7 บทที่ 7 (2)

1503 Words
ภูผาคว้าคอมพิวเตอร์พกพาที่ถูกวางเอาไว้บนเตียงขนาดกะทัดรัดที่ถูกจัดเอาไว้อย่างเรียบง่ายในห้องพักขนาดย่อมเพราะไม่อยากให้การเคลื่อนไหวของตนรับรู้ไปถึงคนที่ไม่อยากให้รู้ เขาจึงเลือกพักในโรงแรมเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านและจัดการเรื่องการเดินทางทุกอย่างด้วยตัวของเขาเองทั้งหมด ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามเอกสารออนไลน์ที่ทยอยถูกส่งมาให้เรื่อยๆ ด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด คิ้วหนาขมวดมุ่น เร่งตรวจสอบทุกอย่างจนลืมเวลาและไม่คิดจะหยุดพัก เขาอยากให้งานนี้จบเร็วที่สุดจนไม่อยากเสียเวลาแม้สักวินาที แต่แล้วเขาก็ต้องละสายตาเมื่อปราณติดต่อเข้ามาถามความคืบหน้าทางโทรศัพท์มือถือ “เป็นยังไงบ้างภู ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” “เรียบร้อยดีครับพ่อ ทุกอย่างเงียบเชียบอย่างที่เราต้องการ แต่ผมยังไม่ได้เจอกับคุณหวังนะครับ ยังไม่อยากให้ใครทันสังเกต เลยติดต่อกันทางข้อความเท่านั้น” “ดีแล้วภู เรื่องนี้เรื่องใหญ่เราต้องรอบคอบให้มาก ถ้าพลาดขึ้นมาเราคงเสียหายไม่น้อย” “ครับพ่อ ผมจะทำทุกอย่างให้เงียบ และจะไม่ให้คนทำผิดหนีรอดไปได้สักคนแน่ครับ” ภูผาเอ่ยเสียงเข้ม แววตาเอาจริงและดุดันในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เขาคุยธุระกับปราณอีกเล็กน้อยก่อนจะกดวางสาย แต่แล้วแววตาของเขาก็อ่อนแสงลงทันทีที่ได้เห็นข้อความตอบกลับของธาราหลังจากที่เขาทักทายไป ‘อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะคะพี่ภู’ ภูผายิ้มบางรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ชายหนุ่มส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆ กลับไปก่อนจะกลับไปทำงานต่อเพื่อเร่งสะสางปัญหาทุกอย่างให้สำเร็จเพื่อกลับไปพบหน้าเจ้าของข้อความโดยเร็ว อัคคีนัดหมายกับรสสุคนธ์ในช่วงค่ำเพื่อเผื่อเวลามารับธารากลับคอนโดเช่นเดิม ชายหนุ่มขึ้นไปส่งหญิงสาวถึงห้อง นั่งเล่นอยู่สักพักเหมือนทุกครั้งก่อนจะเอ่ยลาคนรักเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธจนเกินไป “เย็นนี้พี่ต้องกลับไปคุยงานกับคุณพ่อ คงอยู่กินข้าวเย็นด้วยไม่ได้นะคะ” ชายหนุ่มหันไปบอกคนในอ้อมแขนเพื่อหาทางปลีกตัวออกมา ธาราที่ซบอยู่ในวงแขนอีกฝ่ายจึงยืดตัวขึ้นเพื่อสบตากับเขา “ค่ะพี่คี แต่อย่าลืมที่น้ำบอกแล้วกันว่าอย่าเครียดกับงานจนเกินไปนะคะ น้ำเป็นห่วงนะ” “ครับผม” อัคคีตอบรับพร้อมกับขยิบตาให้ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงที่ดูจริงจังขึ้น “แต่ยังไงพี่ก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเรื่องของเรานะ” ธารายิ้มหวานตอบรับกับแววตาหวานเชื่อมของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ โน้มหน้าลงมา ก่อนที่ริมฝีปากหยักหนาจะค่อยๆ ละเลียดชิมริมฝีปากบางอย่างหยอกเย้าจนสร้างความหวามไหวไปทั้งหัวใจ “หวานที่สุดเลย รู้ไหม” อัคคีเอ่ยเสียงพร่าก่อนจะสูดดมความหอมหวานที่แก้มนวลอีกหน ธาราหลุบตาลงไม่อาจสู้สายตาร้อนแรงของคนรักได้ “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะคะคนดี” ฝ่ายชายหักใจแล้วลุกขึ้นยืนทันที ร่างบางตามมาติดๆ ก่อนที่ทั้งสองจะพากันเดินไปยังประตูห้อง “ขับรถดีๆ นะคะ” ธาราทิ้งท้ายแต่ก็ยังไม่ยอมสบตาคนรักเช่นเดิม คนมองอดไม่ไหวขโมยหอมแก้มอีกครั้งและจากไปด้วยรอยยิ้ม ทิ้งไว้เพียงคนข้างหลังที่ต้องรีบปิดประตูห้องและพยายามปรับจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นรัวของตนให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม บริเวณลานกว้างของห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางกรุงยามนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดวงตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้า รสสุคนธ์นั่งรออัคคีอย่างใจเย็น ไม่คิดโทรเร่งหรือติดตาม ทำเพียงยกโทรศัพท์ขึ้นมานั่งกดเล่นรอเวลาเท่านั้น หญิงสาวรู้ดีว่ายามนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ไหน... แม้จะเจ็บปวดเพียงใดแต่เธอไม่คิดจะก้าวล่วงรีบช่วงชิงเวลาของอีกฝ่ายอย่างใจร้อนในตอนนี้ “รอนานไหมรส” เสียงของอัคคีดังขึ้นเหนือศีรษะเรียกให้รสสุคนธ์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่นานหรอกค่ะ ยังมีเวลาสักพักก่อนที่หนังจะฉาย แล้วพี่คีกินข้าวมาหรือยังคะ” “ยังเลย หิวอยู่เหมือนกันนะเนี่ย” ร่างสูงเอามือลูบท้องจนเรียกรอยยิ้มจากคนมองได้อีกครั้ง รสสุคนธ์หันไปคว้ากระเป๋าข้างตัวก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น “ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนนะคะ ว่าแต่...พี่คีอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ” “ไม่ล่ะ รสเลือกเลยแล้วกัน” “อืม... ร้านอิตาเลี่ยนแล้วกันนะคะ” “ได้สิ ไปกันเถอะ” อัคคีส่งสัญญาณให้หญิงสาวเดินนำ รสสุคนธ์จึงก้าวนำไปก่อนหากแต่ก็หันมาชวนชายหนุ่มพูดคุยเป็นระยะ “ผู้ชายข้างหลังเป็นใครน่ะรส ทำไมต้องคอยตามเราตลอดด้วย” อัคคีบุ้ยใบ้ไปทางชายร่างสูงในเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำที่เขาเห็นว่ายืนอยู่บริเวณที่รสสุคนธ์นั่งรอเขาในตอนแรกและเริ่มก้าวตามทันทีที่พวกเขาเริ่มออกเดิน รสสุคนธ์มองตามหน้าเสียขึ้นมาทันที “คนของคุณพ่อน่ะค่ะ” ฝ่ายหญิงอ้อมแอ้ม “สงสัยตอนนี้ท่านคงยังไม่ไว้ใจเรื่องเราเลยส่งคนมาให้เห็นแบบนี้เพราะเมื่อก่อนเวลาที่ท่านเป็นห่วงรสอย่างตอนไปค่าย ท่านก็จะมีคนส่งตามไปบ้าง แต่ก็จะใช้วิธีให้ตามดูห่างๆ เท่านั้นนะคะ ไม่เหมือนตอนนี้....” “เหอะ!” อัคคีสบถ ใบหน้าหงุดหงิดเต็มที่ ก่อนจะพยายามข่มอารมณ์ให้คิดถึงเป้าหมายของตนเข้าไว้และพาตัวเองไปใกล้ชิดกับร่างเล็กมากขึ้น เมื่อถึงที่ร้านอาหาร ชายหนุ่มก็ตรงไปเลื่อนเก้าอี้ให้รสสุคนธ์นั่งก่อนแล้วค่อยเดินไปทิ้งตัวนั่งลงในเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม “สั่งอาหารเลยนะคะพี่คี” รสสุคนธ์ส่งยิ้มพยายามทำให้ชายตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้น อัคคีพยักหน้าปล่อยให้หญิงสาวทำตามใจ “ขอซีซาร์สลัดกับสเต็กปลาค่ะ” รสสุคนธ์หันไปสั่งกับพนักงาน “ส่วนของคุณผู้ชาย...เป็นสเต็กเนื้อเทนเดอร์ลอยน์ราดซอสพริกไทยดำใช่ไหมคะ” อัคคีเลิกคิ้วก่อนจะตอบรับ “ใช่” รสสุคนธ์ยิ้มหวานก่อนจะสั่งต่อ “เครื่องดื่มเป็นน้ำพันซ์กับน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลนะคะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวส่งคืนเมนูให้พนักงานก่อนจะหันไปยิ้มอีกครั้งให้กับคนที่กำลังมองเธออย่างประหลาดใจ “รสนี่รู้ใจพี่พอได้เลยนะเนี่ย” “ไม่หรอกค่ะ รสแค่เคยสังเกตเท่านั้นเอง” หญิงสาวหลบตาทำท่าอายๆ แต่คนมองไม่ได้ใส่ใจนัก “อืม...แต่ความจริงพวกสเต็กเนี่ย ถ้ากินกับไวน์จะยิ่งอร่อยนะ เพียงแต่น้ำเขาไม่ดื่มของพวกนี้ พี่ก็เลยไม่เคยกินเวลาอยู่กับเขา” “ถ้าอย่างนั้น เราสั่งไวน์มาเลยไหมคะ ขอโทษนะคะ” หญิงสาวหันไปเรียกพนักงานมาอีกครั้ง ก่อนจะบรรจงเลือกไวน์โดยขอความคิดเห็นของผู้ร่วมโต๊ะเป็นระยะแล้วตัดสินใจยกเลิกเมนูเครื่องดื่มของตน “ขอบคุณค่ะและขอโทษด้วยนะคะที่เปลี่ยนใจไปมา” รสสุคนธ์กล่าวปิดท้ายกับพนักงานที่ตอบรับก่อนจะเดินจากไป “รสดื่มไวน์เป็นด้วยเหรอ” อัคคีประสานมือไว้บนโต๊ะ โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วมองหญิงสาวด้วยแววตาสนใจมากขึ้น “จริงๆ ก็นานๆ ทีเท่านั้นแหละค่ะ แต่คุณพ่อท่านก็ฝึกให้รสเป็นไว้บ้าง เผื่อโอกาสสำคัญ” “อืม...ก็จริงของท่านนะ หลายๆ งานเราก็เลี่ยงไม่ได้” “ใช่ค่ะ ถ้าไม่ฝึกไว้รสคงแย่ พี่คีรู้ไหมคะว่าครั้งแรกที่กิน รสหลับตั้งแต่สองแก้วแรกเลยค่ะ ตื่นอีกทีก็ตอนสายๆ แน่ะ คออ่อนชะมัด” รสสุคนธ์เอามือป้องปากเล่าวีรกรรมน่าอายของตัวเอง คนฟังยิ้มขันก่อนจะแหย่กลับไปบ้าง “แล้วอย่างนี้คนของพ่อรสจะหาว่าพี่มอมรสไหมเนี่ย” ชายหนุ่มแสร้งทำท่าจริงจัง รสสุคนธ์เหลือบมองไปหน้าร้านก่อนจะหัวเราะออกมา “คงไม่หรอกค่ะเพราะเดี๋ยวนี้รสดื่มได้เยอะขึ้นแล้ว แค่จิบๆ คงไม่เป็นไร อีกอย่าง...ถ้าเป็นพี่คี คุณพ่อคงไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ” คนฟังยักไหล่เพราะไม่ได้กังวลเรื่องนี้เท่าไหร่อยู่แล้ว จากนั้นทั้งสองจึงชวนกันพูดคุยไปมา กว่าจะจบมื้ออาหารรสสุคนธ์ก็หน้าแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์ของไวน์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD