Chapter 3: อยากได้ตัว

1731 Words
พันมนตร์สบตากับหนุ่มหล่อเข้มที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะวีไอพีและจ้องตากันอยู่นาน หญิงสาวพร่ำบอกตัวเองว่าให้หลบตาเขาแต่เธอก็แสร้งมองไปทางอื่นได้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนจะหันกลับไปมองเขาและพบว่าตัวเขาเองไม่หันเหความสนใจไปทางอื่นเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้สาวสวยไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นเธอที่จ้องเขาก่อนหรือเป็นเขาที่จ้องเธอก่อน สองหนุ่มสาวเหมือนมีแม่เหล็กแท่งใหญ่ในตัวที่ดึงดูดเข้าหากัน แม้จะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปทางอื่นแต่ก็หนีไม่พ้นต้องอยากเข้าใกล้กันอยู่ดี หนุ่มหล่อคนนั้นส่งยิ้มให้เธอและแก้วเกล้าก็ทันเห็นยิ้มใจละลายนั่นเข้าให้พอดี “ว้าย! ผู้ชายคนนั้นเขายิ้มให้แกด้วย มน!” แก้วเกล้าวี้ดว้ายแล้วสะกิดเพื่อน “แล้ว... ยังไงต่ออะแก้ว? เขายิ้มแล้วฉันต้องทำยังไง? บอกมาเร็วสิ ดูสิเขาลุกขึ้นยืนแล้ว” พันมนตร์รีบหันไปถามเพื่อน ที่เคยคิดว่าจะมาหาผู้ชายสักคนเพื่อรับรู้ประสบการณ์วาบหวามก่อนตายมันหายไปจากหัว เมื่อเจอสถานการณ์จริงเธอกลับทำอะไรไม่ถูกเสียนี่ “ก็เหมือนที่สอนไง เดี๋ยวเขาต้องสั่งเหล้าให้แกแน่ ถ้าแกชอบแกก็รับเลย ถ้าแกไม่ชอบแกก็ปฏิเสธไป เอาไงแก? เดินมาแล้ว! เดินมาแล้ว!” แก้วเกล้ารีบเร้าอารมณ์ตื่นเต้นให้เพื่อน พันมนตร์กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เธอเห็นตั้งแต่เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจสองสาวสวยที่พยายามรั้งเขาให้นั่งลงจนกระทั่งบัดนี้เขาเดินมาอยู่เบื้องหน้าเธอ “สวัสดี” เสียงนุ่มทุ้มของเขาดังขึ้นทักทายเธอท่ามกลางเสียงดนตรีสดที่ดังกึกก้อง “สะ... สะ... สะ... สวัสดีค่ะ” พันมนตร์ตอบเขาเสียงตะกุกตะกัก ตลอดชีวิตอายุ 24 ปีของเธอ หญิงสาวใช้เวลาที่เหลือจากการเรียนหนังสือปกติมาศึกษามนตราตามที่พ่อและแม่ต้องการ ทำให้เธอมีประสบการณ์เกี่ยวกับผู้ชายน้อยแสนน้อย ดังนั้นจึงอดประหม่าไม่ได้เมื่อได้คุยกับหนุ่มหล่อตัวต่อตัว “ผมอยากได้ตัวคุณ คุณอยากนอนกับผมไหม?” ชลราชายิ้มแล้วถามราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งพันมนตร์และแก้วเกล้าต่างก็อ้าปากค้างกับคำถามนั้น “ไหนเหล้าที่แกบอก? ไม่เห็นมีเลยยัยแก้ว ไม่มีเกริ่นนำอะไรทั้งนั้นด้วย” พันมนตร์หันไปกระซิบถามเพื่อนด้วยความตกใจ “เออ... บางทีก็มีแบบนี้โผล่มาอะแก แบบแปลก ๆ แบบหล่อและมั่นหน้า แบบว่า... อยากได้อะไรต้องได้ พวกทรงแบด ๆ จะเป็นอย่างนี้แหละแก แกว่าไงล่ะ? เอาไหม? ตอนนี้แค่สามทุ่ม ถ้าตัดสินใจไปเปิดโลกกับเขาตอนนี้แกยังกลับบ้านก่อนเที่ยงคืนได้นะ ครั้งแรกของแก แกตัดสินใจเอาเอง แต่คนนี้คือแบบ... หล่อโฮกแล้วท่าทางเอวดุด้วยนะแก อยากได้แบบนี้ไหม?” แก้วเกล้ายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วถามเพื่อน พันมนตร์คิดเพียงครู่เดียวแล้วรีบส่ายหน้าทันที “ไม่ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยความมั่นใจ “ว้าย! ยัยมน! เดี๋ยวตีเลยนี่ คนนี้คือหล่อสุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยนะแก แล้วไหนแกบอกอยากมีประสบการณ์ แก 24 จะ 25 เข้าไปแล้วนะ แฟนก็ไม่เคยมี จับมือผู้ชายยังไม่เคย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะตายตอนเบญจเพสหรือเปล่า แกมีแววขึ้นคานยิ่งกว่าแววตายตอนเบญจเพสเสียอีก” แก้วเกล้ารีบกระซิบเตือนเพื่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกให้เพื่อนตัดสินใจเอาเอง “รุกขนาดนี้ฉันก็กลัวสิยะ” พันมนตร์รีบกระซิบตอบเพื่อนแล้วยิ้มแหยส่งให้ชลราชา เธอปฏิเสธเขาแต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่คิดมาก เขาแค่ยิ้มแล้วยักไหล่ก่อนที่จู่ ๆ จะตวัดร่างเล็กของพันมนตร์ที่นั่งอยู่บนบาร์น้ำขึ้นพาดบ่าราวกับเธอเป็นเพียงตุ๊กตายัดนุ่นน้ำหนักเบา “ว้าย!” พันมนตร์ร้องและเพียงครู่เดียวเธอก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเธอสบตากับหนุ่มผิดคน ไม่น่าจ้องหน้าเขาเลย ยัยมนบ้าเอ๊ย! ผู้ชายคนนี้โรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลังจากพันมนตร์หวีดร้อง หนุ่มหล่อก็ดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เหมือนการอุ้มสาวขึ้นพาดบ่าคือสิ่งที่เขาทำเป็นกิจวัตร ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และทันทีที่พันมนตร์ได้ยินเสียงดีดนิ้วของเขาเธอก็รู้สึกชาไปทั้งตัวโดยไม่รู้สาเหตุ “ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องดิ้น ผมอยากได้คุณ แต่ผมไม่บังคับคุณอยู่แล้ว ผมแค่อยากให้เราได้มีเวลานั่งคุยกัน ทำความรู้จักกัน ซึ่งเราคงจะนั่งคุยกันในผับเสียงดังแบบนี้ไม่ได้แน่ คุณ... เออ... เพื่อนคุณคนสวยคนนี้ คุณชื่ออะไร?” ชลราชาหันไปถามแก้วเกล้า “แก้วค่ะ แก้วเกล้า ส่วนยัยคนที่คุณอุ้มพาดบ่าอยู่ตอนนี้ชื่อมนค่ะ พันมนตร์” แก้วเกล้ากล่าวทันที เธอรู้สึกได้ว่าผู้ชายตรงหน้าทั้งหล่อทั้งใจเด็ด ที่สำคัญคงทำให้พันมนตร์ลืมเรื่องทุกข์ใจไปได้บ้างไม่มากก็น้อย หญิงสาวจึงส่งเสริมให้เพื่อนได้เปิดใจและรู้จักกับคนใหม่ ๆ “ชื่อเพราะ” หนุ่มหล่อยิ้มแล้วยักคิ้วให้แก้วเกล้า ไม่ได้กล่าวเฉพาะเจาะจงว่าเป็นชื่อของแก้วเกล้าหรือพันมนตร์ที่เพราะ “นี่นามบัตรผม คุณจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนของคุณ ผับนี้เป็นของผม ถามบาร์เทนเดอร์ได้ ถ้าผมทำความรู้จักกับพันมนตร์เสร็จผมจะส่งเพื่อนคุณกลับบ้านเอง ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าไม่กลับ ให้รู้ไว้ว่าเพื่อนคุณหลงเสน่ห์ผมจนกลับบ้านไม่ถูกแน่นอน” ชลราชาล้วงนามบัตรสีดำที่พิมพ์ตัวอักษรสีทองส่งให้แก้วเกล้าก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมพันมนตร์ที่อยากจะอ้าปากร้องสักหลายคำแต่ตอนนี้อาการชาไปทั้งตัวมันทำให้เธอต้องนิ่งเงียบ หญิงสาวไม่ได้เต็มใจจะสงบปากสงบคำ แต่จู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนโดนมนตร์ที่ทำให้เธอไม่สามารถขยับลิ้นได้แม้แต่น้อย ร่างกายของเธอก็เองก็เช่นกัน อยากจะร้องให้เพื่อนช่วยก็ทำไม่ได้ จำใจต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมบนบ่าของเขา เฝ้ามองคนทั้งบาร์ที่จ้องหนุ่มหล่อที่มีเธอพาดอยู่บนบ่าด้วยสายตาแปลก ๆ “โชคดีนะมน! ถ้ามีอะไรโทรหาฉันได้ หรือถ้าคืนนี้จะไม่กลับบ้านก็ส่งข้อความมาเตี๊ยมกับฉันก่อนนะ ฉันจะได้บอกยันต์ได้ว่าคืนนี้แกค้างกับฉัน” แก้วเกล้าป้องปากแล้วตะโกนบอกเพื่อนที่ตอนนี้เหมือนต้องมนตร์ไม่อาจแม้แต่จะกระดิกนิ้ว พันมนตร์ได้แต่ขมวดคิ้วชนกัน สงสัยอยู่ในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอกันแน่ ทำไมจู่ ๆ ฉันถึงขยับตัวขยับลิ้นไม่ได้?! นี่มันเหมือนคาถาหรืออะไรสักอย่าง? แต่ใครจะร่ายคาถาบ้า ๆ แบบนี้ได้นอกจากพี่ยันต์? หรือว่า... อย่าบอกนะว่านายรูปหล่อคนนี้เล่นของอะ? สาวสวยหน้าใสคิดในใจพลางนึกวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้แต่กลับจนปัญญา นี่ถ้าตอนเรียนมนตราเธอใส่ใจมากกว่าที่ควรจะเป็นอีกสักนิดเธอคงไม่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นนี้ ในที่สุดชลราชาก็แบกสาวสวยออกจากบาร์อย่างง่ายดาย ทั้งมายาและมินตราต่างมองตามเขาและหญิงแปลกหน้าด้วยสายตาอิจฉาริษยา “ทำไมชลถึงสนใจยัยมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นได้?” มายาถามพี่สาวด้วยความขัดใจ “ก็ดูสวยใช้ได้ เพศผู้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือจระเข้ก็เหมือนกัน พอแปลกกลิ่นก็ตื่นเต้น อยากลองของใหม่ ให้ชลได้ลองสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร ยังไงเสียพญาจระเข้ก็ไม่มีทางเอามนุษย์มาทำเมีย” มินตรากัดฟันบอกน้องสาวเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองไปด้วย “แต่อย่าลืมสิมิ้น... พญาชาละวัน ปู่ทวดของชล มีเมียจระเข้ถึงสองตนแต่ก็ยังไปคาบเอาตะเภาทองมาทำเมีย” มายาท้วงพี่สาว “ชาละวันก็ส่วนชาละวัน ชลราชาก็คือชลราชา ชลไม่ใช่ปู่ทวด และไม่มีทางเป็นเหมือนปู่ทวด” มินตราบอกน้อง “ชิ! บ้าจริง! รอชลแยกจากยัยมนุษย์คนนั้นแล้วพวกเราตามไปฉีกเนื้อมันกินเลยดีไหม?” มายาทำเสียงจิ๊อย่างหงุดหงิดแล้วเสนอความคิดร้ายให้พี่สาว “พูดอะไรออกมาน่ะมายด์? เวลาพูดคิดบ้างไหม? หรือเธอมองยัยมนุษย์​นั่นไม่เต็มตา?” มินตราขมวดคิ้วแล้วหันไปถามน้องสาว “มองอะไร? ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันเป็นแค่มนุษย์ แค่เรากลายร่างเป็นจระเข้ต่อหน้ามันก็อาจหัวใจวายตายแล้ว หรือถ้าไม่ตายเพราะหัวใจวายก็กัดมันให้จมเขี้ยวแล้วกัดเนื้อมันออกมากินจนสิ้นซากเสียก็หมดเรื่อง” มายาบอกพี่สาวด้วยความรำคาญใจ มินตราได้แต่ถอนหายใจในความไม่เอาไหนของน้องสาว ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมชลราชาถึงดูแยแสน้องสาวเธอน้อยลงไปทุกที และดีไม่ดี พญาจระเข้หนุ่มอาจพาลสนใจเธอน้อยลงไปด้วย “เฮ้อ! นี่ต้องให้บอกหรือไงว่ารอยสักของยัยมนุษย์นั่นตรงต้นแขนเป็นรอยสักอะไร? มันเป็นรอยสักยันต์ที่ทำให้พวกเรากลายร่างเป็นจระเข้ได้ภายในพริบตาถึงแม้พวกเราจะห้อยแหวนทองลงอาคมไว้ที่คอก็ตาม มันเป็นรอยสักที่ทำให้พลังของจระเข้อย่างพวกเราเสื่อมถอย... เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยเห็นรอยสักนั่นด้วยตาตัวเอง... รอยสักกำราบกุมภีล์”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD