ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าก้าวเท้าลงจากรถลัมโบร์กินี เป็นเหตุให้คนงานในบ้านตื่นเต้นรีบออกมารอต้อนรับจ้าละหวั่น พิมพ์ชนกที่เดินลงมาจากห้องเห็นสาวใช้วิ่งกรูออกไปที่หน้าบ้านราวกับคนสำคัญมาเยือนพลันเกิดความสงสัย หญิงสาวเดินตามไปดูด้วยความใคร่รู้ เหล่าบอดี้การ์ดยืนเข้าแถวเรียงรายอย่างสุภาพ เปิดทางตรงกลางให้บุคคลปริศนาก้าวเดินอย่างสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้กรอบแว่นกันแดดสีชาส่งยิ้มหวานให้กับทุกคน
ใครกันนะ?
พิมพ์ชนกชะเง้อมองจนพอใจก่อนจะหันหลังเตรียมเดินกลับไปยังห้องพักของตน ทว่าแผ่นหลังบอบบางในชุดเดรสสีขาวมุกกลับดึงดูดสายตาผู้มาเยือนเข้าอย่างจัง
“เดี๋ยว!” เสียงเข้มร้องทัก เท้าเล็กหยุดชะงักโดยอัตโนมัติ
เหมือนมีลางบางอย่างบอกว่าเขาเรียกเธอ พิมพ์ชนกค่อย ๆ หันหน้ามาสบตา มือหนาถอดแว่นแบรนด์ดังออกจากกรอบหน้าคม ทอดมองดวงหน้าหวานละมุนให้ชัด ๆ
มุมปากยกยิ้มพึงพอใจหญิงสาวหน้าตาสวยหวาน…
“เธอเป็นใคร?” เขาถาม แววตาทะเล้นเหลือร้าย
พิมพ์ชนกรู้สึกหวาดหวั่น แม้ท่าทีของเขาไม่ได้สุขุมนุ่มลึกหากเทียบกับลูเซียโน่ แต่ก็ใช่จะไว้วางใจได้เสียเมื่อไหร่
“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร”
คนรอคำตอบย้ำเสียงเข้ม เริ่มหงุดหงิดที่เจ้าหล่อนเอาแต่เงียบ
“นี่เธอ…”
“เป็นคนของฉันเอง!” น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผู้มาเยือนหันไปมองชายผู้เป็นใหญ่ที่สุดในตระกูล ลูเซียโน่หยุดยืนข้าง ๆ พิมพ์ชนก ถือวิสาสะโอบเอวคอดทันที
“เธอชื่อพิมพ์ชนก เป็นคนของฉัน” ลูเซียโน่ย้ำชัดว่าผู้หญิงในอ้อมกอดเป็นของตน
“อาหะ” คนทะเล้นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณพิมพ์ชนก” เขายื่นมือออกไปตรงหน้า
สาวเจ้าทำตัวไม่ถูก เหลือบมองคนข้างกาย ลูเซียโน่จ้องเธอไม่ละวาง อยากรู้ว่าจะยื่นมือไปสัมผัสกับอีกฝ่ายไหม
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้แบบไทย ๆ ตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง
ลูเซียโน่ยิ้มมุมปาก… พึงพอใจที่เธอไม่สัมผัสเนื้อตัวชายอื่น
“ผมออสตินนะครับ” ออสตินไม่ได้รู้สึกเก้อเขินที่เธอไม่จับมือด้วย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกถูกใจอย่างประหลาด
ออสติน มองปฏิกิริยาของลูเซียโน่แล้วครุ่นคิด อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนว่าหวงร่างเล็ก เห็นทีเขาคงพลาดเรื่องราวดี ๆ เป็นแน่
“ค่ะ” พิมพ์ชนกยิ้มบางเบา
หล่อนยิ้มงั้นหรือ?
ลูเซียโน่เห็นแล้วหงุดหงิด เจอหน้าออสตินไม่ทันไรแม่คุณก็ส่งยิ้มหวานให้เสียแล้ว ผิดกับเขาที่เอาแต่ร้องไห้บอกกลัว ๆ
“กลับมาคราวนี้นายจะอยู่กี่วัน” ลูเซียโน่เอ่ยถาม ออสตินยักคิ้วทะเล้นเดินไปที่โซฟา
“ขอกาแฟเข้ม ๆ ให้ฉันแก้วหนึ่ง” เขาสั่งสาวใช้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนเลื่อนสายตามองไปยังคนทั้งสอง “มานั่งคุยกันดีกว่าพี่ชาย กลับมาเหนื่อย ๆ ขี้เกียจยืน” ความที่เป็นคนกวนอารมณ์อยู่แล้วจึงพูดออกไปโดยไม่สนว่าคนฟังจะชอบหรือไม่
ลูเซียโน่รั้งร่างเล็กแนบกายอยู่ตลอดเวลา พิมพ์ชนกยกมือดันเขาออกแต่ก็ไม่เป็นผล ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของออสติน ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะไม่ค่อยเต็มใจอยู่ใกล้คนมีอำนาจสักเท่าไหร่
“อย่าดื้อได้ไหม” กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน ใบหน้าหวานซีดเซียว สัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดในถ้อยคำเหล่านั้น
“ว่าไง กลับไทยคราวนี้จะอยู่กี่วัน”
“ตอนแรกว่าจะอยู่แค่สามสี่วัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจละ” ออสตินส่งสายตามองไปที่หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว
“เจอสิ่งที่ถูกใจก็เลยอยากอยู่นาน ๆ หน่อย” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นคล้ายกำลังยั่วยุอารมณ์คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชาย
มันได้ผลเกินคาด… สันกรามแกร่งบดเบียดเข้าหากันจนเกิดเสียงแห่งความกรุ่นโกรธ ลมหายใจอุ่นร้อนฟึดฟัดอยู่ข้าง ๆ แก้มใส แรงกอดรัดแน่นขึ้นจนพิมพ์ชนกต้องนิ่วหน้า แต่เธอไม่กล้าร้องขอความเมตตา
“ระวังอย่าไปถูกใจของ ๆ ใครเข้าให้ล่ะ เดี๋ยวจะไม่ได้ตายดี!”
คำเตือนนั้นบ่งบอกถึงความน่ากลัว ทว่าออสตินกลับยิ่งรู้สึกสนุกที่หาเรื่องกวนใจลูเซียโน่ได้ ผู้หญิงคนนี้คงมีความสำคัญไม่น้อย หล่อนเปลี่ยนผู้ชายแข็งกระด้างไร้ความรู้สึกให้กลายเป็นพวกตื่นตูมได้อย่างไรกัน ขนาดแค่เขาแกล้งปั่นประสาทเข้าหน่อย อีกฝ่ายก็พร้อมปะทะเต็มที่
“ของแบบนี้ก็พูดยากนะพี่ชาย อย่างนี้มันต้องให้ฝ่ายหญิงเขาเลือกเอง จริงไหมครับคุณพิมพ์ชนก”
“คะ?” พิมพ์ชนกสะดุ้งเฮือก เหมือนเธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างคนสองคน
“คือว่า…” หล่อนไม่รู้จะตอบเช่นไร อาการอ้ำอึ้งยิ่งบ่งชัดว่าเธอประหม่าเพียงใด
“ไปกับฉัน!” ลูเซียโน่ไม่อาจทนมองออสตินนั่งจดจ้องผู้หญิงของเขาได้อีกต่อไป กระชากข้อมือเล็กให้ลุกขึ้นเดินตามตนออกไปจากห้องโถงใหญ่ ท่ามกลางสายตาพึงพอใจของคนที่นั่งเดาะลิ้นอยู่บนโซฟา
“หวงแรงซะด้วย หึ ๆ”
“ไปไหนคะ” พิมพ์ชนกร้องถามเมื่อเขาพาเธอมาที่ลานจอดรถ “นี่คุณ โอ๊ย!” นอกจากไม่ได้คำตอบเธอยังถูกจับยัดเข้าไปนั่งในรถแทน
“อยู่นิ่ง ๆ อย่าทำให้ฉันหงุดหงิด”
เขาชี้หน้าสั่ง พิมพ์ชนกไม่กล้าไหวติง จำยอมนั่งสงบปากสงบคำจนกระทั่งเขาทะยานรถหรูออกสู่ท้องถนน
ลูเซียโน่ไม่พูดอะไรในขณะที่ร่างบางก็เอาแต่เงียบ ต่างคนต่างเงียบจนกระทั่งฝ่ายชายทนไม่ไหว หักเลี้ยวพวงมาลัยรถจอดเข้าข้างทาง ลมหายใจฟึดฟัด อารมณ์พร้อมปะทุแตกได้ทุกเมื่อ
พิมพ์ชนกเหลือบตามองเขาอยู่ชั่วครู่ก็รีบหลบ เขาไม่พอใจเรื่องอะไร เธอทำอะไรผิดงั้นหรือ
“คุยกับมันนานหรือยังก่อนที่ฉันจะมาเจอ”
“คะ?” ร่างบางขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถาม
“ไอ้ออสตินไง เธอคุยกับมันนานหรือยัง” ครั้นพอพูดชื่ออีกฝ่ายเขาก็ยิ่งหงุดหงิด
“ฉันยังไม่ทันได้พูดคุยอะไร คุณก็มาเจอซะก่อน”
“อ๋อ… หมายความว่าอยากคุยสินะ ถ้าฉันไม่มาเจอเธอคงดีใจใช่ไหม?” คนตัวโตคิดไปไกล ยิ้มหยันบนความร้อนรน
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ฉันแค่…”
“อย่าคุยกับมันอีก!” เขาไม่รอให้เธอพูดจบ แทรกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ พิมพ์ชนกเม้มปากแน่น
“ทำไม หรือไม่พอใจ?”
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษ”
“เธอไม่ใช่นักโทษแต่เธอเป็นผู้หญิงของฉัน”
“ฉันไม่ใช่…” หญิงสาวทำท่าจะเถียง ทว่าพอเจอสีหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายก็เงียบทันควัน ยอมรับว่าไม่กล้าขัดใจเขา
“อย่าคิดนะว่าภายในหนึ่งอาทิตย์ฉันจะไม่กล้าทำอะไรเธอ ถ้าหมดความอดทนเมื่อไหร่ ฉันก็ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น!”
พูดจบก็ทะยานรถหรูออกสู่ท้องถนนกว้างใหญ่อีกครั้ง พิมพ์ชนกนั่งตัวเกร็งหายใจไม่ทั่วท้อง เขาปาดแซงทุกคันที่ขวางหน้า หล่อนเชื่อเหลือเกินว่าคงมีคนก่นด่ารถของเธออยู่ไม่น้อยแน่ แต่คนอย่างลูเซียโน่น่ะหรือจะสน เขาเหยียบคันเร่งเต็มที่จนทั้งคู่ถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนด
“ลง” เขาบอกเพียงสั้น ๆ พิมพ์ชนกงุนงง มองซ้ายขวาพลางขมวดคิ้ว “ลงสิ หรือต้องให้อุ้ม?”
“ไม่ต้องค่ะ” เธอรีบร้องห้ามเมื่อเขาทำท่าจะโน้มตัวมาปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกให้
“ลง” ลูเซียโน่สั่งเสียงเข้มอีกครั้ง ก่อนเปิดประตูลงจากรถเป็นคนแรก รอให้อีกฝ่ายออกมาแต่ก็ไร้วี่แวว ปากหยักสบถคำหยาบ มือหนากระชากประตูรถเปิดออกอย่างแรง สาวเจ้าถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“เธอจะลีลาอีกนานไหม บอกให้ลงก็ลงสิ”