ภาพเคลื่อนไหวจากทีวีตรงหน้าไม่ได้เข้าสู่การรับรู้ของอัคคีเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเฝ้าครุ่นคิดถึงทางออกที่พอจะบรรเทาสถานการณ์ ตึงเครียดที่เขากำลังจะเผชิญอยู่ มันต้องมีสักทางที่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากเรื่องบ้าๆ นี้สิ ชายหนุ่มปล่อยใจและจนอยู่กับโลกของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆ ที่ข้างหูสติของเขาจึงเริ่มกลับคืน
“พี่คีคะ”
“คะน้ำ” อัคคีที่หลุดออกจากภวังค์รีบหันไปยิ้มให้หญิงสาวใน อ้อมแขนที่สบตาของเขาอย่างเป็นกังวล
“สีหน้าพี่คีดูไม่ดีเลย เครียดกับงานหรือคะ” ธาราใช้หลังมือของตนขึ้นอังหน้าผากอีกฝ่าย อัคคียิ้มบางก่อนจะจับมือของหญิงสาวมาจูบอย่างแผ่วเบา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“อย่าหักโหมงานจนเกินไปนะคะพี่คี น้ำเป็นห่วงนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ คนดีของพี่” อัคคีรวบตนคนรักมากอดไว้แล้วก้มจูบหน้าผากมนอย่างรักใคร่ ธาราซบหน้าอยู่ในอ้อมอกอีกฝ่าย ก่อนที่จะขยับตัวออกเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของอัคคีดังขึ้น
“ครับ” อัคคีรับสายน้ำเสียงกดต่ำ “จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“พี่กลับก่อนนะคะน้ำ” อัคคีหันไปยิ้มให้กับคนที่มองมาทางเขาอย่างสงสัย ธาราพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเดินเคียงข้างคนรักไปส่งที่ประตูห้อง
“ขับรกดีๆ นะคะพี่คี” อัคคียิ้มเครียดทำท่าจะผละจาก แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับมาแล้วดึงคนรักมาไว้ในอ้อมแขนแล้วก้มลงจูบเธออย่างไม่ทันตั้งตัว
เนิ่นนาน...ราวกับต้องการดึงวิญญาณของหญิงสาวออกจากร่างไป
“พี่คี...” ธาราครางเสียงแผ่วแววตาที่มองคนตรงหน้ายังคงเลื่อนลอย
“น้ำ...เรา...แต่งงานกันเลยดีไหม”
“คะ พี่คีว่าอะไรนะคะ” ธาราถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน อัคคีชะงักงันก่อนจะหลบสายตา
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่ไปก่อนนะคะ” ชายหนุ่มยิ้มส่งท้ายก่อนจะรีบหมุนตัวออกจากห้องไปทันที ธาราที่ยังไม่หายตกใจจึงเรียกไว้ไม่ทัน หญิงสาวจึงได้แต่ครุ่นคิดกับตัวเองว่าสิ่งที่เธอได้ยินเมื่อครู่นั้นเป็นถ้อยคำที่เธอคิดไปเองจริงๆ หรือ...จนเมื่อเสียงเคาะประตูห้องทำให้สติของเธอกลับคืนมาอีกครั้ง
“พี่คีลืมอะไร...อ้าว...พี่ภู” ธารามองชายหนุ่มที่กำลังส่งยิ้มให้เธออย่างแปลกใจ “พี่ภูยังไม่ออกเดินทางหรือคะ”
“กำลังจะไปแล้วล่ะ แต่พี่เอาของมาให้น้ำก่อน”
“ของอะไรหรือคะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ยื่นของบางอย่างมาตรงหน้าหญิงสาว
“กุญแจรถของพี่เอง น้ำเอาไว้ใช้ตอนที่พี่ไม่อยู่ที่นี่นะ”
“รถของพี่ภู” คนฟังทวนคำอย่างตกใจ “มันจะดีเหรอคะ น้ำเกรงใจ แค่ทุกวันนี้ก็รบกวนพี่ภูมากอยู่แล้ว”
“ถือว่าพี่ฝากน้ำไว้ก็ได้ ยังไงพี่ก็เอาจอดไว้ที่นี่อยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าน้ำอยากใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้เลยพี่อนุญาต จะได้เป็นการฝึกมือไปด้วย”
“อย่างนี้ก็เหมือนมัดมือชกน้ำเลยนะคะ” ธาราหน้ามุ่ยทำท่าคิดหนัก ภูผาจึงคว้ามือของหญิงสาวมารับกุญแจของเขาไว้
“นะน้ำ ถือว่าช่วยดูแลรถคันนี้แทนพี่ก็แล้วกันนะ” ภูผาหว่านล้อมพร้อมกับส่งสายตาวิบวับอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก คนมองจึงใจอ่อน พยักหน้ารับในที่สุด
“ก็ได้ค่ะ เอาไว้จำเป็นจริงๆ น้ำถึงจะใช้นะคะ”
“จ้ะ แล้วตอนที่พี่ไม่อยู่ก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ เดี๋ยวพี่จะซื้อขนมมาฝาก” ชายหนุ่มใช้มือขยี้หัวหญิงสาวเบาๆ อย่างหยอกเย้า ธาราจึงหลุดหัวเราะแหย่กลับไปบ้าง
“โห...พูดอย่างกับน้ำเป็นเด็กแน่ะ แต่ถ้าได้ก็ดีนะคะ”
ทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันก่อนที่ธาราจะคว้ามือหนามากุมไว้
“พี่ภูก็ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ ขอให้งานทุกอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จนะคะ”
“ขอบใจนะน้ำ พี่ไปก่อนนะ” ภูผาตบมืออีกข้างลงที่หลังมือของหญิงสาวก่อนจะตัดใจหันหลังเดินจากมา ใบหน้าของเขาเริ่มเคร่งขรึมในขณะที่เร่งฝีเท้าไปทางลิฟท์พร้อมกับกดโทรศัพท์โทรหาใครอีกคนที่เขาอยากคุยด้วย
“ว่าไงไอ้ภู” อัคคีรับสาย น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่สงบมากนัก
“ฉันอยู่ในคอนโด แกออกไปหรือยัง ฉันมีเรื่องอยากคุยกับแกนิดหน่อย”
ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนตอบกลับมา
“ฉันมีเวลาแค่ห้านาที ตอนนี้อยู่ที่ลานจอดรถ”
“ได้ เจอกันที่สวนข้างๆ แล้วกัน” ภูผาก้าวออกจากลิฟท์ที่ถึงชั้นล่างพอดีตอนที่เขาวางสาย เขารีบเดินไปยังจุดนัดหมายจึงได้พบอัคคีที่กำลังรอเขาด้วยท่าทางเร่งร้อน
“แกมีอะไร” อัคคีเปิดประเด็นทันทีที่เห็นหน้าภูผา
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าแกมีอะไรในใจหรือเปล่า วันนี้ท่าทางของแกดูแปลกๆ” ภูผาถามกลับพลางจับตาประเมินอีกฝ่าย อัคคีอึ้งงัน ก่อนจะปฏิเสธเสียงดังแต่กลับเบี่ยงสายตาหนี
“แปลกอะไร แกคิดมากไปแล้วล่ะ ถ้าแกมีเรื่องแค่นี้ฉันรีบไปทำธุระก่อนนะ”
“ตอนนี้แกคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของน้ำ” ภูผาพูดไล่หลังชายหนุ่มที่เดินหนีแต่พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้รุนแรงจนดูก้าวก่าย “น้ำเขาเลือกแกแล้วนะไอ้คี ดูแลน้ำให้ดีด้วย”
คนฟังพยายามควบคุมอารมณ์ ข่มความตื่นกลัวที่พลุกพล่านขึ้นมา ก่อนจะหันไปปั้นยิ้มกลับให้เพื่อน
“ฉันรู้หรอกน่า น้ำคือคนรักของฉันนะไอ้ภู ยังไงฉันต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดอยู่แล้ว แกเชื่อฉันได้เลย เอาเป็นว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ แล้วค่อยเจอกันว่ะ” อัคคีผลุนผันท่าจะผละจากแต่ภูผาก็คว้าแขนรังไว้อีกครั้ง
“แกสัญญากับฉันแล้วนะ” ภูผาย้ำด้วยถ้อยคำชัดเจน อัคคีหันมาสบตาอีกฝ่ายอย่างกังวลก่อนจะรีบกลบเกลื่อน
“เออๆ ฉันสัญญา ไปก่อนนะ” อัคคีรีบเดินไปที่รถของตนเองแล้วรีบออกรถไปทันที ภูผามองตาม พยายามเชื่อมั่นในตัวเพื่อนของตนอย่างที่อีกฝ่ายพูด ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจแล้วเดินกลับเข้าไปที่ห้องโถงของคอนโด เขาคว้ากระเป๋าเดินทางใบย่อมเพียงใบเดียวที่เขาฝากเอาไว้แล้วไปขึ้นรถที่ทางคอนโดจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อรถเคลื่อนตัวออกก็ไม่วายหันกลับไปมองชั้นบนสุดของคอนโดก่อนจะหักใจดึงสายตากลับมาคว้าเอกสารมาเปิดออก้ยอ่านเพื่อเตรียมตัวให้กับงานสำคัญในความรับผิดชอบของเขาที่เขาจะต้องไปจัดการเพื่อครอบครัว
เมื่อถึงที่หมายภูผาก็เร่งทำธุระส่วนตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปยังชั้นของสายการบินระหว่างประเทศ แต่ระหว่างทางกลับได้ยินเสียงเรียกคุ้นหูที่ดังขึ้นด้านหลังจนทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง
“อัณ” ภูผาเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยเรียกหญิงสาวที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่
“เฮ้อ...คิดว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว” อัณณายิ้มให้ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนก่อนจะยื่นถุงกระดาษที่มีสัญลักษณ์ของเสื้อผ้าชื่อดังให้แก่ชายตรงหน้า “นี่ค่ะพี่ภู อัณรีบไปซื้อมาให้พี่ภูเลยนะคะเพราะเห็นว่าช่วงนี้ที่ฮ่องกงอากาศยังเย็นอยู่ พี่ภูจะได้อุ่นๆ ไงคะ”
ภูผารับถุงมาเปิดออกจึงได้เห็นผ้าพันคอเนื้อดีสีเทาแบบที่เขาชอบ เขาเก็บมันไว้ในถุงตามเดิมก่อนจะกล่าวขอบคุณ
“ขอบใจนะอัณและขอบใจมากที่มาส่งพี่ถึงที่นี่”
“อัณอยากเป็นคนสุดท้ายที่ได้มาเจอพี่ภูนี่คะ” อัณณามองกลับด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย ร่างสูงหลบตาแกล้งทำเฉไฉราวกับไม่เห็น
“ดูพูดเข้าสิ ยังไงเดี๋ยวก็ได้เจอกันอีกอยู่แล้ว ถ้ายังไงพี่ไปก่อนนะ”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ และอย่าลืมคนทางนี้นะ” อัณณาส่งท้ายพร้อมกับโบกมือลาอีกฝ่าย ภูผายิ้มบางก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้
“เอ้อ อัณ ช่วงที่พี่ไม่อยู่ ฝากอัณดูแลน้ำด้วยนะ”
อัณณาชะงักวูบหนึ่ง รู้สึกเจ็บข้างในลึกๆ แต่ก็ตอบรับ
“ค่ะ อัณจะช่วยดูแลน้ำเองค่ะพี่ภู”
“ขอบใจมาก” ภูผาส่งยิ้มแล้วจึงหันหลังเดินจากไป จนเมื่อลับร่างของเขาคนที่มองจึงได้แต่เอ่ยอีกประโยคแค่เพียงลำพัง
“คิดถึงอัณด้วยนะคะพี่ภู...”