เมื่อปล่อยโคมไฟกันเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็พาคนอื่นๆ เดินเที่ยวทั่วทั้งงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางก็หยุดแวะซื้อของกินเล่นไปพลางๆ จนซั่วอิงต้องคอยห้ามอยู่บ่อยครั้ง
“กินของกินเล่นมาตลอดทางเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่”
“ยังเจ้าค่ะ ข้าก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี”
ใต้เท้าโจวทองใบหน้าที่ทะเล้นของนางก่อนจะหลุดขำทันที
“เอาเถอะมื้อนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง แวะโรงเตี๊ยมข้างหน้านี้กันเถอะ”
จ้าวซูหลินหันมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกไปทันที ปรากฎให้เห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ หน้าโรงเตี๊ยมมีแม่น้ำไหลตัดผ่านมีเรือโดยสารแล่นผ่านไปทีละลำ บริเวณประตูหน้าประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงดูสวยงามยิ่งนัก ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมเขียนชื่อไว้เพียงสามคำว่า ‘ฟู่อันหลง’
“มันจะดูหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้าออกมาไม่ได้เอาเงินมาเยอะเสียด้วยสิ”
“ก็บอกแล้วว่าข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง มาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย”
“เช่นนั้นมื้อนี้ข้าคงต้องฝากท้องกับท่านแล้วนะเจ้าค่ะ”
“ด้วยความยินดีขอรับ”
น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้พวกเขารู้สึกว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อกินอาหารกันเสร็จก็เดินย่อยกันสักพักจนมาสุดที่ทางเดินท้ายงานโคมไฟแห่งนี้
“เจ้าจะกลับเลยหรือไม่”
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งเจ้าเอง ดึกมากแล้วเกรงว่าข้าคงจะปล่อยพวกเจ้ากลับกันเพียงลำพังไม่ได้”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ท่านออกจากวังมาแล้วจะกลับไปทำไมอีกกันเสียเวลาท่านนะเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจไปเถอะ”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
เนื่องจากดึกมากแล้วพวกเขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินกันอย่างว่องไว จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้เก่าแก่บานนั้น
“ใต้เท้าวันนี้ข้าขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ หากไม่มีท่านช่วยนำทาง เกรงว่าคืนนี้ทั้งคืนพวกข้าคงต้องนอนข้างถนนเป็นแน่”
“ไม่เป็นไรอย่าได้เกรงใจข้าเลย”
“พวกข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”
“เดี่ยวสิ ข้ายังไม่รู้จักชื่อแซ่ของเจ้าเลย”
“ข้าชื่อซูหลินเจ้าค่ะ”
“อื้ม แม่นางซูไว้วันหลังข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวในเมืองอีก”
“ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้าโจว”
นางส่งยิ้มให้เขาบางๆ ก่อนจะรีบเดินนำหน้าซั่วอิงผ่านประตูไม้บานนั้น แล้วเดินต่อไปทางตำหนักหนิงเซียงภายใต้การจับจ้องของบุรุษทั้งสอง
“พวกเจ้าอยู่แถวนี้หรือไม่”
สิ้นคำพูดของเขาก็มีเงาดำของคนผู้หนึ่งออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะคุกเข่ารอรับคำสั่งจากเขา
“ฝ่าบาท เชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปสืบมาว่าหญิงสาวสองคนนั้นเป็นใครกันแน่ ตำหนักหนิงเซียงที่ว่าเป็นตำหนักของสนมนางใด”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
องค์รักษ์เงาดำโหนทะยานเกาะไปตามหลังคาเพื่อตามหญิงสาวสองคนไปในทันที ก่อนจะหายไปกับความมืดมิดในค่ำคืนยามราตรีนี้
-ตำหนักเซียวเยว่-
ร่างเงาสีดำพลันปรากฏขึ้นภายในตำหนักที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูทว่าดูงดงามน่าเกรงขาม ผู้มาเยือนเป็นองค์รักษ์เงาดำที่ฮ่องเต้บัญชาให้เขาไปตรวจสอบที่มาที่ไปของหญิงสาวทั้งสองนางนั้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมติดตามพวกนางไปจนถึงตำหนักท้ายวังที่ชื่อว่าตำหนักหนิงเซียงพบว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในนั้นนอกจากนางทั้งสองคนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีใครจะเป็นไปได้อย่างไร วังหลังไม่เคยมีกฎทิ้งนางกำนัลไว้ที่ตำหนักเพียงลำพังโดยไร้เจ้านายนี่นา”
“ตำหนักหนิงเซียงงั้นหรือ...” เต๋อกงกงขันทีรับใช้ข้างกายฝ่าบาทอีกคนอุทานขึ้นมาทันที
“มีอะไรหรือเต๋อกงกง”
“ฝ่าบาท หากข้าน้อยจำไม่ผิดตำหนักหนิงเซียงเป็นที่พำนักของพระสนมซูหลินนะพ่ะย่ะค่ะ”
“สนมซูหลินงั้นหรือ”
"ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักนั้นมีเพียงพระสนมซูหลินที่พำนักอยู่เพียงลำพังกับนางกำนัลอีกหนึ่งคนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ”
'นางต้องการที่จะปิดบังตัวตนอย่างไรถึงได้กล้าบอกชื่อจริงของตัวเองกับคนนอกกันนะช่างสะเพร่าเสียจริงๆ ’
“พระสนมซูหลินคือคนที่เข้ามาในวังพร้อมกันกับพระสนมลิ่งเฟย แต่ในช่วงเวลานั้นพระองค์ทรงโปรดปรานพระสนมลิ่งเฟยมากจนลืมเลือนที่จะไปตำหนักหนิงเซียง จนตอนนี้ที่ตำหนักนั้นก็ยังคงเงียบเหงามาจนถึงทุกวันนี้ เหล่านางกำนัลต่างก็คุยกันสนุกปากว่าพระสนมซูหลินไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทจนต้องปักผ้าออกขายเพื่อประทังชีวิตในวังหลวงแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ปักผ้าประทังชีวิตงั้นเหรือ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหล ต่อให้ไม่ได้รับการโปรดปรานจากข้าจริงแต่ก็มีเบี้ยเลี้ยงสำหรับพระสนมทุกคน ไหนจะอาหารการกินเสื้อผ้าพวกนางไม่มีทางขาดเหลือ เหตุใดต้องทำงานเพื่อหาเงินประทังชีวิตด้วยล่ะ”
ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยสุรเสียงที่ดูดุดันยิ่งนัก เต๋อกงกงที่รับใช้ฮ่องเต้มานานก็รับรู้ทันทีว่าตอนนี้พระองค์กำลังกริ้วอย่างมาก
“ฝ่าบาทเรื่องในวังหลังนั้นยากที่จะเข้าใจนะพ่ะย่ะค่ะ การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันย่อมมีให้เห็นในทุกวันยิ่งพระสนมที่ถูกละเลยแล้วนั้นย่อมเป็นที่ขบขันและเป็นที่กลั่นแกล้งเป็นอย่างดีเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ”
แววพระเนตรที่ดุดันทำเอาเต๋อกงกงและหลี่กงอี้ลอบมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัวยิ่งนัก
‘เหตุใดฝ่าบาทที่ไม่เคยสนพระทัยพระสนมคนไหนมาก่อนถึงได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อรับรู้ว่าพระสนมซูหลินผู้ที่ถูกลืมเลือนถูกรังแกเช่นนั้นกันล่ะ’
ฮ่องเต้ทรงรู้ดีว่าเขาไม่อาจยื่นมือไปสอดแทรกเรื่องในวังหลังได้เพราะเป็นหน้าที่ของฮองเฮาผู้ดูแลวังหลังอยู่แล้ว หากเขายื่นมือเข้าไปช่วยนางย่อมเป็นที่ผิดใจกับฮองเฮาเป็นแน่ ฮ่องเต้ทรงทอดถอนพระปัสสาสะก่อนจะเหลือบไปมองที่องค์รักษ์เงาดำผู้นั้น
“เอาล่ะเจ้าคอยเฝ้าสังเกตการณ์ที่ตำหนักหนิงเซียงต่อไป หากมีสถานการณ์อื่นใดอีกให้กลับมารายงานข้าได้ทุกเมื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลังจากองค์รักษ์เงาดำจากไปฮ่องเต้ก็ไล่ให้องค์รักษ์และขันทีประจำกายไปพักผ่อน ก่อนที่เขาจะนอนครุ่นคิดเรื่องของนางต่ออย่างหนัก
คืนนี้จากการสังเกตดูท่าทางการแสดงออกของนางแล้วนั้นนางคงเหงามากเมื่ออยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ถึงขึ้นแอบหนีออกไปจากวังในยามวิกาลโดยไม่เกรงกลัวโทษแต่อย่างใด
ในตอนที่เขามาส่งนางที่ประตูวังก็แอบเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของนางอยู่ชั่วครู่ในพริบตานางก็ปรับสายตาให้ดูร่าเริงเพื่อไม่ให้ใครเห็นความโศกเศร้านั้น
‘นี่ข้าเลอะเลือนจนถึงกับทอดทิ้งหญิงงามเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันนะ’