“เป็นไรครับ งอนพี่เหรอ” พี่เดย์ที่เดินข้างกันยิ้มมุมปาก มองมาด้วยแววตากลั้นขำเมื่อฉันบู้ปากด้วยความเซ็งหลังพนักงานเข้ามาเช็คบิล แต่พี่เค้าดันยื่นบัตรเครดิตให้ก่อน
“หนูไม่ได้งอนค่ะ” ฉันตอบเสียงเรียบ
“ไม่งอนแต่เดินออกร้านมาก่อน” พี่เดย์อมยิ้มไม่เปลี่ยนทำเอาฉันเผลอพูดออกมาจนได้
“ก็แล้วใครเป็นคนบอกว่าแชร์กันล่ะคะ แต่เอาเข้าจริงดันชิงจ่ายก่อน”
ตอนใกล้อิ่มฉันก็รีบเอากระเป๋าตังค์ขึ้นมาเตรียมไว้บนโต๊ะ ตั้งใจจะเป็นฝ่ายเลี้ยงแต่พี่เดย์ไม่ยอม บอกว่าพี่เป็นผู้ชายจะให้ผู้หญิงเลี้ยงได้ไง อเมริกันแชร์ดีกว่า ไอ้เราก็โอเคเพราะคิดว่าคนรวยอย่างพี่เดย์คงลำบากใจถ้าให้ผู้หญิงมาเลี้ยง พอพนักงานมาถึงโต๊ะเท่านั้นแหละ... พี่เค้าส่งดันบัตรเครดิตพร้อมกับทิปให้เลยจ้า ละคือพนักงานก็รู้งานมาก รีบเดินไปเช็คบิลโดนไม่ฟังเสียงท้วงของฉันเลย ฮึ!
“พี่เองล่ะครับ ยอมรับผิดก็ได้” พี่เดย์ยกสองมือขึ้นเหมือนยอมแพ้ “แต่พี่เป็นผู้ชายแถมเป็นรุ่นพี่ จะให้รุ่นน้องผู้หญิงมาเลี้ยงข้าวได้ไง”
“ถึงงั้นก็เถอะค่ะ หนูเกรงใจ” ฉันบอกไปตามตรงแต่พี่เดย์ดันยิ้มกว้างกว่าเดิม
“รู้สึกแปลกไงไม่รู้แฮะ”
“แปลก?” ฉันย่นคิ้ว เอียงคอด้วยความสงสัย “ยังไงคะ”
“ปกติพี่มาทานข้าวกับผู้หญิง มีหน้าที่จ่ายอยู่แล้ว มีน้องฝันหวานคนแรกที่บอกเกรงใจแถมจะเลี้ยงพี่อีก”
“เพราะงั้นพี่เดย์เลยรู้สึกแปลก” ฉันเลิกคิ้วถาม ก็นะ... ฉันว่าฉันเข้าใจพี่เดย์แหละ ปกติพี่เค้าเคยชินที่เป็นฝ่ายให้ไง พอมีคนไม่อยากรับการให้ก็เลยรู้สึกแปลกเป็นธรรมดา
“ครับ” พี่เดย์ระรัวยักคิ้วซ้าย มองกันด้วยสายตาพราวระยับ “แต่ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะ ตรงกันข้ามยิ่งน้องฝันหวานเป็นแบบนี้พี่ยิ่งอยากเลี้ยงไปตลอดชีวิต”
“หือ” ฉันหยุดเดิน ขึงตาโตอย่างตกใจกับคำพูดทำนองจีบ พี่เดย์ชะงักเหมือนเพิ่งคิดอะไรออก เปลี่ยนสีหน้าจากขี้เล่นเป็นอ่อนโยนในชั่ววินาที
“พี่ล้อเล่นครับ ดูท่าทางน้องเหมือนงอนเลยอยากหยอกเล่น ไม่โกรธพี่เนอะ” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มโลกละลายมา ดูน่ารักเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด นี่ก็ตกใจหมดนึกว่าจีบ ที่แท้ล้อกันเล่นเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา...
“ไม่โกรธค่ะ แต่รอบหน้าต้องให้หนูเลี้ยงบ้างนะคะ หนูไม่อยากเอาเปรียบพี่เดย์ฝ่ายเดียว” ฉันบอกเสียงจริงจังแต่ทำเอาพี่เดย์ยิ้มกว้างกว่าเดิม แววตาพึงพอใจ
“ได้เลยครับ พี่รอมื้อหน้าที่จะทานข้าวกับน้องฝันหวานไม่ไหวแล้ว”
คำตอบของพี่เดย์ทำให้ฉันรู้สึกตัว เธอพูดอะไรออกฝันหวาน? บ้ารึเปล่า! พูดเหมือนอยากมาทานข้าวกับพี่เค้าอีกงั้นแหละ ถ้าใครได้ยินเข้าจะทำไง รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น อยากมาทานข้าวกับผู้ถึงขั้นออกปากเองว่าจะมีรอบหน้า! ฮือ!
“คือ... ไม่ได้ความว่าหนู” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค
“พี่เข้าใจครับ นี่ไม่ใช่แผนที่อยากมาทานข้าวกับพี่สองต่อสอง น่ารักเลือกได้อย่างน้องฝันหวานแค่อยากเลี้ยงข้าวพี่คืนจากใจจริงก็เท่านั้น” พี่เดย์พูดราวกับอ่านใจฉันออกงั้นแหละ
“ใช่ค่ะใช่” ฉันระรัวพยักหน้าก่อนจะรีบแก้ตัวทำเอาพี่เขายิ้มขำมุมปาก “แต่หนูไม่ได้น่ารักเลือกได้สักหน่อย พี่เดย์เข้าใจผิดแล้วค่ะ”
“เข้าใจผิดอะไรครับ แค่น้องลงเบอร์ในไอจี พี่ถึงกับรับโทรศัพท์ไม่หวาดไม่ไหว”
เอ๋! ทำไมท้ายประโยคเหมือนน้ำเสียงพี่เดย์เดือดไงไม่รู้แฮะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง แต่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็คิดไรออก
“พี่เดย์ขา คือหนูลองคุยกับคุณแม่ดูแล้ว ถ้าตามหาเจ้าของฟูฟูไม่เจอ หนูขอเป็นฝ่ายรับเลี้ยงไว้เองนะคะ คุณแม่จะมารับน้องไปเลี้ยงที่เชียงใหม่ค่ะ”
“เอางั้นเหรอครับ” พี่เดย์ถามด้วยสีหน้าเหมือนลังเลอะไรประมาณนั้น
“ค่ะ ที่บ้านหนูมีน้องหมาเหมือนกัน ถ้ารับน้องไปอยู่ด้วยก็ไม่ได้เพิ่มภาระอะไร คุณแม่ยังบอกเลยดีซะอีก เจ้าชีโร่จะได้มีเพื่อน” ฉันบอกยิ้มๆ ทำให้คนที่เดินข้างกันคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“พี่คิดไว้ว่าถ้าหาเจ้าของฟูฟูไม่เจอจะเลี้ยงเอง แต่ถ้าเจ้าชีโร่หมาของน้องฝันหวานจะได้เพื่อนเพิ่ม เอางั้นก็ได้ครับ”
มิน่า พี่เดย์ถึงมีสีหน้าลังเล ที่แท้ก็คิดจะรับเลี้ยงฟูฟูไว้ดูแลเหมือนกัน นอกจากจะเป็นฝ่ายวิ่งไปกลางถนนเพื่อช่วยน้องไว้ ตอนนี้ก็ยังรับดูแลแถมยังไม่คิดจะทอดทิ้งน้องอีก... ช่างเป็นผู้ชายที่จิตใจดีจริงๆ
“ขอบคุณพี่เดย์มากนะคะที่... อุ๊ย!”
พลั่ก! ยังไม่ที่ฉันจะพูดจบก็โดนคนที่ตามหลังมาชนเข้าอย่างจังจนแทบล้ม ดีที่พี่เดย์ยื่นมือมาพยุงได้ทัน
“ขอโทษค่ะพอดีกำลังรีบ” เสียงขอโทษอย่างขอไปทีทำให้ฉันหันมองคู่กรณีก็เห็นอีกฝ่ายกำลังกึ่งลากกึ่งจูงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักที่กำลังขืนตัวอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันบอกออกไปโดยอัตโนมัติ
“ฮือ! หนูไม่ไป ไม่ปายยย ปล่อยหนู”
“ไม่ไปได้ยังลูก คุณพ่อรออยู่ที่รถ” ผู้หญิงที่ชนฉันพูดออกมาแถมยังลากเด็กน้อยที่พยายามสลัดออกจากการเกาะกุมไปข้างหน้า
“คุณพ่อไม่มา หนูมากับคุณแม่ ปล่อยหนู ฮือออ!” เด็กน้อยร้องไห้ไม่หยุดทำให้ฉันกับพี่เดย์มองหน้ากันเพราะรู้สึกถึงความแปลก... พี่เดย์คงรู้สึกไม่ต่างกันเพราะกำลังขมวดคิ้วอยู่
“ดูท่าทางน้องไม่อยากไปนะครับ” พี่เดย์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังจนผู้หญิงตรงหน้าสะดุ้ง สีหน้ามีพิรุธก่อนจะยิ้มเจื่อนแถมยังรีบบอกว่า
“น้องอยากได้ของเล่นค่ะ พอแม่ไม่ซื้อให้ก็ร้องไห้โวยวายอย่างที่เห็น”
“คุณไม่ใช่แม่ของหนู ฮึกๆ หนูจะไปหาคุณแม่ ปล่อยหนู!” เด็กน้อยทั้งโวยวายทั้งขืนตัวจนผู้คนเริ่มมองมา ผู้หญิงตรงหน้ามีอาการหงุดหงิดอย่างชัดเจน ก่อนจะตะคอกน้องจนฉันที่เป็นคนนอกยังสะดุ้ง
“เงียบ! อยากโดนดีใช่มั้ย!”
“หนูจะไปหาคุณแม่ ปล่อย!” เด็กน้อยขืนตัวตามแรงดึง พยายามวิ่งกลับไปด้านหลัง ผู้หญิงตรงหน้าดูหัวฟัดหัวเหวี่ยง
เพี๊ยะ! ยกมือขึ้นฟาดหลังน้องอย่างแรงจนน้องเซไปด้านหน้า ฉันสะดุ้งเฮือกสุดตัวด้วยความตกใจที่ต้องมาเห็นอะไรที่โหดร้ายไปมาก ส่วนคนเป็นแม่ยังยืนหายใจอย่างเดือดๆ มืออีกข้างบีบข้อมือน้องไว้แน่น
“โฮ!” เด็กน้อยปล่อยโฮออกมาดังมาก ตัวน้องสั่นไปหมดแต่ก็ยังพยายามขืนตัวออกจากการเกาะกุม
ฉันเม้มปากแน่นมองภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกสงสารน้องจับใจ คนเป็นแม่เค้าทำร้ายลูกขนาดนี้เลยเหรอ? เค้าไม่สงสารลูกหรือกลัวลูกเจ็บเลยรึไง? ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยตีสักครั้งแต่พูดกันสอนกันด้วยเหตุผลมาโดยตลอด พอมาเจออะไรแบบนี้รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เด็กผู้เป็นผ้าขาวไม่สมควรมาเจออะไรแบบนี้เถอะ!
“ยังไม่หยุดอีก เงียบ!” ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่ตวาดเสียงดังจนน้องสะดุ้งแถมยังสะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม
“ฮือ! หนูจะไปหาคุณแม่ คุณแม่ขาช่วยหนูด้วย!” สรุปยังไงกันแน่ ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของน้องจริงรึเปล่า ถ้าใช่ทำไมถึงทั้งตีทั้งตวาด เค้าไม่สงสารลูกเลยรึไง ขนาดฉันเป็นคนนอกยังสงสารน้องเลย
“แม่บอกให้เงียบ!” ผู้หญิงตรงหน้าแผดเสียงลั่น เงื้อมือหมายจะฟาดไปที่ตัวน้องอีกรอบ
“พอเถอะ...” ฉันอ้าปากกำลังจะขอร้อง และก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะทำร้ายน้องอีกรอบ
หมับ! พี่เดย์ก็จับมือนั้นไว้แน่น ใช้น้ำเสียงและสายตาดุดันจ้องเข้าไปในดวงตาคนเป็นแม่
“หยุดได้แล้วครับ นี่มันไม่ใช่การลงโทษลูก แต่มันคือการทารุณเด็ก”
ฉันไม่เคยเห็นมุมนี้ของพี่เดย์มาก่อน แม้จะดูน่ากลัวแต่ไม่ได้รู้สึกว่าพี่เค้าทำเกินกว่าเหตุ นี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้อง มันคือมนุษยธรรมที่คนพึงมีเมื่อเห็นคนที่อ่อนแอกว่าโดนทำร้าย แม้คนทำจะเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดก็ตาม