บ้านไม้กึ่งปูนสองชั้นหลังตั้งอยู่ตรงกลางพื้นที่หนึ่งไร่ รอบบ้านมีต้นไม้เล็กใหญ่ร่มรื่นอยู่ในอำเภอเมืองน่านอยู่ห่างจาก วัดภูมินทร์ห้าร้อยเมตร ซึ่งเป็นวัดสำคัญและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน ที่นักท่องเที่ยวรู้จักตำนานรักของปู่ม่านย่าม่าน หรือเรียกกันว่าภาพ กระซิบรักบันลือโลก ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดภูมินทร์ เป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกระซิบสนทนาจึงทำให้มีชื่อเรียกขานว่า กระซิบรักบันลือโลก กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองน่าน
วลาลี สิริวงค์ หญิงวัยกลางคนนั่งมองสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่เช้าคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเนิ่นนานกว่ายี่สิบหกปีแต่มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากตั้งท้องเธอก็ย้ายไปอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อพี่สาว วิมาลา สิริวงค์ แต่งงานกับโจนัส สแตนเบิร์ก แฟนหนุ่มชาวสวิตฯ แล้วตั้งรกรากอยู่ที่สวิตฯ เธอก็ไม่ได้ติดต่อเพื่อนๆสักคนแม้แต่โชติกาที่สนิทกันที่สุด ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้างทุกคนคงมีครอบครัวและความสุขกัน เธอตัดสินใจถูกแล้วที่ตัดขาดจากทุกคนถึงแม้จะทำให้ลูกสาวขาดพ่อแต่ลูกสาวของเธอก็มีชีวิตที่สมบูรณ์
“คิดอะไรอยู่คะแม่” เสียงหวานนุ่มไพเราะระรื่นหูถามมารดาที่นั่งมองสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้าเพราะพายุเข้าและเป็นฤดูฝนช่วงเดือนมิถุนายนฝนก็ตกชุกขึ้น ปกติครอบครัวของเธอจะมาปีละครั้งพร้อมกันเพื่อมาทำบุญครบรอบวันตายของตายายในวันที่สิบของช่วงนี้ทุกปีแต่ปีนี้มัมกับแด๊ดดี้และน้องชายไม่ได้มาเพราะย่าไม่สบายเธอจึงมาเป็นเพื่อนแม่
“ก็คิดไปเรื่อยเปื่อยจ้ะ ไมล์มีอะไรหรือเปล่าลูก” วลาลีถามลูกสาวที่เกิดจากเหตุการณ์ในคืนนั้นทันทีที่รู้ตัวว่าท้องเธอก็บอกพี่สาว วิมาลาก็ดีใจหายไม่ดุด่าว่ากล่าวเธอสักนิดและให้เธอไปอยู่ด้วยที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะกำลังจะเปิดร้านอาหารไทยที่เมืองซูริค แล้ว แอชลี่ย์ พันไมล์ สแตนเบิร์ก ลูกสาวบุญธรรมของโจนัสกับวิมาลา สแตนเบิร์ก ก็คลอดที่ซูริคได้สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์และวลาลีก็ได้สัญชาติสวิตฯตอนเธออายุสามสิบสองปี
แอชลี่ย์ พันไมล์ สแตนเบิร์ก สาวสวยร่างเล็กอ้อนแอ้นนัยน์ตาหวานกลมโตผมยาวสลวยสูงร้อยหกสิบห้าเซ็น อกดูมเอวบางคอดสะโพกผายรับกันอย่างเหมาะเจาะ เรียนจบปริญญาตรีจาก สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิต ซูริค สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์และปริญญาโทจากสถาบันเดียวกันสาขาวิศวกรรมศาตร์ เธอมีน้องชายหนึ่งคนคือ แอชตัน แสนไมล์ สแตนเบิร์ก วัย 26ปี อ่อนกว่าเธอสองปี
“แม่อยากกลับมาอยู่เมืองไทยมั้ยคะ” พันไมล์กับแสนไมล์พูดภาษาไทยคล่องพอๆกับภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน โรมานซ์และอังกฤษ เพราะชาวสวิตจะใช้สี่ภาษหลักนี้เป็นส่วนใหญ่ หยิงเห็นแม่มีท่าทางเศร้าๆขนาดมีหนุ่มฝรั่งมาจีบแม่ก็ไม่เคยสนใจ เธอเป็นรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ลูกบุญธรรมของป้ากับลุงเพราะพวกท่านไม่ปิดบังเธอ ครอบครัวของเธอมีฐานะปานกลางพอมีอันจะกินเพราะรายได้จากร้านอาหารไทยชื่อ Thai Restaurant ก็ดีมากพอสมควร ไหนธอจะรับจ๊อบรับนักท่องเที่ยวล่องเรือชมทะเลสาปซูริคเพื่อหารายได้เสริมโจนัสมีเรือลำใหญ่จะจอดทิ้งไว้เฉยๆก็เสียดายเธอกับน้องชายก็เอาออกมารับนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ที่มากินอาหารแล้วอยากชมบรรยากาศทะเลสาปซูริคยามเย็น และยังทำงานประจำที่บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของสวิตในตำแหน่งสถาปนิกออกแบบบ้าน อาคาร ตามความต้องการของลูกค้า พันไมล์ทำงามมาตั้งแต่สมัยเรียนและฝึกงานกับบริษัท ยูนิเวอร์ซิตี้ ดีไซน์ แล้วทำงานต่อทันทีเมื่อเธอเรียนจบจนตอนนี้ก็เข้าปีที่สามแล้ว มีรายได้ดีพอสมควร
“แม่ก็อยากมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทยนะลูก แต่ที่โน่นก็เหมือนกับบ้านอีกหลังของเรา หากแม่มาอยู่เมืองไทยจริงๆล่ะไมล์จะว่ายังไง” วลาลีถามลูกสาว
“ไมล์ก็มาอยู่กับแม่สิคะ ที่โน่นมีนายแสนคอยดูแด๊ดดี้กับมัมและร้านได้สบายอยู่แล้วค่ะ แต่มัมคงไม่ให้แม่มาอยู่คนเดียวแน่ค่ะ” พันไมล์รู้ว่าป้าเป็นห่วงแม่ของเธอไม่มีทางปล่อยให้อยู่คนเดียวแม้จะรู้วาแม่ของเธออยู่ได้ก็ตาม
“แม่แค่คิดเฉยๆ เอาไว้แม่จะคุยกับมัมของเราก่อน ไม่รู้ว่าจะให้กลับมาหรือเปล่า” วลาลีเคยเปรยกับพี่สาวว่าอยากกลับมาอยู่เมืองไทยพี่สาวก็เห็นด้วยเพราะอยู่ที่สวิตวลาลีมีเพื่อนน้อยมากและไม่มีความสุขแต่พอกลับมาเมืองไทยน้องสาวจะมีความสุขมากและคิดว่าน้องสาวคงเข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่างได้และเธอจะให้น้องสาวตัดสินใจเอง
“ไมล์มีเพื่อนที่รู้จักทำงานบริษัทใหญ่เขาก็ทาบทามไว้แต่ไมล์ยังไม่ได้ให้คำตอบ เพราะไม่รู้ว่าแม่จะมาอยู่เมืองไทยจริงหรือเปล่า” หญิงสาวมีเพื่อนรุ่นพี่ทำงานที่บริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของเมืองไทยทาบทามเธอมาร่วมงานเพราะเห็นฝีมือของรุ่นน้องตอนฝึกงานที่บริษัทใหญ่ด้วยกันจึงอยากได้มาร่วมทีม
“ไมล์อยากมาอยู่เมืองไทยเหรอลูก” วลาลีถามลูกสาวปกติพันไมล์จะมาเมืองไทยปีละครั้งตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ลูกสาวของเธอทำงานก็จะไปเที่ยวเมืองไทยสองครั้งต่อปีกับเพื่อนบ้าง
“ไมล์อยู่ที่ไหนก็ได้ค่ะที่มีแม่”
“อ้าว, ถ้าแม่มาอยู่น่านล่ะ ไมล์จะทำยังไง”
“นั่นสิคะ งานไมล์อยู่กรุงเทพจะทำยังไงดี งั้นแม่ก็อยู่กรุงเทพกับไมล์สิที่บ้านเราก็ทำร้านกาแฟได้นี่คะ” พันไมล์พูดถึงบ้านที่กรุงเทพ เมื่อยี่สิบปีก่อนยังไม่เจริญเท่านตอนนี้ และบ้านหลังเล็กในพื้นที่หนึ่งไร่ติดถนนกาญจนาภิเษกข้างๆก็เป็นหมู่บ้านหรูหลายแห่งมาสร้างมากมาย มีอพาร์ทเมนท์ บริษัท เต้นซ์รถ ห้างสรรพสินค้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด บ้านหลังนี้มี ขจร หลานชายของแม่พักอยู่และทำงานเป็นช่างซ่อมบำรุงที่บริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นใกล้บ้านจึงไม่ต้องห่วงอะไรและขจรก็ยังเป็นโสด
“นี่เราคุยกันเหมือนจะกลับมาอยู่กันจริงๆแล้วนะลูก” วลาลียิ้มขำที่เธอกับลูกสาวพูดคุยกันเป็นคุ้งเป็นแควก่อนจะหัวเราะ
“โธ่ แม่ขา ของอย่างนี้ต้องวางแผนสิคะ งั้นพรุ่งนี้เรากลับไปบ้านที่กรุงเทพดีมั้ยคะ จะได้ดูด้วยว่าจะทำอะไรได้บ้างแล้วไมล์จะได้คุยกับมัมและแด๊ด.” พันไมล์บอกแม่ของเธอเพราะเห็นแม่พูดเรื่องมาอยู่เมืองไทยแล้วหน้าตาสดใสและเธอก็อยากให้แม่มีความสุข
“ได้สิลูก, ไมล์.”
“ขาแม่.”
“หากวันหนึ่งหนูเจอพ่อจะทำยังไง” วลาลีถามลูกสาวเบาๆเธอรู้ว่าลูกสาวก็อยากรู้ว่าพ่อเป็นใครแต่ไม่ถามเธอเท่านั้นเอง
“ก็,ไม่รู้สิคะ ไมล์มีแม่แค่คนเดียวก็พอแล้วค่ะ หากเจอกันจริงไมล์ก็อยากขอบคุณเขาที่ทำให้ไมล์เกิดมาเป็นลูกของแม่ก็เท่านั้นค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงค่ะไมล์เข้าใจยังไงไมล์ก็มีแด๊ดดี้ มัม แม่และนายแสนก็พอแล้วค่ะ” พันไมล์กอดแม่อบย่างปลอบใจเธอคิดว่าแม่มีเหตุผลถึงได้เลือกแบบนี้และมัมก็บอกตลอดว่าแม่คิดถูกแล้ววันหนึ่งหากแม่พร้อมก็จะเล่าให้เธอฟังเองและวเธออาจจะเจอกับพ่อผู้ให้กำเนิด
“ขอบใจมากนะลูก วันหนึ่งแม่จะเล่าให้ฟังนะจ้ะ”
“ค่ะแม่ตอนนี้ไปกินข้าวกันเถอะค่ะ ยายกระถิน ให้ไมล์มาเรียกแม่ป่านนี้บ่นแล้วมั้งคะ” พันไมล์เพิ่งนึกได้ว่ายายกระถิน น้องสาวของยายที่บ้านอยู่ติดกันเรียกไปกินอาหารและครอบครัวของท่านก็ช่วยดูแลบ้านให้แล้วแม่ของเธอก็จะส่งเงินมาให้ทุกเดือนเพื่อตอบแทนน้ำใจทั้งที่ยายบอกไม่ต้องแต่ป้ากับแม่ก็ส่งมาให้ทุกเดือนไม่เคยขาด
“งั้นไปกันเถอะลูก” สองแม่ลูกเดินกางร่มไปทางประตูเล็กที่เชื่อมติดกันข้ามไปบ้านแม่อุ้ยหลังใหญ่ที่อยู่กันพร้อมหน้าและบอกทุกคนว่าเธอจะกลับไปกรุงเทพและจะกลับสวิตฯเลย สองแม่ลูกนั่งเครื่องบินมาจากเมืองน่านเข้ากรุงเทพเพื่อมาดูบ้านว่าจะทำอะไรได้บ้างก็ปรึกษากันก่อน
สาวร่างเล็กอวบอิ่มลงจากรถแท็กซี่ที่หน้าตึก TM ตามที่เพื่อนรุ่นพี่บอกก่อนจะเดินเข้าไปในตึกและโทรหาพริษฐ์เพื่อนรุ่นพี่
“ตู้ดๆ ตู้ดๆๆ."
“ขออนุญาตนะครับคุณหนึ่ง” พริษฐ์บอกเจ้านายก่อนจะเดินเลี่ยงไปมุมห้อง “หวัดดีครับไมล์ มาถึงแล้วเหรอครับ” พริษฐ์รับสายเพื่อนรุ่นน้องที่เขาชอบแล้วยิ้ม
“ค่ะ พี่ต้นอยู่ไหนคะ”
“พี่กำลังคุยงานกับเจ้านายอยู่ครับ ไมล์รอพี่สักครึ่งชั่วโมงได้มั้ยครับ”
“ได้ค่ะ งั้นไมล์นั่งรอที่ร้านกาแฟ เอ่อ ร้าน คอฟฟี่ เฮ้าส์ นะคะ.”
“โอเคครับ เดี๋ยวเจอกัน” พริษฐ์วางสายแล้วเดินกลับมานั่งคุยกับเจ้านาย
“เอ้,คุณต้นยิ้มแบบนี้คุยกับคนรู้ใจหรือเปล่าครับ” อนิกม์แซวรุ่นพี่หนุ่มมากฝีมือของบริษัทและยังเป็นพนักงานดีเด่นของบริษัทที่สอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อที่สวิตเมื่อห้าปีที่แล้ว
“เปล่าครับ พอดีผมนัดรุ่นน้องมาจากสวิตฯก็คนที่ผมคุยให้คุณหนึ่งฟังไงครับ ตอนนี้เธอกำลังตัดสินใจจะกลับมาอยู่เมืองไทยผมจึงชวนเธอมาร่วมงานครับ ฝีมือดีๆอย่างนี้ผมไม่ปล่อยให้ไปทำบริษัทอื่นหรอกครับ”
“ดีครับคุณหนึ่ง ผมอยากได้คนมีฝีมือมาร่วมงาน ดีไม่ดีอาจจะได้ทำโปรเจคที่ลาว ว่าแต่เป็นผู้หญิงจะจะสู้งานกลางแจ้งเหมือนพวกเราได้มั้ยครับ” ทำไมเขาไม่เคยเจอหญิงสาวที่พริษฐ์พูดถึงล่ะในเมื่อเรียนที่เดียวกัน
“ไม่ต้องห่วงครับ ไมล์เป็นผู้หญิงสาวและขาลุยเธอทำงานกับบริษัท ยูนิเวอร์ซิตี้ ดีไซร์ครับ คุณหนึ่งว่าไหวหรือเปล่าล่ะ” พริษฐ์บอกเจ้านายที่เลิกคิ้วเหมือนไม่อยากเชื่อ
“จริงเหรอครับ แต่ชื่อของเธอแปลกดี พันไมล์” เขารู้ว่าบริษัทที่พริษฐ์พูดถึงเป็นบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของซูริคเลยทีเดียวต้องเก่งจริงถึงได้ทำงานที่นั่น
“จริงครับ เธอฝึกงานที่นั่นแล้วทำงานต่อเลยครับ.”
“ฮืมม, ถ้างั้นคุณต้นก็เอาตัวเธอมาร่วมงานกับเราให้ได้นะครับ อืม,ผมอยากเห็นผลงานของเธอสักหน่อยจะได้มั้ย”
“ได้ครับ ผมจะให้เธอส่งเมล์มาให้.”
“เรื่องงานของเราก็ไม่มีอะไรแล้ว คุณต้นก็จัดการตามแบบได้เลยครับ” อนิกม์บอกหัวหน้าทีมที่ไปคุมงานรีโนเวจโรงแรมของ อนล ศุภศิริโชค เพื่อนสนิทของพ่อที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
“ได้ครับ งั้นผมขอตัวก่อนครับ พอดีไมล์มารอผมที่ร้านกาแฟชั้นล่าง คุณหนึ่งอยากรู้จักเธอมั้ยครับลงไปพร้อมผมก็ได้” พริษฐ์ถามเจ้านาย
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเธอมาร่วมงานกับเราคงได้รู้จักกัน.”
“ผมขอตัวนะครับคุณหนึ่ง สวัสดีครับ” พริษฐ์ยกมือไหว้เจ้านายอายุน้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานลงไปหารุ่นน้องสาวที่รอเขาในร้านกาแฟ
“พี่ต้นทางนี้ค่ะ” พันไมล์เห็นรุ่นพี่เดินเข้ามาในร้านกาแฟก็เรียกเบาๆและโบกมือให้”สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับไมล์ หรือพี่จะเรียกแอชลี่ย์ดีล่ะ” พริษฐ์แซวรุ่นน้องสาวสวยน่ารักที่มองไม่รู้จักเบื่อแต่เสียดายที่หญิงสาววางเขาไว้แค่ตำแหน่งพี่ชายซึ่งเขาก็ยอมรับและเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ให้ลึกสุดใจ
“ไมล์เป็นคนไทยค่ะ เรียกไมล์น่ะดีแล้วค่ะ พี่ต้นจะดื่มอะไรดีคะ”
“ขอชาเขียวปั่นครับ พอดีพี่เพิ่งดื่มกาแฟกับเจ้านายมา” พริษฐ์บอกพนักงานแล้วหันมาคุยกับรุ่นน้องคนสวย
“ไมล์จะมาถามพี่ต้นเรื่องงานค่ะ ว่ายังรับอยู่มั้ยคะถ้าไมลกลับมาอยู่เมืองไทย” พันไมล์ไม่อยากคุยเรื่องงานทางโทรศัพท์เพราะเรื่องนี้เธอจริงจังหากได้งานที่นี่จริงก็จะดีมากเธอดูข้อมูลของบริษัทแล้วว่ามั่นคงจริง
“รับสิครับ พี่คุยกับเจ้านายแล้ว ท่านยังบอกว่าอยากเห็นผลงานของไมล์..”
“ได้สิคะ เดี๋ยวไมล์จะทำเรซูเม่ส่งมาทางเมล์ได้มั้ยคะ” พันไมล์ตอบรุ่นพี่คนสนิท
“ได้สิ ว่าแต่ไมล์จะไปไหนต่อหรือเปล่าไปกินข้าวกลางวันกับพี่ก่อนได้มั้ย”
“ไมล์ตั้งใจมาให้พี่ต้นเลี้ยงข้าวกลางวันอยู่แล้วค่ะ.”
“จะให้พี่เลี้ยงตลอดชีวิตก็ได้นะไมล์” พริษฐ์สวนกลับรุ่นน้องที่อมยิ้มจนแก้มตุ่ย
“ไม่ดีกว่าค่ะ ไมล์ไม่อยากเป็นมือที่สามที่สี่ของพี่ต้นค่ะ”
“มีที่ไหนมาล่ะไมล์ พี่ทำแต่งานจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบสาวล่ะ มีอยู่คนเดียวก็ใจแข็งเป็นบ้า” พริษฐ์ว่าให้รุ่นน้องสาว
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวไมล์ช่วยหาแฟนให้พี่ต้นค่ะ ไปเถอะไมล์หิวแล้วค่ะ” พันไมล์พูดอย่างรู้ทันรุ่นพี่เธอรู้ว่าพริษฐ์แต่กระเซ้าหลังจากเคลียกันตอนเขาเรียนจบแล้วกลับเมืองไทยว่าเธอชอบเขาและรักเหมือนพี่ชายอยากรักษามิตรภาพนี้เก็บไว้นานๆไม่อยากสูญเสียเพื่อนที่ดีไป พริษฐ์ก็ยอมรับทำให้ทั้งสองคบกันเรื่อยมาจนถึงตอนนี้
“ไปสิครับ คนสวย.” พริษฐ์ลุกขึ้นแล้วยื่นแขนให้พันไมล์
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวสาวๆจะเข้าใจพี่ต้นผิด คริๆๆ.” พันไมล์มองใบหน้าหล่อสไตล์เกาหลีของพริษฐ์แล้วหัวเราะ
“ขอควงคนสวยหน่อยก็ไม่ได้” พริษฐ์จึงยกมือขึ้นยีผมของหญิงสาวที่ก้มหลบเป็นพัลวันแล้วหัวเราะเดินไปที่ร้านอาหาร
อนิกม์เดินออกมาจากลิฟต์ก็เห็นสถาปนิกหนุ่มเนื้อหอมของบริษัทเดินไปกับสาวผมยาวตัวเล็กบั้นท้ายกลมกลึงอัดแน่นในกางเกงยีนส์สีซีดบิดส่ายไปตามจังหวะเดินนำหน้าเขาไปสิบเมตร
“คุณต้นเดินกับใครอ่ะ แฟนหรือเปล่าแค่เห็นบั้นท้ายของคุณเธอแล้วทำเอาใจสั่นเลยแฮะ” การันต์มองตามสถาปนิกหนุ่มแล้วพูดขึ้น
“ไม่ใช่หรอกมั้ง เห็นว่าเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนที่สวิตฯกำลังทาบทามมาร่วมทีมน่ะ” อนิกม์ก็มองบั้นท้ายกลมกลึงซะเพลินจนทั้งสองเลี้ยวหายเข้าไปในร้านอาหาร ชายหนุ่มก็เดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อไปกินอาหารกับเพื่อนรักที่มาดูงานที่ฟิตเนส
คฤหาสน์ ราชภักดีภิมุข
คฤหาสน์หลังใหญ่ย่านทองหล่อที่ที่ดินราคาแพงกว่าทองคำชนิดที่ว่าต้องระดับมหาเศรษฐีเท่านั้นหรือไม่ก็เป็นที่ดินมรดกตกทอดมาถึงลูกหลานบางรายก็ขายให้นักธุรกิจสร้างคอนโดหรูโรงแรมและหนึ่งในนั้นก็เป็นของตระกูล ราชภักดีภิมุข ที่มีคอนโดหรูนับสิบในซอยทองหล่อทั้งขายและเช่า และยังมีที่ดินเหลืออยู่อีกหลายแปลง
“พี่หนึ่งกลับมาแล้วนะคะคุณพ่อ” อภิรดา ราชภักดีภิมุข วัย ยี่หกปี บอกพ่อของเธอหลังจากไปเจอพี่ชายตัวดีที่คอนโดหรูถนนสาธรหลังจากเธอไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนในคลับหรูใกล้คอนโดจึงแวะพักที่นั่นแล้วบังเอิญเจอพี่ชายกลับมาจากสเปนหลังจากไปติดต่อเรื่องงานกับบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของสเปน ที่ อันเดรส คอสตาย่า นักธุรกิจรูปหล่อชื่อดังของสเปนเป็นเจ้าของ อันเดรสไม่เพียงแต่รวยชายหนุ่มยังหล่อลำน่าหม่ำที่สุดและมีสาวสวยข้างกายไม่ขาดและไม่ซ้ำหน้า เพื่อร่วมลงทุนงานก่อสร้างโรงแรมหรูที่ประเทศลาวของสองหนุ่มจากตระกูลก่อสร้างยักษ์ใหญ่สองชาติร่วมหุ้นกันด้วยงบประมาณหลายพันล้านใกล้เขื่อนน้ำงึ่มห่างจากนครหลวงเวียงจันทร์ไปประมาณแปดสิบกิโลเมตร
“อยู่ไหนล่ะพ่อยังไม่เห็นพี่ชายตัวดีของเราเลย” ไวทย์ ราชภักดีภิมุข วัยห้าสิบหกปี เขายังดูหล่อสมาร์ทเหมือนเดิมแม้จะดูท้วมขึ้นก็ตามวัยมีผมขาวแซมผมดำแต่ก็ยังทำให้เขาดูดี
“อยู่คอนโดที่สาธรค่ะ เมื่อคืนสองไปงานวันเกิดเพื่อนแถวนั้นก็เลยแวะพักที่คอนโดก็เจอพี่หนึ่งควงสาวไปค้างด้วยค่ะ” อภิรดาไม่ชอบสกาวเดือนคู่ควงของพี่ชายเพราะรู้นิสัยดีเธอกับสกาวเดือนเรียนโรงเรียนสตรีชื่อดังมาด้วยกันและสกาวเดือนก็มักจะทำตัวเด่นเหนือคนอื่นถือว่าตัวเองเป็นลูกหลานตระกูลเก่าแก่ที่ร่ำรวย พ่อของเธอเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงต่างประเทศ
“ปล่อยพี่เขาเถอะลูก ว่าแต่เราอย่าเที่ยวกลางคืนให้มากนะลูก เป็นผู้หญิงมันอันตราย” ไวทย์เตือนลูกสาวด้วยความเป็นห่วง หลังจากเขาแต่งานกับปรีชญาเธอก็ทำหน้าที่เมียและแม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นแต่ไวทย์ไม่สามารถลืมวลาลีได้เลยเธอยังอยู่ในใจเขาตลอดและไม่เคยได้ข่าวคราวมายี่สิบกว่าปี เขาไม่อยากเชื่อว่าเธอจะหายไปได้อย่างไร้ร่องรอย ไวทย์แอบไปดูที่บ้านของหญิงสาวก็ปิดตายจนเขาท้อและปล่อยให้วลาลีเข้าใจผิดโดยไม่ได้อธิบายให้ฟัง ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงนะ ไวทย์คิดอย่างเหม่อลอย
“ค่ะคุณพ่อ งั้นสองไปทำงานก่อนนะคะ” อภิรดาบอกพ่อของเธอก่อนจะหอมแก้มท่านแล้วเดินออกไปจากห้องอาหาร
“อ้าว,ยัยสองไปทำงานแล้วเหรอคะพี่ไวทย์” ปรีชญาเดินถือกาแฟมาให้สามีที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต้ะอาหาร