บทที่ 9 เพื่อนใหม่

1820 Words
# บนเรือนใหญ่ “ท่านแม่เจ้าขา..ลูกไม่ชอบนางเด็กท้ายจวนเลยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยเอ่ยบอกมารดาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “หืม..เจ้าพบนางแล้วหรือ?” ซูเจียวเอ่ยถามบุตรสาวตัวน้อยที่นางทั้งรักและถะนุถนอมดังไข่ในหิน “เจ้าค่ะ นางทำให้ลูกต้องถูกพี่ใหญ่ดุพี่ใหญ่ไม่เคยดุลูกเลยนะเจ้าค่ะ”เด็กน้อยเอ่ยพร้อมกับทำหน้าเศร้า “เช่นนั้นหรือ มันช่างบังอาจยิ่งนักท่านปู่อุตส่าห์ยอมให้มันมาอาศัยอยู่ด้วยแต่มันยังไม่เจียมตัวเจ้าไม่ห่วงลูกรักประเดี๋ยวแม่จะจัดการให้เจ้าเอง” ซูเจียวเอ่ยปลอบบุตรสาวตอนนี้นางเป็นผู้ดูแลภายในจวนทั้งหมดคงต้องสั่งสอนให้พวกมันรู้สำนึกเสียบ้างแล้ว “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่ลูกรักท่านแม่ที่สุดเลยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยยิ้มกว้างโผกอดมารดาอย่างรักใคร่ ท่านแม่ตามใจนางทุกอย่างอยากได้สิ่งใดท่านก็จะสรรหามาให้ไม่เคยขัด เรือนท้ายจวนสองคนนายบ่าวหลังทานมื้อเย็นเสร็จเสี่ยวชิงก็เตรียมน้ำมาให้คุณชำระร่างกาย ตนเป็นคนไปตักน้ำมาให้คุณหนูเองเพราะนางยังเล็กนักยกของหนังยังไม่ไหว หลังอาบน้ำเสร็จก็หยิบตำราพื้นฐานสำหรับเด็กออกมาเล่มหนึ่ง เสียวชิงใช้ให้บ่าวคนสนิทไปหาซื้อเอาไว้ให้ตั้งแต่คุณหนูเริ่มโต เสี่ยวชิงเตรียมพู่กันกระดาษราคาถูกและเริ่มสอนเด็กน้อยอ่านทีละคำและฝึกเขียนไปด้วย นางฝึกอยู่ราวๆหนึ่งชั่วยามก็ได้เวลาเด็กน้อยเข้านอน นางกับคุณหนูนอนบนเตียงเพราะเด็กน้อยไม่ยอมให้ลงไปนอนที่พื้นโดยอ้างว่านอนด้วยกันอบอุ่นดี เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจิวอิงตื่นแต่เช้าเข้าครัวช่วยพี่เสี่ยวชิงทำอาหาร เด็กน้อยรู้สึกชื่นชอบการทำอาหารเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารนั้นมีน้อยจึงทำได้แต่อาหารซ้ำๆเหมือนเช่นวันก่อน “พี่เสี่ยวชิงเราไม่มีอาหารอย่างอื่นแล้วหรือ” “ประเดี๋ยวเรือนใหญ่คงนำมาให้เจ้าค่ะเพราะใกล้ถึงกำหนดแล้ว” เสี่ยวชิงเอ่ยตอบเรือนใหญ่จะส่งอาหารสดและอาหารแห้งมาให้เดือนละสองครั้ง “ดีเลยเจ้าค่ะเราจะได้ทำอาหารแบบอื่นดูบ้างอิงเอ๋อร์ชอบทำอาหาร” จิวอิงเอ่ยบอกพี่สาวตรงหน้า ถึงแม้พี่เสี่ยวชิงจะบอกว่าตนเป็นแค่สาวใช้ของท่านแม่แต่สำหรับนางแล้วพี่เสี่ยวชิงเปรียบเสมือนพี่สาวที่แสนดีคนหนึ่งของตน “กินอาหารเสร็จแล้วเรามาอ่านเขียนตำราต่อนะเจ้าคะ” “ได้ๆอิงเอ๋อร์ก็ชอบอ่านตำราเช่นกัน” จิวอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “มีอะไรที่คุณหนูไม่ชอบบ้างเจ้าคะ” เสี่ยวชิงเอ่ยเย้าเด็กน้อยที่หันมายิ้มจนตาหยี ดวงตากลมโตคู่นั้นช่างสวยงามยิ่งนักช่างเหมือน..บิดาของนาง “อะไรนะ!ไม่มีอาหารส่งมาให้เดือนนี้หรือ?เพราะเหตุใดกัน” เสี่ยวชิงเอ่ยถามเสียงดังกับบ่าวคนสนิทที่เธอมักไหว้วานให้ออกไปซื้อข้าวของจำเป็นนอกจวน “มันเป็นคำสั่งของฮูหยินเจียวชื่อข้าก็สุดจะหารู้ไม่ว่าเพราะเหตุใด” บ่าวคนสนิทเอ่ย ตนนั้นก็อดสงสารเรือนท้ายจวนไม่ได้ขนาดส่งมาให้ก็น้อยเสียจนแทบจะไม่กินพอใช้แล้วนี่ยังสั่งงดอีก.. ข้าจะไปถามฮูหยินเจียวซื่อ” เสี่ยวชิงเอ่ยด้วยความโมโห “เดี๋ยวๆเจ้าใจเย็นลงก่อนไปแล้วเจ้าจะได้อะไร เจ้าก็รู้ว่า...” บ่าวคนนิทเอ่ยเตือนสติสหายนางรู้ว่าสหายโกรธจนลืมว่ายามนี้นางไม่มีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งใด เสี่ยวชิงที่ได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักพลางคิดให้ถี่ถ้วนจริงอย่างที่สหายกล่าว เรือนใหญ่จะทำอย่างไรก็ได้นางไม่มีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งใดทั้งนั้น ถ้าฮูหยินซูท่านแม่ของคุณหนูเหม่ยอิงยังมีชีวิตอยู่เธอคิดว่านายท่านใหญ่คงจะไม่ใจร้ายใจดำถึงเพียงนี้ เหตุเพราะตอนที่คลอดคุณหนูเหม่ยอิงออกมาทำให้ท่านแม่ของนางเสียเลือดมากจนสิ้นใจตาย ตั้งแต่นั้นมานายท่านใหญ่ก็ไม่เคยดูดำดูดีคุณหนูเหม่ยอิงเลยเอาแต่โทษว่าเป็นเพราะคุณหนูที่ทำให้ฮูหยินของตนต้องตาย “เช่นนั้นข้าไหว้วานเจ้าหน่อย..” เสี่ยวชิงเอ่ยกับสหาย นางพยักหน้ารับเป็นเชิงรู้กันจากนั้นเสี่ยวชิงก็หายเข้าไปในเรือนสักครู่ก็ออกมา “เจ้าช่วยซื้อข้าวสาร อาหารสด แห้งมาให้ข้าเหมือนเดิมนะแล้วเอามาวางไว้ที่เดิม” เสี่ยวชิงยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้สหายซึ่งเธอเคยไหว้วานนางอยู่เป็นประจำ “ไม่ต้องห่วงมีอะไรที่ข้าพอช่วยเหลือได้ข้ายินดีทำ” บ่าวคนสนิทเอ่ย “ขอบใจเจ้ามากข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว” เสี่ยวชิงเอ่ยอย่างตื้นตันในน้ำใจของสหาย เงินที่เสี่ยวชิงเก็บเอาไว้ตลอดสามปีนี้มีอยู่จำนวนมาก เพราะคุณชายใหญ่มาเยี่ยมหลานสาวในแต่ละครั้งก็พอจะทราบถึงปัญหาหลายอย่าง แต่คุณชายก็ไม่สามารถจัดแจงอะไรได้มากนักจึงมอบเงินเอาไว้ให้ใช้จ่ายแทนในแต่ละครั้งที่เขามา ส่วนตัวเองนั้นใช้จ่ายอย่างประหยัดจึงทำให้มีเงินอยู่มากใช้จ่ายได้หลายปีสบายๆ อย่างไรเสียช่วงนี้คงจำเป็นต้องนำออกมาใช้รอให้คุณหนูเติบโตอีกสักหน่อยตนคงต้องออกไปหางานทำนอกจวน ตอนนี้คุณหนูยังเล็กนักยังไม่ไว้วางใจให้อยู่จวนคนเดียว... ยามอุ้ย(13.00-14.59)เสี่ยวชิงเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินมายังเรือนท้ายจวนของตน ซึ่งเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ๆนางก็จำได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มใจดีที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น “คาราวะคุณชายเจ้าค่ะ ท่านเดินมายังเรือนท้ายจวนมีธุระอันใดหรือเจ้าค่ะ”เสี่ยวชิงมองซ้ายแลขวาแล้วเอ่ยทักทายและถามถึงเหตุผลที่เขามาเยือนด้วยกลัวว่าจะมีผู้ใดพบเห็น “ข้าชื่อหยางหลงข้าหาเด็กน้อยในวันนั้น” “เอ่อ..”เสี่ยวชิงอึกอักทำสีหน้าลำบากใจ “ไม่มีใครเห็นหรอกว่าข้าเดินมาทางนี้ข้ามีของมาฝากเด็กน้อยก็เท่านั้น” หยางหลงเอ่ยเพราะเข้าใจท่าทางของสาวใช้นางนี้ หลังจากวันนั้นเขาก็อยากรู้ว่าเด็กน้อยคือใครจึงให้คนของตนสืบความจึงทราบความเป็นไปทั้งหมดและน้อยคนนักที่จะทราบเรื่องที่นางมาอยู่ที่เรือนท้ายจวนแห่งนี้เพราะทางจวนปิดบังเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดรับรู้ “เช่นนั้นคุณชายโปรดนั่งรอสักครู่คุณหนูกำลังหัดคัดตำราอยู่ด้านในบ่าวจะไปตามคุณหนูมาให้เจ้าคะ” เสี่ยวชิงเดินเข้าไปตามคุณหนูของตนใจหนึ่งก็กังวลอีกใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกันคุณหนูจะได้พบปะผู้อื่นนอกจากตนบ้าง “คาราวะคุณชายเจ้าค่ะ” จิวอิงย่อกายเคารพอย่างมีมารยาทตามที่พี่เสี่ยวชิงอบรมมา “เรียกข้าว่าพี่หยางหลงเถอะ เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ”หยางหลงเอ่ยถามเด็กน้อยที่แต่งกายด้วยผ้าธรรดาแต่ความน่ารักสดใสนั้นไม่อาจบดบังได้เลยดวงตากลมโตพราวระยับนั่นมันทำให้ตนสนใจเด็กน้อยผู้นี้ เขาชอบดวงตากลมโตคู่นี้ตั้งแต่แรกเห็น “ข้าชื่อจิวอิงเจ้าค่ะ”จิวอิงจำเด็กชายตรงหน้าได้เขาดูอบอุ่นใจดีและช่วยเหลือตนเอาไว้ในวันนั้น “จิวอิง..ชื่อช่างไพเราะยิ่งนัก” หยางหลงเอ่ยแล้วหยิบน้ำตาลปั้นออกมาสองไม้จากแหวนจัดเก็บ “พี่ซื้อมาฝาก” หยางหลงยื่นขนมส่งให้เด็กน้อย “ขอบคุณเจ้าค่ะข้าไม่เคยเห็นขนมชนิดนี้มาก่อนเลย” จิวอิงยื่นมือรับขนมมาอย่างตื่นเต้นดีใจ “ยังมีขนมอีกมากมายนักที่เจ้ายังไม่เคยลิ้มลองแล้วพี่จะซื้อมาฝากเจ้าอีก” อย่างหลงเอ่ยอย่างเอ็นดู “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เด็กน้อยยิ้มตาหยีแล้วส่งน้ำตาลปั้นกลับคืนให้คนที่ซื้อมาฝาก “ทานด้วยกันนะเจ้าคะ” “เอาเช่นนั้นหรือ?” หยางหลงเอ่ยถาม จิวอิงพยักหน้ารับจะให้นางทานคนเดียวก็กระไรเดี๋ยวเขาจะหาว่าตะกละ หยางหลงคล้ายเข้าใจจึงรับน้ำตาลปั้นมาแล้วกินเป็นเพื่อนเด็กน้อย สองคนคุยกันอยู่เพียงครู่หยางหลงจึงขอตัวกลับเพราะหายออกมานานแล้วท่านลุงคงคุยธุระเสร็จพอดีจึงเอ่ยลาเด็กน้อยแล้วเขาจะหาโอกาสมาเยี่ยมนางใหม่ จิวอิงรู้สึกสนุกสนานเป็นอย่างมากที่ได้มีเพื่อนใหม่นอกจากพี่เสี่ยวชิงและแถมยังได้กินขนมอร่อยๆอีกด้วย หลังจากนั้นก็กลับไปนั่งคัดตำราและให้พี่เสี่ยวชิงสอนอ่านต่อ แคว้นหนิง ผ่านมาแล้วห้าวันสำหรับการดูแลคนป่วย แผลของพี่เย่วเทียนแห้งสนิทดีไม่มีอาการแทรกซ้อนมีไข้แค่สองวันแรกเพียงเท่านั้น เรื่องที่พี่เย่วเทียนบาดเจ็บไม่มีใครรู้นอกจากท่านปู่เพราะเธอต้องการให้ท่านปู่ศึกษาเรื่องการทำแผล เย็บแผลอยู่แล้วจึงถือโอกาสนี้อธิบายให้ท่านฟังอย่างละเอียด เมื่อท่านปู่เห็นแผลที่เย็บดูท่านตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะมันแห้งสนิทและดูท่าจะหายไวกว่าใส่ยาแบบปกติ พวกเราทั้งสามคนช่วงนี้จะขลุกกันอยู่แต่ในเรือนเสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีบ้างที่เธอและพี่เย่วเทียนจะออกไปอ่านตำรา และอาฉีเข้าห้องปรุงยาบางครั้งเธอก็เข้าห้องปรุงยาด้วยเช่นกันเหตุเพราะรู้สึกคันไม้คันมือด้วยความร้อนในวิชาที่กำลังศึกษาอยู่ อย่างเย็นวันนี้ที่เธอเข้ามาปรุงยากับอาฉีพี่ชายคนสนิทเขากำลังง่วนอยู่กับการปรุงยาตัวใหม่ ส่วนเธออยู่อีกมุมหนึ่งกำลังทดลองปรุงยาพิษชนิดหนึ่งที่ผู้ใดได้รับพิษเข้าไปมันจะทำให้พูดไม่ออกหรือเสียงหายไปนั่นเองเธอจะตั้งชื่อยาของเธอใหม่ว่ายาพิษเสียงล่องหน เมื่อปรุงอยู่สักพักก็ได้ยาที่ต้องการแต่..จะรู้ได้อย่างไรว่ายาของเธอจะได้ผลหรือไม่ คงต้องหาหนูมาทดลองยาเสียแล้วเย่วซินคิดในใจพลางเหล่ตามองหาหนูของตน..ฮึ ฮึ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD