ทางด้านของภูผา เมื่อเขาเดินทางไปถึงจุดหมายและจอดรถจนเรียบร้อยก็ตรงปรี่ไปยังโต๊ะไม้กลางลานกว้างของมหาวิทยาลัยที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่นั่นเขาได้เห็นธาราและอัคคีกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ก่อนแล้วโดยมีอัณณานั่งอยู่ในฝั่งตรงข้าม ฝ่ายหลังเห็นเขาคนแรกจึงส่งยิ้มโบกมือทักทายจนทำให้อีกสองคนต่างหันมามองและส่งยิ้มตามมาด้วย
“นั่งก่อนสิไอ้ภู” อัคคีพยักพเยิดไปยังฝั่งตรงข้ามของตน ภูผาทิ้งตัวลงนั่งตรงนั้นก่อนจะยื่นถุงผ้าที่ใส่หนังสือเอาไว้ไปให้หญิงสาวที่นั่งข้างเพื่อนของเขา
“หนังสือที่พี่ใช้ทบทวนก่อนสอบปลายภาคตอนปีสี่ พี่เอามาให้”
“ขอบคุณค่ะพี่ภู” ธารารับหนังสือมาแล้วรีบเปิดออกดูด้วยความสนใจ อัคคีจึงเอ่ยแซ็วคนเป็นเพื่อน
“แกนี่มันสมกับเป็นพวกหนอนหนังสือจริงๆ ถึงได้ขยันหาหนังสือมาให้คนชอบอ่านแบบน้ำได้ ไม่เหมือนเราสักนิดใช่ไหมอัณ”
อัณณาตีหน้ามุ่ยแต่ก็พยักหน้าเห็นด้วย ธารากับภูผาจึงยิ้มขำกับท่าทางเข็ดขยายตำราเรียนของสองพี่น้อง
“พี่คียังดีที่อย่างน้อยก็ชอบเรียนบริหาร แต่อัณนี่สิต้องมาเรียนบัญชีทั้งๆ ที่แสนจะยาก ถ้าไม่ได้รสช่วยอัณก็คงแย่ เอ...ว่าแต่ทำไมรสยังไม่มานะ”
“รสมาก่อนเราอีกอัณ แต่ว่าไปคุยโทรศัพท์กับพ่อของเขาน่ะ” ธาราบอกเล่าตอนที่เธอได้มาเจอกับรสสุคนธ์พร้อมกับอัคคีในช่วงเช้า ก่อนที่อัณณาซึ่งขับรถของตนเองมามหาวิทยาลัยจะเข้ามาสมทบ “นั่นไงมาแล้ว”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาสมทบก่อนจะเลือกนั่งตรงม้านั่งเดี่ยวที่ตั้งตรงกลางระหว่างธาราและอัณณา แล้วเอ่ยปากขอโทษทุกคน
“ขอโทษนะที่หายไปนานไปหน่อย พอดีเราแวะคุยกับอาจารย์เรื่องการสอบปลายภาคด้วยน่ะ”
“สอบปลายภาค...เฮ้อ...นั่นสินะอีกไม่นานพวกเราก็จะเรียนจบแล้ว เวลานี่ผ่านไปเร็วจังเลยเนอะ” อัณณาเอ่ยออกมาอย่างใจหายพลางมองไปรอบๆ ราวกับต้องการเก็บบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย ธารากับรสสุคนธ์พยักหน้าเห็นด้วยเมื่อต่างก็คิดเหมือนกัน ในขณะที่คนมีประสบการณ์ในความรู้สึกเหล่านั้นมาก่อนอย่างภูผาและอัคคีต่างพากันยิ้มให้กับท่าทางของสาวๆ
“เดี๋ยวเราก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงานแล้วสิ แค่คิดก็เบื่อแล้ว” อัณณาเอามือป้องปากทำท่าทางไม่อยากให้อัคคีเห็น คนเป็นพี่นึกหมั่นไส้จึงกำมือเคาะศีรษะน้องสาวเบาๆ หนึ่งที
“ไม่ต้องเลยอัณ ที่คุณพ่อให้เราเรียนบัญชีก็เพื่อมาช่วยพี่เนี่ยแหละ ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก”
อัณณาทำปากยื่นจนคนร่วมโต๊ะพากันหัวเราะ ธารายิ้มบางแต่ก็ไม่เต็มที่เมื่อลึกๆ ยังคงรู้สึกใจหายกับเรื่องบริษัทของตนที่เพิ่งสูญเสียไป ภูผาจับสังเกตได้จึงส่งสัญญาณให้คนที่นั่งตรงข้ามกับเขาปลอบใจหญิงสาวซึ่งอัคคีก็เข้าใจทันที
“น้ำคะ น้ำเองก็ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าน้ำอยากทำงานก็มาทำกับพี่ก็ได้ หรือถ้าสอบเสร็จแล้วน้ำเครียดหรือเหนื่อยมากๆ จะแต่งงานมาเป็นแม่บ้านให้พี่ทันทีแบบไม่ต้องสนใจฤกษ์เลยก็ได้นะคะ” อัคคียิ้มกรุ่มกริ่มจนธาราต้องเอียงหน้าหนีด้วยความเอียงอาย อัณณายิ้มร่ารีบเออออตามไปด้วย
“ใช่แล้วน้ำ พี่คีไม่ทิ้งน้ำหรอก แถมน้ำยังมีพวกเราด้วยนะ” อัณณายิ้มกว้าง ในขณะที่รสสุคนธ์เองก็ข่มอารมณ์บางอย่างและส่งยิ้มให้ธาราด้วย
“เราเองก็จะอยู่ข้างน้ำเหมือนกัน ถึงเราจะเป็นเพื่อนกันไม่นาน แต่น้ำกับอัณก็เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตของเรานะ เราไม่มีวันหักหลังหรือทอดทิ้งน้ำแน่นอน”
ธารามองคนทั้งคู่ด้วยความซาบซึ้งใจ มือบางฉวยมือของทั้งสองมากุมไว้อย่างขอบคุณ
“ขอบใจนะรส อัณ เราโชคดีมากเลยที่มีเพื่อนดีๆ แบบนี้”
หญิงสาวทั้งสามส่งยิ้มให้กันจนเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ก่อนที่อัคคีจะแกล้งส่งเสียงน้อยใจขึ้นมา
“อะไรกันน้ำ แล้วพี่ล่ะคะ ไอ้ภูด้วย เราสองคนก็เป็นห่วงน้ำนะ”
ธาราหัวเราะหันไปปลอบใจคนรัก “ค่ะๆ น้ำเองก็โชคดีที่ได้เจอพี่คีกับพี่ภูเหมือนกันค่ะ”
อัคคียืดตัวทำท่าพอใจขึ้นมาบ้าง ส่วนภูผาได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ อัณณาทำท่าทางหมั่นไส้ก่อนจะแกล้งขัดคนเป็นพี่
“พอใจแล้วก็ไปทำงานได้แล้วค่ะคุณพี่ชาย พวกเราก็จะเข้าเรียนแล้วเหมือนกัน”
อัคคีส่งสายตาคาดโทษอย่างไม่จริงจังไปให้น้องสาวซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรง ชายหนุ่มหันไปกล่าวล่ำลาคนรักแล้วจึงลุกขึ้นแยกตัวออกมาพร้อมกับภูผาในขณะที่หญิงสาวต่างพากันแยกย้ายไปเข้าชั้นเรียนของตน
“เออ แกจะไปงานเลี้ยงคืนนี้หรือเปล่า” อัคคีหันไปถามภูผาระหว่างที่พากันเดินไปยังลานจอดรถ
“งานเลี้ยงอะไรเหรอ”
“ก็...เห็นพ่อฉันบอกว่าท่านรองเป็นคนจัดน่ะ” อัคคีเอ่ยชื่อนักการเมืองคนหนึ่งที่พ่อของเขาเพิ่งส่งข้อความมาย้ำเพื่อ ‘สั่ง’ ให้เขาเตรียมตัวอีกครั้ง ภูผาพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้สนใจนัก
“คงไม่ล่ะ ฉันมีงานหลายอย่างต้องเคลียร์ ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” ภูผากล่าวลาก่อนจะแยกตัวไปอีกทางที่รถของตนจอดอยู่ อัคคียักไหล่ ไม่นึกแปลกใจกับคำตอบของอีกฝ่ายที่รักสันโดษไม่ต่างจากบิดา ไม่เหมือนกับเขาที่ชื่นชอบกับเข้าสังคมเพราะเชื่อว่าจะเป็นสร้างฐานและโอกาสในวันข้างหน้า เพื่อให้เขาก้าวสู่จุดสูงสุดอย่างที่ฝันเอาไว้
อัคคีก้าวเข้าไปในงานเลี้ยงก่อนจะมองไปรอบๆ งานเพื่อมองหาพ่อของตน ชายหนุ่มทักทายคนรู้จักหลายคนที่แวะเวียนเข้ามาหาก่อนจะสังเกตเห็นอรรถพลยืนคุยกับใครบางคนที่เขาไม่รู้จักแต่ดูคุ้นตามากจนสะกิดใจ บางทีอาจจะเป็นคนใหญ่คนโตที่เคยออกสื่อต่างๆ มาบ้าง ท่าทางสง่าผ่าเผยที่แฝงไปด้วยอำนาจของชายคนนั้นข่มบิดาของเขาให้กลายเป็นเพียงชายวัยกลางคนธรรมดาต่างไปจากทุกครั้งที่เขาได้พบเจอ
“เอ้า...มาเสียทีนะ” อรรถพลหันไปทักบุตรชายคู่สนทนาของเขาจึงมองตาม แววตาคมปลาบสังเกตชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรวดเร็วอย่างลอบประเมิน
“มาๆ สวัสดีท่านรัฐมนตรีเกรียงไกรเสียสิ นี่ไงครับท่าน...อัคคี ลูกชายของผม”
“สวัสดีครับท่าน” อัคคียกมือไหว้อีกฝ่าย เกรียงไกรพยักหน้ารับจ้องหน้าชายหนุ่มไม่วางตา
“ยินดีที่ได้เจอกันเสียทีนะ ลูกสาวของฉันเล่าเรื่องของเธอให้ฟังอยู่บ่อยๆ”
อัคคีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้น ก่อนที่เสียงหวานใสคุ้นหูจะดังขึ้นด้านหลัง
“พี่คีคะ”
ชายหนุ่มหันไปมองจึงได้เห็นรสสุคนธ์ที่กำลังยิ้มให้กับเขาด้วยท่าทียินดีพร้อมกับส่งสายตาที่เต็มไปด้วยประกาย
“รส...”
“พี่คีก็มางานนี้ด้วยหรือคะ ดีใจจังค่ะ” รสสุคนธ์ยิ้มกว้างเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
“นั่นสินะ นี่พี่ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ารสก็มาด้วย”
อรรถพลกับเกรียงไกรลอบสบตากันก่อนที่ฝ่ายหลังจะเป็นคนเอ่ย
“รสสุคนธ์เนี่ยแหละคือ ลูกสาวฉัน เพื่อนของพ่อที่พูดถึงบ่อยๆ คือคุณอรรถพ่อของอัคคีนี่ไงลูก”
ทั้งอัคคีและรสสุคนธ์สบตากันอีกครั้งอย่างเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ต่างๆ จากคำบอกเล่า
“โลกมันกลมจริงๆ ใช่ไหมล่ะหนูรส เออคี...พาหนูรสไปเดินเล่นก่อนสิ น้องเขามานานแล้วอาจจะเหงา เดี๋ยวพ่อจะคุยงานกับท่านไกรต่อก่อน” อรรถพลหันไปบอกลูกชาย
“ได้ครับ” อัคคีตอบรับอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะหันไปยิ้มให้หญิงสาวที่หัวใจกำลังพองโตมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่พากันเดินแยกห่างออกไปโดยมีสายตาของผู้ใหญ่ที่มองอยู่ด้วยความพอใจกับท่าทีสนิทสนมของทั้งสองคน
รสสุคนธ์มองตามร่างสูงที่เดินนำหน้าด้วยสายตาแห่งความรักและความเทิดทูนอย่างเต็มเปี่ยม หัวใจของเธอเต้นรัวกระหน่ำเมื่อนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสอยู่กับชายที่เธอแอบรักเพียงสองคนแบบนี้
ปกติแล้ว...ทุกครั้งที่มีเขาจะต้องมีธาราด้วยเสมอ...
รสสุคนธ์พยายามปัดความคิดถึงบุคคลที่สามและคิดแค่เพียงว่าตอนนี้เธอมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเขา...อัคคี ผู้ชายที่เธอแอบมองมาทั้งชีวิตถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาก็ตาม
“ดื่มน้ำก่อนสิรส” อัคคีหยิบแก้วน้ำผลไม้จากบริกรที่เดินผ่านมาแล้วยื่นให้แก่หญิงสาว ก่อนจะหยิบแก้วไวน์ทรงสูงมาถือไว้ในมือ
“ขอบคุณค่ะ” รสสุคนธ์รับแก้วด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มชวนคุย “ดีจังเลยนะคะที่พี่คีมางานนี้ด้วย ตอนแรกรสนึกว่าจะไม่มีเพื่อนคุยซะแล้ว ปกติรสไม่ค่อยออกงานกับคุณพ่อหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ...ต่างจากพี่เลยนะ พี่ต้องออกงานกับคุณพ่ออยู่บ่อยๆ ก็เรื่องธุรกิจนั่นแหละ...แต่เพิ่งมีโอกาสได้เจอกับพ่อของรสเป็นครั้งแรก”
“เวลารสมางานแบบนี้รสวางตัวไม่ค่อยถูกน่ะค่ะ ก็เลยไม่ค่อยชอบออกงานเท่าไหร่” หญิงสาวก้มหน้าน้อยๆ ท่าทีเก้ๆ กังๆ ตามที่เธอบอกเล่า
“แต่พี่ว่าเรื่องแบบนี้เราควรจะฝึกไว้นะ สำหรับในสังคมของเราเรื่องนี้ถือว่าจำเป็นเลยล่ะ อีกอย่าง...รสไม่ต้องกลัวเหงาหรอก หนุ่มๆ ในงานนี้หลายคนท่าทางจะอยากเข้ามาทักทายรสอยู่นะ”
“คงไม่หรอกค่ะ” รสสุคนธ์รีบปฏิเสธด้วยความตกใจ คนมองจึงหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู
“เอ้า...ไม่เชื่อกันอีก ก็รสสวยขนาดนี้ ใครๆ ก็ต้องอยากรู้จักด้วยอยู่แล้ว”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ ไม่เชื่อก็ลองมองไปรอบๆ สิ มีหลายคนรอสบตากับรสอยู่นะ” อัคคีมองไปรอบๆ เลยไม่ทันสังเกตว่ารสสุคนธ์ไม่ได้ทำตามที่เขาแนะ ในทางตรงกันข้ามหญิงสาวเอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง หวั่นไหว ที่ในที่สุด...ชายหนุ่มก็มองเห็นเธอบ้างแล้ว เธอ...เริ่มอยู่ในสายตาของเขาแล้ว
“จะว่าไป อยู่ๆ ก็คิดถึงน้ำขึ้นมาแหะ น้ำเองก็ไม่ชอบออกงานแบบนี้เหมือนกัน พวกเดียวกับไอ้ภูน่ะ แต่พี่คงต้องชวนออกมาบ่อยๆ ด้วยแล้ว” อัคคีหันกลับมาสบตาอีกครั้งด้วยบทสนทนาที่ราวกับดึงหญิงสาวลงมาจากภาพฝันให้ตกลงไปในเหว
“ช่วงนี้พี่ต้องฝากน้ำกับรสด้วยนะ พี่ไม่อยากให้น้ำเครียด พี่เองก็ฝากอัณกับภูด้วยเหมือนกันและตัวเองก็หมั่นไปหาน้ำ โทรหาน้ำอยู่บ่อยๆ น้ำจะได้รู้ว่าพี่จะอยู่ข้างน้ำเสมอ”
“ค่ะพี่คี” รสสุคนธ์ตอบรับเสียงเบาหวิว มองเมินไปทางอื่นเมื่อไม่สามารถทนมองแววตาชวนฝันของเขายามที่พูดถึงธาราได้ ดวงตาดำขลับเหม่อมองไปทางคู่เต้นรำที่กำลังแนบอิงกันอยู่กลางลานเต้นรำก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มข้างกาย
“เต้นรำกันไหมคะพี่คี”
“หืม...ได้สิ” อัคคีตอบรับแม้จะงุนงงอยู่บ้างกับท่าทีที่ดูแปลกไปของอีกฝ่าย รสสุคนธ์ปรับสีหน้า ส่งยิ้มหวานให้เขาก่อนจะเดินเคียงคู่ชายหนุ่มไปและเริ่มเต้นรำท่ามกลางคู่เต้นรำคู่อื่นๆ ที่เธอเคยมอง
“รสเต้นรำเก่งเหมือนกันนะเนี่ย นี่ขนาดไม่ค่อยได้ออกงานนะ”
“ขอบคุณค่ะ อุ๊ย” รสสุคนธ์เสียหลักถลาเข้าไปอ้อมแขนอีกฝ่าย อัคคีใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวอีกฝ่ายไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างประคองหลังอีกฝ่ายไว้
“ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” อัคคีตอบรับพยายามกลั้นยิ้มมองคนในอ้อมแขนที่กำลังหน้าแดงก่ำเพราะไม่อยากให้เธอเสียหน้าไปมากกว่าเดิม ทั้งสองขยับท่าเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเต้นรำต่อในท่าที่รสสุคนธ์แนบชิดกับอัคคีมากขึ้นและเป็นเช่นนั้นต่อไปในอีกหลายบทเพลง