“ทุกอย่างเตรียมเรียบร้อยแล้วนะน้ำ ใกล้จะได้เวลาแล้วนะ” ภูผาที่ช่วยดูแลจัดการพิธีฌาปนกิจเดินมาหาธาราที่กำลังนั่งเหม่อลอยมองไปทางโลงศพที่กำลังถูกเคลื่อนย้าย อัคคีบีบมือของคนรักเพื่อส่งผ่านกำลังใจ ในขณะที่ภูผาเองก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างบอบบางแล้วสบตากับเธอให้รู้ว่าเขาจะคอยอยู่เคียงข้างด้วยอีกคน
“เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปนะน้ำ” อัณณาที่นั่งถัดออกไปเอ่ยปลอบเพื่อนของตน ธาราจึงพยายามส่งยิ้มบางๆ ให้กับทุกฝ่ายเพื่อให้ทุกคนไม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับเธอไปมากกว่าเดิม
“น้ำ น้ำจ๊ะ” รสสุคนธ์ที่เพิ่งเดินทางมาถึงตรงเข้ามาหาธารา “น้ำ พ่อของเราเอง วันนี้ท่านอยากมาร่วมงานด้วย”
ธาราลุกขึ้นยืนโดยมีอัคคีคอยช่วยประคอง รสสุคนธ์ลอบมองแววตาวูบไหวอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครสังเกตเมื่อทุกคนต่างพากันทำความเคารพเกรียงไกรที่ใช้สายตาคมปลาบจับจ้องธาราไม่วางตา
“สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่มานะคะ”
“ไม่เป็นไรหนู คนกันเองทั้งนั้น ว่าแต่ฉันเสียใจด้วยนะเรื่องพ่อของหนู” เกรียงไกรตอบรับด้วยท่าทางเห็นใจอีกฝ่ายเต็มที่ ธาราจึงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“ท่านไกร สวัสดีครับ” อรรถพลที่อยู่ในงานรีบตรงเข้ามาทักทายด้วยความกระตือรือร้น “ไม่ทราบมาก่อนว่าท่านจะมาด้วย”
“ผมอยากมาแบบส่วนตัวน่ะเลยไม่ได้บอกคุณก่อนเพราะไม่อยากให้เอิกเกริกอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญท่านนั่งก่อนเถอะครับ อีกไม่นานพิธีก็จะเริ่มแล้ว หนูรสด้วยนะ” อีกฝ่ายกุลีกุจอเชิญคนสำคัญของตนเข้านั่งประจำที่ รสสุคนธ์ขอแยกตัวอยู่กับกลุ่มหนุ่มสาว อรรถพลจึงเดินนำเพียงแค่เกรียงไกรให้ไปนั่งรวมอยู่ในกลุ่มของเจ้าภาพในพิธีร่วมกับเขาและครอบครัวของปราณ
“ปราณ นี่ท่านรัฐมนตรีเกรียงไกร พ่อของหนูรสนะ นี่ปราณเพื่อนของผมกับ...ธีครับ”
“สวัสดีครับท่าน” ปราณลุกขึ้นทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแต่เพียงน้อยรวมถึงภาวดีที่ร่วมงานด้วย
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณปราณ”
“ครับท่าน เชิญนั่งก่อนสิครับ” ปราณและภรรยาขยับไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้เกรียงไกรนั่งตรงเก้าอี้ใหญ่ตรงกลาง ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งถัดกันออกไป
“เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้นะครับท่าน” อรรถพลเอ่ยอย่างนอบน้อมก่อนจะผละออกไป คนเป็นเพื่อนจึงอดมองตามอย่างแปลกใจไม่ได้เมื่อจับได้ถึงท่าทีที่ผิดไปจากปกติของเขา
“ตาคีดูรักหนูน้ำจริงๆ นะคะคุณ” ภาวดีที่นั่งข้างๆ สะกิดแขนและชี้ชวนจนทำให้ปราณหันไปมองอีกมุมของงาน จึงได้เห็นภาพของอัคคีคอยดูแลธาราอยู่ไม่ห่างอย่างที่เขาเห็นมาในตลอดหลายวันนี้
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าไอ้ธียังอยู่ก็ไม่แน่ว่าสองคนนี้อาจจะได้หมั้นกันแล้วก็ได้เพราะคีเขาก็อยากจะแต่งงานทันทีที่หนูน้ำเรียบจบ”
คนฟังพยักหน้ารับรู้ในขณะที่เกรียงไกรเองก็แอบฟังตามไปด้วย ดวงตาของเขาคอยจับจ้องไปยังบุตรสาว อัคคีและธาราไปมาด้วยแววตาที่ค่อยๆ ลึกล้ำมากขึ้น
เปลวเพลิงที่ลุกโชนคือ อีกสิ่งที่ตอกย้ำธาราว่าพ่อของเธอจากไปแล้วจริงๆ ธาราร่ำไห้ออกมาอย่างหนักจนเรี่ยวแรงแทบไม่มีเหลือ สิ่งเดียวที่ช่วยให้เธอยังยืนได้ไหวก็คือ อ้อมกอดของคนรัก เธอเอนใบหน้าเข้าซบกับไหล่ของเขาเพื่อให้เป็นหลักพึ่งพิงให้ผ่านพ้นเวลานี้ไปได้
“อัณสงสารน้ำจังเลยค่ะพี่ภู” อัณณาที่ดวงตาแดงก่ำหันไปเอ่ยกับร่างสูงข้างกายที่มีสีหน้าทุกข์ใจไม่แพ้กับเพื่อนของเธอ
“พี่เชื่อว่าเวลาจะเยียวยาหัวใจของน้ำได้ รวมถึงความรักของพวกเรา โดยเฉพาะ...ของคี”
“ค่ะ อัณก็เชื่อแบบนั้น พี่คีรักน้ำมากแค่ไหนพวกเราก็รู้ อัณก็ได้แต่หวังให้น้ำดีขึ้นในเร็วๆ นี้นะคะ”
ภูผาพยักหน้ารับเมื่อนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาขอได้ในตอนนี้ แค่ได้ดูแลห่วงใย...ก็มากเพียงพอแล้ว
“พ่อจะกลับแล้วนะรส ว่าแต่ลูกจะกลับพร้อมพ่อเลยไหม” เกรียงไกรหันไปถามบุตรสาวที่มีท่าทีเซื่องซึมและเหม่อลอยขึ้นมา รสสุคนธ์จึงดึงสายตาออกจากภาพที่ทำร้ายจิตใจแล้วหันไปปั้นยิ้มให้พ่อของตน
“รสขออยู่เป็นเพื่อนน้ำก่อนดีกว่าค่ะ”
เกรียงไกรนิ่งไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมพยักหน้ารับ
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับท่าน” อรรถพลที่ได้ยินเสนอตัวอย่างรวดเร็ว เกรียงไกรตอบรับก่อนจะบอกลาทุกคนแล้วเดินจากมา
“วัดนี้เงียบสงบดีนะ” อยู่ๆ เกรียงไกรก็เปรยขึ้น
“ก็วัดเล็กๆ น่ะครับท่าน ฝั่งลูกสาวเขาไม่อยากจัดงานใหญ่ก็เลยต้องตามใจเขาหน่อย จะว่าไปก็ดีไปอย่างแหละครับเพราะถึงจะจัดที่วัดใหญ่ๆ ไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไม่ค่อยมีคนมาอยู่แล้ว” ปลายเสียงคนเล่าติดจะหยันเล็กน้อย คนฟังยิ้มมุมปากก่อนจะเข้าประเด็นที่ต้องการ
“เอ้อ...เรื่องงานประมูล เอกสารที่คุณส่งมาผมว่ามันยังไม่ชัดเจนพอนะ”
“ไม่ชัดเจนหรือครับ เอ...ผมว่าทุกอย่างก็มีขั้นตอนและแสดงรายละเอียดชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ” อรรถพลหยุดฝีเท้า ใบหน้าเริ่มกังวลขึ้นมาทันที
“แต่สำหรับผม...มันยังคลุมเครือเกินไป แผนงานของคุณมันควรจะชัดเจนและเด็ดขาดมากกว่านี้ เข้าใจที่ผมพูดไหม” เกรียงไกรหันไปสบตาอีกฝ่าย น้ำเสียงของเขามีแววข่มขู่ อรรถพลยืนคิดอยู่สักพักก่อนจะเข้าใจความนัยของอีกฝ่ายในที่สุด
“เข้าใจแล้วครับท่าน ท่านไม่ต้องกังวลใจไปนะครับ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด”
“ดี ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” เกรียงไกรปิดท้ายพร้อมกับตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถที่จอดรออยู่ อรรถพลก้มหัวให้จนรถสีดำคันใหญ่ลับสายตา เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วหันกลับไปทางเมรุที่กำลังมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาด้วยแววตาเยือกเย็น
“อโหสิกรรมให้ฉันด้วยนะ...ไอ้ธี”