“ตกลงเรื่องทุกอย่างเป็นมายังไงกันแน่” ปราณเปิดประเด็นหลังจากที่ทั้งสองเข้ามานั่งภายในห้องอยู่สักพักแล้วแต่อีกฝ่ายกลับไปยอมเปิดปากเล่าเสียที
“ฉันพลาดเองแหละปราณ ฉันพลาดเอง” ธีรัชตอบเสียงแผ่ว ถอนหายใจออกมาด้วยความเจ็บปวด “กิจการของฉันที่เพิ่งขยายไปต่างประเทศเกิดความผิดพลาดไปจากที่ฉันคิดไว้มาก ที่นั่นขาดทุนหนัก เงินหมุนเวียนเริ่มไม่พอ ฉันพยายามแก้ปัญหาแต่ทุกอย่างก็ลุกลามจนควบคุมไม่ได้ สุดท้ายฉันเลยต้องเสียบริษัทที่พ่อของฉันสร้างมากับมือให้คนอื่นไปง่ายๆ แบบนี้”
เสียงของธีรัชรวดร้าวราวกับสมเพชให้กับความโง่เขลาของตนเอง ปราณถอนหายใจตามด้วยความสงสารและเห็นใจ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงนี้ ความเสี่ยงในการลงทุนต่างๆ จึงมีสูงมากและมักจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงได้อย่างที่คาดไม่ถึง
“เฮ้อ...แล้วทำไมแกไม่บอกฉันกับไอ้อรรถสักนิดวะ”
“ฉัน...ฉันคิดเองว่าฉันจะควบคุมทุกอย่างได้เหมือนที่ผ่านๆ มา” คนที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อนให้เหตุผลที่ทำให้ตนเองปากหนักและไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากใครด้วยความเกรงใจ เขาเคยควบคุมทุกอย่างได้เสมอ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายจนเกินแก้ไขแล้ว
“ยังไงแกก็ควรบอกเราสองคนบ้าง เราเป็นเพื่อนกันนะไอ้ธี สามสิบกว่าปีนะเว้ยที่พวกเราคบกันมา ยังไงฉันกับไอ้อรรถก็ไม่ทิ้งแกหรอก”
คนฟังอ้ำอึ้งก่อนจะเงียบเสียงลง ปราณที่ไม่อยากซ้ำเติมเพื่อนไปมากกว่าเดิมจึงเปลี่ยนประเด็นแทน
“เอาเถอะ ธุรกิจยังไงก็เริ่มใหม่ได้ แกอยากเริ่มที่ตรงไหนก็บอกมาแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะหาทางช่วยแกอีกแรง”
“มันไม่ใช่แค่นั้นสิปราณ” ธีรัชสูดหายใจเข้าลึก พยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “บ้านหลังนี้กำลังจะถูกยึด...ฉันกำลังจะล้มละลาย”
“อะไรนะ” ชายวัยกลางคนอุทานหน้าเสียไม่แพ้คนเป็นเพื่อน ธีรัชซบใบหน้าอย่างคิดหนักเมื่อเรื่องนี้คือเรื่องที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด
“ที่ผ่านมาฉันพยายามแก้ไขแล้ว พยายามเข้าหาผู้ใหญ่ทุกทางแต่ก็ไม่มีใครยอมช่วยฉัน ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วว่ะ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาบอกได้อย่างดีว่าคนพูดสิ้นหวังแล้วจริงๆ ปราณหลับตาลง ทั้งตกใจและเสียใจไปพร้อมกับคนพูด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน
“เฮ้อ...เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแกก็รู้ดีว่าปกติเราสองคนไม่ใช่พวกชอบเข้าสังคมเท่าไหร่ ถ้าจะมีใครที่พอจะเป็นความหวังให้กับเราได้ ก็คงมีแค่ไอ้อรรถแล้วล่ะ”
“แกหมายความว่า...”
“แกก็รู้ดีนี่ว่าไอ้อรรถมันเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ที่ผ่านมามันกว้างขวางกว่าเราสองคนเยอะ ถ้าแกไปขอมัน ยังไงมันก็ต้องช่วยเพื่อนอยู่แล้วล่ะ จริงอยู่ว่าเรื่องบริษัทอาจจะแก้ไขไม่ทันแล้ว แต่เรื่องบ้านยังพอมีเวลาอยู่บ้างนี่จริงไหม”
“นั่นสินะ” ดวงตาที่เคยอ่อนล้าของคนฟังเริ่มเปล่งประกายขึ้นมาอย่างมีความหวัง ปราณเข้าไปตบบ่าเพื่อนของตนก่อนจะเอ่ยสำทับ
“ฉันเองก็จะช่วยวิ่งเต้นให้แกอีกแรง ถึงแม้จะสู้ไอ้อรรถไม่ค่อยจะได้ก็เถอะ แล้วถ้าแกอยากให้ฉันช่วยตรงไหนเพิ่มเติมก็บอกมาได้เลยนะ เพื่อนกันไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว” ชายวัยกลางคนที่ต่างผ่านร้อนหนาวร่วมกันมานานยิ้มให้แก่กันด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรแท้ ธีรัชจับมือของเพื่อนที่กระชับมั่นอยู่บนบ่าของตนด้วยความซึ้งใจต่อมิตรภาพที่อีกฝ่ายมีให้
“ขอบใจนะปราณ ขอบใจแกมากจริงๆ”
“เออๆๆ ตอนนี้แกรีบออกไปหาหนูน้ำก่อนเถอะ ส่วนเรื่องของไอ้อรรถเดี๋ยวเราค่อยติดต่อมันอีกที”
ธีรัชพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องทำงานจึงได้พบกับชายหนุ่มหญิงสาวที่พากันรออยู่ ธีรัชจึงจับจูงบุตรสาวให้เดินเข้ามาในห้องและให้นั่งลงที่โซฟาตัวยาวข้างๆ แล้วบอกเล่าความจริงทุกอย่างโดยยอมเปิดเผยให้คนอื่นๆ ต่างรับรู้ด้วย
“พ่อขอโทษลูกอีกครั้งนะน้ำ ที่ทำให้ลูกต้องมาลำบากแบบนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ ไม่เป็นไรนะคะ ถึงจะไม่มีบริษัท แต่เราก็ยังเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างได้ น้ำเองก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว น้ำจะช่วยคุณพ่อเองนะคะ” ธาราสบตาบิดาด้วยแววตาแห่งความเชื่อมั่นและยังคงศรัทธาในตัวของเขา ธีรัชยิ้มให้เด็กสาวอย่างตื้นตันใจก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาหาตัว
“ขอบใจมากนะลูก ขอบใจมากจริงๆ เราจะสู้ไปด้วยกันนะน้ำ”
“ค่ะคุณพ่อ” ธารายิ้มกว้างในขณะที่คนรอบข้างต่างพากันมองภาพของธีรัชและธาราที่กอดกันแน่นด้วยความโล่งใจมากขึ้น ทั้งสองต่างถ่ายทอดกำลังใจให้แก่กันและกันก่อนที่ธีรัชจะค่อยๆ ผละจากบุตรสาวแล้วจับมืออีกฝ่ายเอาไว้จนได้สังเกตเห็นถึงบางอย่างที่เขามองข้ามไปก่อนหน้านี้
“แหวนนี่...” ธีรัชมองแหวนเพชรวงกะทัดรัดบนนิ้วนางข้างซ้ายของธาราที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อัคคีที่นั่งถัดออกไปจึงยืดตัวขึ้นและเอ่ยตอบแทน
“แหวนของผมเองครับคุณอา เมื่อคืนผมขอน้ำแต่งงานแล้วครับ” ชายหนุ่มโอบเอวของธาราไว้หลวมๆ ก่อนจะสบตากับธีรัชพร้อมกับเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “และผมยังคงยืนยันในความรู้สึกของผมเหมือนเดิมครับ”
ธีรัชกับปราณมองหน้ากันอย่างตกใจเมื่อได้ยินเรื่องสำคัญนี้ แม้ทั้งสองจะรับรู้ถึงความรักของสองหนุ่มสาวที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแต่ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ โดยเฉพาะธีรัชที่ทำท่าคิดหนักก่อนจะตัดสินใจพูดถึงสิ่งที่เป็นกังวล
“ทั้งๆ ที่วันหนึ่ง น้ำอาจจะไม่เหลือทรัพย์สมบัติอะไรเลยอย่างนั้นหรือคี” คนเป็นพ่อกล่าวอ้างถึงเรื่องที่เขากำลังจะถูกฟ้องล้มละลายอย่างที่ได้เล่าให้ทุกคนฟังไปแล้ว อัคคียิ้มรับ ยังคงไม่มีความหวั่นไหวในดวงตาของเขา
“คุณอาไม่ต้องห่วงนะครับ น้ำคือชีวิต คือลมหายใจของผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะรักและดูแลน้ำให้ดีที่สุดครับ” อัคคีเน้นทุกคำให้ฟังดูหนักแน่นราวกับกล่าวคำสัญญา ธารามองอีกฝ่ายด้วยความซึ้งใจและขอบคุณ ในขณะที่สายตาของธีรัชเองก็แสดงถึงความพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้นอาคงต้องฝากน้ำให้คีดูแลด้วยนะ ขอบใจคีมากที่รักและคอยดูแลน้ำแบบนี้ ขอบใจมากจริงๆ ภูกับอัณด้วยนะลูก ขอบใจมากๆ” ธีรัชหันไปทางชายหนุ่ม หญิงสาวอีกสองคนที่ต่างยิ้มรับคำขอบคุณนั้น ภูผามองไปทางธาราอย่างวางใจก่อนจะหันไปสบตากับบิดาของตนที่มองตรงมาแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อยืนยันว่าตนยินดีกับเรื่องราวของธาราและอัคคีอย่างแท้จริง