่มน้อยมองดูบาดแผลที่ตอนนี้ปิดสนิทสวยงามดูไม่น่ากลัวเหมือนก่อนหน้านี้มันช่างน่าสนใจจริงๆ เย่วเทียนที่มองสำรวจบาดแผลจนถี่ถ้วนก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เย่วซินนำผ้าสะอาดมาพันปิดบาดแผลเอาไว้เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกโดนบาดแผล “ท่านต้องห้ามให้แผลโดนน้ำเจ็ดวันและต้องล้างแผลทุกวันมาให้ข้าล้างก็ได้ถ้าท่านไม่ไว้ใจพี่เย่วฉี” เย่วซินเอ่ยแขวะพี่ชายคนสนิทเล็กน้อยที่วันนี้ก่อเรื่องวุ่นวายให้พี่ชายของตนต้องเจ็บตัว “รบกวนเจ้าแล้วซินเอ๋อร์” เย่วเทียนเอ่ยเป็นเชิงว่าเขาต้องการให้นางเป็นผู้ดุแลบาดแผลของตนแทนน้องชาย “อ้าว..พี่ใหญ่แล้วข้าจะทำอะไรทดแทนที่ทำให้ท่านบาดเจ็บล่ะ” เย่วฉีเอ่ยถามเมื่อพี่ชายไม่ยอมให้ตนเป็นคนล้างแผลให้ “พี่เย่วฉีคืนนี้ท่านไปนอนกับพี่เย่วเทียนเผื่อว่าคืนนี้มีไข้จะได้มีคนคอยดูแล อีกสักพักยาชาคงหมดฤทธิ์แล้ว” เย๋วซินเอ่ยบอกพี่ชายคนสนิท “ไม่ ข้าจะนอนกับเจ้าถ้าไม่ได้นอนกอดเจ้าข้านอนไม่หลับ” เย่วฉีโวยวายขึ้นทันที่เพราะกลัวว่าจะไม่ได้นอนกับเด็กน้อยของตน “ท่านจะนอนกอดข้าจนแก่ตายเลยหรืออย่างไร” เด็กน้อยเอ่ยเสียงดุ “อย่างน้อยก็ตอนนี้..” ทั้งสองเอ่ยเถียงกันไม่หยุดจนคนที่นั่งฟังอยู่เอ่ยขึ้นเพื่อตัดปัญหา “หยุด..เถียงกันได้แล้วเดี๋ยวข้าจะมานอนกับพวกเจ้าเองที่นี่เอง” เย่วเทียนพลางนึกอยากตบปากตนเองสักสองสามทีที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่เขายังอดนึกไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเด็กน้อยภาพที่เห็นเมื่อครู่เป็นน้องชายของตนมากกว่าที่งอแงโวยวายเหมือนเด็กสามขวบไม่มีผิดต่างจากเด็กสามขวบที่มีความคิดและคำพูดเหมือนผู้ใหญ่เฮ้อ..สงสารท่านปู่จริงๆ วันนี้ท่านปู่ไม่กลับจวนท่านพ่อบอกว่าองค์ฮ่องเต้อยากให้ท่านปู่พักที่ตำหนักในวังเพราะมีเรื่องอยากพูดพูดคุยปรึกษามากมาย หลังทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยเย่วซินจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ท่านแม่สั่งให้สาวใช้เป็นคนเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ให้เธอเลือกที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเองแต่ท่านแม่ก็ไม่ไว้วางใจจึงสั่งให้สาวใช้คอยเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆหลังจากที่เธอแต่งตัวเสร็จสาวใช้จึงออกจากห้องไป ระหว่างที่รอหนุ่ยน้อยเย่วซินหยิบตำราพิษที่ขโมยออกมาจากห้องตำราออกมาอ่านเธอไม่ได้เป็นเด็กอัจฉริยะที่มีความจำดีเลิศเสียเมื่อไรที่อ่านครั้งเดียวจะจำทุกอย่างได้เสียหมด เธอตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะอ่านมันทุกครั้งที่ว่างจะได้จดจำฝังลึกอยู่ในหัวสมองน้อยๆของตน เย่วซินฝึกจดจำรายชื่อและลักษณะของสมุนไพรพิษอยู่ราวๆสองเค่อก็เริ่มเบื่อจึงเปิดข้ามๆไปดูการสกัดพิษ ปรุงพิษและสายตาก็ไปสะดุดกับคำว่าพิษต้านพิษ ร่างกายที่ได้รับพิษสะสมเป็นเวลานานและหลากหลายชนิดจะทำให้ร่างกายสามารถต้านพิษได้ เย่วซินตาโตหูผึ่งขึ้นมาทันที่ด้วยความสนใจ “อ่านอะไรอยู่หรือตาโตเชียว” เย่วฉีเอ่ยถามทันที่ก้าวเท้าเข้ามาที่ตนต้องมาช้าเพราะช่วยพี่ใหญ่แต่งตัวและต้องคอยดูแลยามอาบน้ำ พี่ใหญ่นั้นชอบอาบน้ำเองไม่ยอมให้สาวใช้ปรนณิบัติจะว่าไปแล้วทั้งจวนก็เป็นเช่นนี้กันหมดทุกคน เย่วฉีเดินเข้าไปใกล้ๆเด็กน้อยแล้วชะโงกหน้ามองตำราที่นางอ่านพลันตาโต “นี่เจ้า!!..” “ชวู่..”เด็กน้อยจู๋ปากพร้อมยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปาก “อย่าบอกท่านปู่นะ” เย่วเทียนที่เห็นท่าทางของเด็กน้อยกับน้องชายก็นึกสงสัย “เด็กน้อยแอบเอาตำราออกมาเล่นอีกแล้วหรือไว้ค่อยอ่านออกแล้วเจ้าค่อยนำมาเถอะเดี๋ยวตำราจะเสียหายเอา” เย่วเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พี่ใหญ่นางไม่ได้เอามาเล่น นางอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ยังไม่ครบขวบปีเสียด้วยซ้ำ”เย่วฉีเอ่ยบอกพี่ชาย เย่วเทียนได้ฟังเช่นนั้นก็ต้องตกใจหันไปมองสบตากับเด็กน้อยทันทีด้วยความประหลาดใจมีเด็กที่ไหนกันบ้างอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ยังไม่ครบขวบปีนี่สินะที่น้องชายของตนพร่ำบอกว่านางไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ “ที่ข้าตกใจเพราะนางเอาตำรายาพิษมาอ่านท่านปู่สั่งห้ามนักหนายังไม่อยากให้นางศึกษาเรื่องนี้กลัวว่าจะเกิดอันตรายได้” เย่วฉียังคงเอ่ยบอกให้พี่ชายของตนเข้าใจ “เป็นเช่นนั้นหรือ?” เย่วเทียนคล้ายกับพูดกับตัวเองและนิ่งคิดอยู่เพียงครู่ “ก็แค่อ่านใยต้องต้องกังวล” “ถูกต้องแล้วค้าบบ..”เย่วซินพูดเป็นภาษาไทยพร้อมกับกางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไปทางหนุ่มน้อยหน้านิ่งที่พูดจาโดนใจเธอยิ่งนัก “แค่อ่านนะห้ามคิดทดลองเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะฟ้องท่านปู่” เย่วฉีพูดตอบด้วยภาษาไทยเช่นเดียวกับนางเช่นกัน เย่วซินพยักหน้าตอบอย่างน้อยตอนนี้เธอต้องอ่านให้แตกฉานก่อนถึงจะทดลองตัวยาได้ เย่วเทียนได้ยินภาษาที่แปลกประหลาดก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ “พวกเจ้าพูดภาษาอันใดกันใยแปลกประหลาดนักข้าฟังไม่เข้าใจ” “ก็ภาษาของนางไงพี่ใหญ่นางเป็นคนสอนข้า อ้อ!ท่านปู่ก็พูดได้นะและยังมีอีกหนึ่งภาษาด้วย” “ช่างน่าประหลาดนักข้าไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดกัน” เย่วเทียนสงสัยและประหลาดใจนางตัวเล็กแค่นี้เหตุใดจึงมีความสามารถพูดจาได้ตั้งหลายภาษากันนางช่างไม่ธรรมดาจริงๆ “พี่ใหญ่ไม่ต้องสงสัยให้ปวดหัวหรอกข้าบอกแล้วว่านางไม่เหมือนเด็กทั่วไปอีกหน่อยท่านคงชินไปเอง” เย่วฉีหยิบยาแก้ปวดขึ้นมาส่งให้พี่ชายกินก่อนเข้านอน เย่วซินให้พี่เย่วเทียนนอนบนเตียงส่วนตัวเธอและอาฉีปูฟูกนอนด้านล่างข้างๆเตียงที่ให้สาวใช้จัดเตรียมหาเอาไว้ให้ เธอกลัวว่าอาฉีจะนอนดิ้นไปโดนแผลของพี่เย่วเทียนเข้า เมื่อล้มตัวลงนอนบนฟูกเธอรีบเอามือปิดแก้มทั้งสองข้างของตนเองเอาไว้เพราะรู้ทันว่าจะโดนพี่ชายคนสนิทขโมยหอมแก้ม แต่ถึงทำเช่นนี้มีหรือเธอจะหลีกหนีพ้นเขายังง้างมือเธอออกได้ “อาฉี..ไม่เอา” เย่วซินดิ้นขลุกขลิกไปมา “อย่าดิ้น อย่าอิดออดจะได้รีบนอน..” เย่วฉีดึงมือเด็กน้อยออกพร้อมกับหอมแก้มดังฟอด “ฟอด..ๆๆ อืม..ชื่นใจจัง”พร้อมกับล้มตัวลงนอนเอามือกอดเด็กน้อยเอาไว้อย่างเคยชิน เย่วเทียนที่นอนมองสองร่างด้านล่างก็นึกหงุดหงิดใจ น้องชายของตนทำตัวเหมือนเด็กสามขวบไม่มีผิดใยต้องหอมแก้มนางก่อนด้วย หึ่ย..เขาจะไม่ทำเช่นนั้นกับผู้ใดแน่นอน ปลายยามจื่อ(23.00-00.59)เย่วซินลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะพะวงว่าพี่เย่วเทียนจะมีไช้ด้วยบาดแผลค่อนข้างลึก เธอจึงลุกขึ้นมายืนมองร่างหนุ่มน้อยบนเตียงเห็นเขานอนห่มผ้านิ่งเพื่อความแน่ใจเธอจึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเขาเบา “หืม ตัวร้อนนี่..” เย่วซินพึมพำเบาๆแล้วนำน้ำร้อนที่ตรียมเอาไว้ผสมกับน้ำเย็นในอ่างแล้วใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้เขา เย่วซินปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงค่อยๆเช็ดตัวหนุ่มหน้านิ่งเบาๆที่บริเวณใบหน้า ซอกคอและค่อยๆเลื่อนลงมาบริเวณลำตัวโดยเธอใช้วีธีแหวกสาบเสื้อเช็ดให้เขา ส่วนช่วงล่างเธอทำเท่าที่สามารถทำได้โดยการถกขากางเกงขึ้นเพราะมันค่อยข้างกว้าง เธอเช็ดจนทั่วหนุ่มน้อยยังไม่ได้รู้สึกตัวคงเพราะพิษไข้ เย่วซินหยิบยาแก้ไข้ออกมาจากแหวนจัดเก็บแล้วค่อยๆพยุงศีรษะคนป่วยขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้อนยาและน้ำให้กับเขา เย่วเทียนสะลึมสะลือเห็นเด็กน้อนเช็ดตัวและป้อนน้ำป้อนยาเขาก็อ้าปากดื่มน้ำเข้าไปหลายอึกเพราะคอแห้งมาก หลังจากนั้นนางก็ใช้ผ้าชุบน้ำมาวางบนศีรษะของตนแล้วห่มผ้าให้จากนั้นนางก็ล้มตัวลงนอนข้างๆเขาไม่ได้ลงไปนอนด้างล่างกับน้องชายของตน เด็กน้อยควเหนื่อยและง่วงนอนที่ต้องตื่นมากลางดึกนางตัวเล็กแค่นี้แต่เก่งกาจเกินเด็กเสียจริง เย่วเทียนคิดในในพลางคะแคงตัวจ้องมองหน้าเด็กน้อยใกล้ๆ จะว่าไปนางก็น่ารักเหมือนกันนะ..เขาค่อยๆปิดเปลือกตาลงด้วยความง่วงงุนจากพิษไข้.. แคว้นฉินจวนตระกูลซู หลายวันมานี้คุณหนูจิวอิงต้องนอนซมเพราะพิษไข้แถมเนื้อตัวก็มีแต่รอยฟกช้ำเท้าบวมแดงจนลุกเดินไม่ได้ เสี่ยวชิงเห็นแล้วช้ำใจยิ่งนักคุณแค่ก้าวเท้าออกจากเรือนท้ายจวนก็เกิดเหตุต้องเจ็บตัวขนาดนี้เธอคงต้องดูแลคุณหนูไม่ให้คลาดสายอีกเด็ดขาด แต่เธอจะเลี้ยงคุณหนูเหมือนไข่ในหินเช่นนี้มันได้เธอจะต้องสอนให้คุณหนูเข้มแข็งและกล้าหาญจะได้ปกป้องและดูแลตนเองได้เสี่ยวชิงหมายมั่นเอาไว้ในใจ.. “คุณหนูจะลุกไปไหนหรือเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยลุกขึ้นจากเตียงนอน “อิงเอ๋อร์อยากออกไปนั่งเล่นด้านนอกอิงเอ๋อร์เบื่ออุดอู้อยู่แต่ในห้อง” จิวอิงเอ่ยบอกพี่เสี่ยวชิงเพราะเธอนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ลุกไปไหนมาหลายวันแล้ว เสี่ยวชิงช่วยพยุงเด็กน้อยลุกขึ้นเดินไปนั่งด้านนอกเรือนที่มีเก้าอี้ตั้งอยู่ ตอนนี้เท้าของนางหายบวมเนื้อตัวก็หายช้ำลงมาก เสี่ยวชิงเข้าใจคุณหนูของตนนางคงจะเบื่อเพราะอุดอู้อยู่แต่ในเรือนมาหลายวันไม่มีเพื่อนเล่น เพื่อนคุยในวัยเดียวกันเลย “คุณหนูเจ้าขา ให้บ่าวสอนอ่านตำราดีหรือไม่เจ้าคะคุณหนูจะได้ไม่เบื่อ” เสี่ยวชิงเอ่ยถามเธอพออ่านออกเขียนได้เพราะคุณหนูเหม่ยอิงเป็นคนสอนเธอทุกอย่างด้วยตัวเอง “ดีเลยเจ้าค่ะอิงเอ๋อร์จะได้อ่านทุกอย่างที่อยากรู้” จิวอิงยิ้มสดใสขึ้นมาทันทีอย่างน้อยอย่างน้อนเธอก็มีอะไรให้ทำบ้างแล้วดีกว่านั่งอยู่เฉยๆเช่นนี้ “เจ้าค่ะ แล้วบ่าวก็จะสอนคุณหนูทำอีกหลายๆอย่างเลยดีหรือไม่เจ้าค่ะ” เด็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกหลายเท่ารีบพยักหน้าตอบรับทันที “เช่นนั้นมื้อเย็นวันนี้เรามาช่วยกันทำสำรับอาหารกันนะเจ้าคะบ่าวจะสอนคุณหนูตั้งแต่ก่อไฟยันปรุงอาหารเลยเจ้าค่ะ” “เย้ๆอิงเอ๋อร์อยากทำอิงเอ๋อร์จะตั้งใจเรียนรู้เจ้าค่ะพี่เสี่ยวชิง” จิวอิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่พี่เสี่ยวชิงจะสอนเพราะปกติพี่เสี่ยวชิงจะไม่ยอมให้เธอช่วยทำอะไรเลยเพราะกลัวจะเปื้อนกลัวบาดเจ็บสารพัด “เราเริ่มจากไปเก็บผักที่แปลงเพาะปลูกกันเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเอ่ยชวนเด็กน้อยเพราะตอนนี้ก็บ่ายแก่มากแล้ว ทั้งสองเดินไปที่แปลงผักเสี่ยวชิงสอนคุณหนูตัดผักที่ต้นเติบโดพร้อมสำหรับปรุงอาหาร คุณหนูจิวอิงเรียนรู้ไวเธอสอนแค่ครั้งเดียวนางก็สามารถทำเองได้ หลังจากเก็บผักมามาพอสมควรแล้วทั้งสองก็เนเข้าครัวเริ่มก่อไฟเสี่ยวชิงค่อยๆสอนค่อยทำให้คุณหนูดูและให้นางทำตามถึงเด็กน้อยจะยังไม่คล่องแคล่วแต่ก็เข้าใจทุกอย่าง ทั้งสองพูดคุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้วอยู่ในครัวอย่างสนุกสนาน...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD