“ขอบใจแกมากนะไอ้ภู ที่ช่วยฉันคิดแผนเซอร์ไพรส์น้ำในวันนี้” ภูผายิ้มรับคำขอบคุณที่ส่งมาตามสายแม้จะทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบขึ้นมา “ถึงฉันจะแน่ใจว่ายังไงน้ำก็จะตอบตกลงก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องขอบใจแกสักหน่อยเพราะเรื่องความละเอียดอ่อนพวกนั้นยังไงฉันก็สู้แกไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่แกอย่าลืมสัญญาในวันนี้ ดูแลน้ำให้ดีแค่นั้นก็พอแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม อัคคีจึงถอนใจเบาๆ อย่างไม่จริงจังก่อนจะตอบกลับมาบ้าง
“แกนี่ก็อีกคนที่เอาแต่ย้ำอยู่นั่นแหละ เรื่องนี้แกไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็จะดูแลน้ำอย่างดีตามคำสัญญาแน่ แค่นี้ก่อนละกันนะ เดี๋ยวค่อยคุยกันอีกที”
“อื้ม ไว้เจอกัน” ภูผาตอบสั้นๆ ก่อนจะกดวางสาย ดวงตาของเขาหม่นแสงไปวูบหนึ่งจึงกลับมาเป็นปกติ เขาคิดถึงคำแนะนำมากมายที่มอบให้กับเพื่อนสนิทของตนแถมยังจดจำได้ดีถึงสีหน้าร้อนใจของอีกฝ่ายยามที่มาขอคำปรึกษาจากเขา ซึ่งนั่น...เป็นสีหน้าเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว...
‘ฉันรักน้ำ’ จู่ๆ อัคคีก็โพล่งคำนี้ขึ้นมาในขณะที่เขาและเพื่อนสนิทคนนี้กำลังเดินทางไปหาธาราที่คณะ
‘ฉันรู้ เราสองคนต่างก็รักน้ำทั้งนั้น’
‘ไม่ใช่แบบนั้นว่ะไอ้ภู ฉัน...คือฉันไม่ได้รักน้ำแบบที่พี่ชายรักน้องสาวอีกแล้ว’ อัคคีทำสีหน้าปั้นยากเมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายความรู้สึกของตัวเองยังไง ภูผาหรี่ตามอง หัวใจเต้นรัวขึ้นมาฉับพลัน
‘แก...หมายความว่ายังไง’
‘ก็...คือ...ยังไงดีวะ คือฉันหมายความว่า ฉันรักน้ำแบบที่ผู้ชายรักผู้หญิงคนหนึ่งน่ะสิ เฮ้อ...ฉันก็ไม่รู้ว่ะว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าอยู่ๆ ฉันก็อยากอยู่กับน้ำทุกวัน คิดถึงน้ำตลอดเวลา อยากเห็นหน้าทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันเมื่อกี๊ แล้วยิ่งเวลาตอนน้ำยิ้ม ตอนน้ำหัวเราะนะ หัวใจของฉันมันเต้นแรงหรือไม่ก็ทำท่าจะละลายไปซะอย่างนั้นแหละ แบบนี้ไม่เรียกว่ารักแล้วจะเรียกว่าอะไรได้วะ’ อัคคีตบบ่าเพื่อนก่อนจะพูดต่อไปโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย ‘แกว่าฉันควรจะบอกรักน้ำไปตรงๆ และขอน้ำเป็นแฟนด้วยเลยดีไหม’
ภูผารีบปรับสีหน้าเมื่อคนปรึกษาหันมองมาทางเขาอย่างเต็มตา ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยตอบไปในฐานะที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่แม้ว่าคำตอบนั้นจะเริ่มขัดแย้งกับความรู้สึกภายในใจ
‘ถ้าแกรักน้ำจริงๆ ก็ควรจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราว’
‘แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะบอกพ่อกับอาธีด้วย ผู้ใหญ่จะได้รับรู้กันทั้งสองฝ่ายเลยเป็นไง’ อัคคีตอบรับน้ำเสียงเฉียบขาดและเพียงแค่วันถัดมาสถานะของคนที่เขารักทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงไป
‘ไอ้ภู เฮ้ย ไอ้ภู ฉันกับน้ำคบกันแล้วนะเว้ย น้ำเขาก็รักฉันเหมือนกัน ตอนเขาตกลงฉันโคตรดีใจเลยว่ะ’ อัคคีตะโกนบอกเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
‘พี่คีคะ ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย’ ธารามองไปรอบๆ แล้วก็อดประหม่าไม่ได้เมื่อเห็นสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังโต๊ะหินอ่อนที่ตนนั่งอยู่ในบริเวณสวนหย่อมของมหาวิทยาลัย ซึ่งนอกจากเธอและอัคคีแล้ว ยังมีอัณณาและรสสุคนธ์นั่งรวมอยู่ด้วย
‘ก็ทำไมล่ะคะ พี่อยากให้ทุกคนรู้เลยนี่ หนุ่มๆ คนอื่นจะได้เลิกมอง เลิกหาทางจีบแฟนพี่สักที’
‘หืม...พูดอย่างกับเคยมีใครเข้าใกล้น้ำได้อย่างนั้นแหละ’ อัณณาแหย่พี่ชายที่ตั้งท่ากีดกันผู้ชายคนอื่นให้ออกห่างจากเพื่อนสาวของเธอที่มีดีกรีเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ก่อนที่ทั้งสองจะตกลงเป็นคนรักกันด้วยซ้ำ อัคคียิ้มพรายก่อนจะนั่งลงเคียงข้างธาราแล้วส่งสายตาหวาน
‘ไม่มีก็ดีแล้วค่ะ พี่หวง’
‘พี่คีก็’ ธาราเอ่ยได้แค่นั้นก่อนจะเสมองไปทางอื่นทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ อัคคีหันมาหลิ่วตาให้เขาราวกับแทนคำขอบคุณที่เขาช่วยสร้างความมั่นใจจนทำให้อีกฝ่ายได้สมหวังแบบนี้...
...‘แกว่าฉันจะขอน้ำแต่งงานแบบไหนให้น้ำประทับใจดีวะ’...
เสียงโทรศัพท์ที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ เขาจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจออีกครั้งก่อนจะยิ้มกว้างและรีบกดรับอย่างรวดเร็ว
“ว่ายังไงน้ำ”
“น้ำแกะของขวัญแล้วนะคะพี่ภู ชอบมากเลยค่ะ น้ำกำลังอยากได้อยู่พอดี”
ภูผาระบายยิ้มเมื่อเสียงเจื้อยแจ้วของสาวน้อยทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวดังเช่นทุกครั้ง แววตาของเขาฉายความอ่อนโยนราวกับว่าคู่สนทนากำลังนั่งคุยอยู่ตรงหน้า
“พี่คิดอยู่แล้วว่าน้ำต้องชอบ” เจ้าของของขวัญคิดไปถึงหนังสือออกแบบและตกแต่งภายในบ้านซึ่งเป็นเล่มหายากที่เขาต้องพยายามเสาะหาอยู่นาน เขาจำได้ว่าธารา...ว่าที่มัณฑนากรสาวเคยเอ่ยถึงด้วยความเสียดายเมื่อไม่สามารถจับจองได้ทันในช่วงเวลาที่หนังสือเล่มนั้นวางแผง
“พี่ภูนี่รู้ใจน้ำเสมอเลยนะคะ ไหนจะเรื่องสีที่ซื้อให้อีก น้ำลืมไปเลยนะคะเนี่ยว่าใกล้จะหมดแล้ว พี่ภูนี่ช่างสังเกตสุดๆ” ธาราเอ่ยชมต่ออย่างไม่เกินจริงเลยสักนิด เมื่อเธอจำได้ดีว่าพี่ชายของเธอคนนี้มักจะคอยใส่ใจสิ่งเล็กน้อยรอบตัวของเธอและบ่อยครั้งก็คอยช่วยเหลือในเรื่องที่เธอละเลยไป
“เห็นน้ำชอบ พี่ก็ดีใจมากแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ พี่ภูเป็นพี่ชายที่น่ารักของน้ำตลอดเลย”
ธาราเอ่ยต่อโดยไม่รู้ตัวเลยครั้งนี้คำพูดของเธอได้ฉุดหัวใจที่พองฟูของคนฟังให้ดิ่งลง พี่ชาย...แต่ไม่เป็นไร ขอแค่เธอมีความสุขเขาก็ดีใจแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นแค่นี้ก่อนนะคะพี่ภู ขอบคุณอีกครั้งสำหรับของขวัญนะคะ”
“จ้ะ ขอให้มีความสุขมากๆ นะน้ำ”
“ขอบคุณค่ะ อ้อ...พี่ภูเองก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ น้ำเห็นว่าช่วงนี้พี่ภูเองก็ทำงานหนักมาก น้ำเป็นห่วงนะคะ” ธาราทิ้งท้ายด้วยความรู้สึกจากใจเมื่อรู้อยู่บ้างว่าธุรกิจของภูผากำลังประสบปัญหาจนทำให้พี่ชายคนสนิทของเธอต้องทำงานอย่างหนักในช่วงนี้ คำพูดของเธอทำให้คนฟังอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเองก็ใส่ใจเขาเช่นกัน
“ขอบใจมากนะน้ำ”
“ค่ะ ฝันดีนะคะพี่ภู”
ร่างสูงยิ้มบางก้มลงมองโทรศัพท์ในมือที่ถูกตัดสายไปแล้ว แม้จะมีความเจ็บปวดปนเปในความรู้สึกแต่เขาก็ดีใจมากกว่าที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายในวันนี้ น้ำเสียงของธาราที่สดใสกว่าที่เคยยืนยันได้ดีว่าอีกฝ่ายมีความสุขเพียงใด แค่ได้เห็นคนที่เขารักทั้งคู่ต่างมีความสุข เขาก็พร้อมที่จะยินดีกับคนทั้งสองด้วยความจริงใจทั้งหมดจากหัวใจของเขาแล้ว
อัคคีที่กำลังเดินร้องเพลงเบาๆ ต้องหยุดฝีเท้าลงกะทันหันเมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งรอเขาอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของบ้าน คิ้วเข้มขมวดหนา มองหน้าเคร่งเครียดของบิดาด้วยความแปลกใจ เขามองเลยไปยังร่างบางที่นั่งด้านข้างซึ่งยังคงอยู่ในชุดลำลองที่หญิงสาวใส่ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนรักในวันนี้
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับพ่อ” อัคคีสาวเท้าเข้าหาชายวัยกลางคนที่ยังคงมีบุคลิกดุดันและน่าเกรงขามในสายตาของเขา อรรถพลตวัดสายตามองลูกชายด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเปิดประเด็นที่ทำให้เขาต้องมานั่งรออีกฝ่าย
“เห็นอัณบอกว่าแกขอน้ำแต่งงาน”
อัคคีปรายตามองไปทางน้องสาวก่อนจะยิ้ม
“โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร” ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดี่ยวด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องที่บิดาถามไม่ใช่เรื่องร้ายแรง “ใช่ครับพ่อ ผมเพิ่งขอน้ำแต่งงาน”
“แกจะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉัน” อรรถพลถามเสียงเข้มท่าทีฉุนเฉียวแสดงชัดถึงความไม่พอใจ คนเป็นลูกจึงยืดตัวขึ้นมองกลับไปด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะครับ ผมกับน้ำคบกันมาตั้งนานพ่อเองก็รู้ ตอนนี้น้ำใกล้จะเรียนจบแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ผมกับน้ำควรจะแต่งงานกันได้แล้วนะครับ”
“แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเริ่มไม่เหมือนเดิมแล้วน่ะสิ” ชายสูงวัยกว่าตอบกลับเสียงเครียด อัคคีหรี่ตาจับสังเกตอย่างครุ่นคิด
“อะไรครับที่ไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนพ่อเองก็พอใจไม่ใช่เหรอครับที่เห็นน้ำกับผมรักกัน แล้วทำไมจู่ๆ...”
“ก็อย่างที่บอกไงว่ามันมีบางอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้ว” อรรถพลขัดเสียงดังคล้ายกับตะคอกทำให้ชายหนุ่มจำต้องเงียบเสียง เขาฮึดฮัด มองหน้าลูกชายด้วยความขัดใจอยู่สักพักก่อนจะเลือกตัดบทขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เอาเถอะ เอาไว้ให้สถานการณ์มันชัดเจนกว่านี้ก่อนแล้วกัน ส่วนแก คราวหลังจะทำอะไรก็ให้ปรึกษาฉันก่อน อย่าคิดเองเออเองแบบนี้อีก จำเอาไว้นะ” คนเป็นพ่อชี้หน้าคาดโทษลูกชายที่ทำได้แค่ตอบรับอย่างเช่นทุกที
“ครับ”
“ดีนะที่วันนี้เป็นแค่งานเลี้ยงส่วนตัวและยังไม่ได้เป็นข่าว เฮ้อ...แกน่ะมันยังอ่อนหัดจริงๆ ไอ้คี ยิ่งแม่ของแกที่เป็นแค่คนใช้ก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แถมวันๆ ก็เอาแต่ไปวัดพึ่งพาไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรให้ฟังแค่ฉันคนเดียวก็พอ จะได้เก่งเร็วๆ ให้ฉันวางใจได้บ้าง” อรรถพลทิ้งท้ายก่อนจะลุกเดินออกไปไม่หันกลับมามองคนที่เหลืออีกเลย อัคคีหน้าชาเมื่อคำว่าลูกคนใช้ถูกนำมาใช้เล่นงานตัวเขาอีกครั้ง
“พี่คีคะ” อัณณาที่นั่งเงียบอยู่นานรีบตรงเข้าไปหาพี่ชายของตน “อัณขอโทษนะคะ อัณไม่คิดว่าเรื่องดีๆ แบบนี้จะทำให้คุณพ่อโกรธ”
“ช่างเถอะอัณ คนอย่างพี่จะตัดสินใจทำอะไร มันก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว” อัคคีตอบกลับเสียงขื่น คนมองได้แต่สงสารจับใจเมื่อรู้ดีว่าอะไรคือปมสำคัญที่ทำให้พี่ชายต่างแม่ของเธอเจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้
“พี่คี...”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกอัณ เราไปนอนพักเถอะ พี่เองก็จะไปพักเหมือนกัน” อัคคีตัดบทก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปทางห้องนอนของตัวเองแล้วปิดประตูทันที เสียงเรียกของน้องสาวดังอยู่ภายนอกสักพักก่อนที่มันจะเงียบหาย ชายหนุ่มยิ้มหยันก่อนจะสลัดผ้าบนกายทิ้งแล้วรีบตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่อหวังจะให้ความเย็นจากสายน้ำดับจิตใจที่ร้อนรุ่มของเขาให้เย็นลง เสียงต่อว่ายังคงดังอยู่ในหัวโดยเฉพาะคำพูดเดิมๆ ที่เขาได้ยินมาตั้งแต่ที่จำความได้
ลูกคนใช้หรือ...เขามันก็แค่เด็กที่เกิดจากความผิดพลาด...
อัคคีต่อยเข้าไปที่กำแพงพร้อมกับสบถออกมาเสียงดังเมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ที่เขาพยายามก้าวผ่าน ความจริงที่ทำให้เขาถูกตราหน้าและไม่สามารถยืดอกสบตากับใครได้อย่างเต็มตาเท่ากับอัณณา...ลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณผู้หญิงใหญ่แห่งบ้านนี้ที่ล่วงลับไป