ตอนที่ 4 สนมผู้ถูกลืมเลือน

1259 Words
เมื่อปล่อยโคมไฟกันเรียบร้อยแล้วจ้าวซูหลินก็พาคนอื่นๆ เดินเที่ยวทั่วทั้งงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางก็หยุดแวะซื้อของกินเล่นไปพลางๆ จนซั่วอิงต้องคอยห้ามอยู่บ่อยครั้ง “กินของกินเล่นมาตลอดทางเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่” “ยังเจ้าค่ะ ข้าก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี” ใต้เท้าโจวทองใบหน้าที่ทะเล้นของนางก่อนจะหลุดขำทันที “เอาเถอะมื้อนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง แวะโรงเตี๊ยมข้างหน้านี้กันเถอะ” จ้าวซูหลินหันมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกไปทันที ปรากฎให้เห็นเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ หน้าโรงเตี๊ยมมีแม่น้ำไหลตัดผ่านมีเรือโดยสารแล่นผ่านไปทีละลำ บริเวณประตูหน้าประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงดูสวยงามยิ่งนัก ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมเขียนชื่อไว้เพียงสามคำว่า ‘ฟู่อันหลง’ “มันจะดูหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าค่ะใต้เท้า ข้าออกมาไม่ได้เอาเงินมาเยอะเสียด้วยสิ” “ก็บอกแล้วว่าข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง มาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย” “เช่นนั้นมื้อนี้ข้าคงต้องฝากท้องกับท่านแล้วนะเจ้าค่ะ” “ด้วยความยินดีขอรับ” น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้พวกเขารู้สึกว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อกินอาหารกันเสร็จก็เดินย่อยกันสักพักจนมาสุดที่ทางเดินท้ายงานโคมไฟแห่งนี้ “เจ้าจะกลับเลยหรือไม่” “ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งเจ้าเอง ดึกมากแล้วเกรงว่าข้าคงจะปล่อยพวกเจ้ากลับกันเพียงลำพังไม่ได้” “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ท่านออกจากวังมาแล้วจะกลับไปทำไมอีกกันเสียเวลาท่านนะเจ้าค่ะ” “ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจไปเถอะ” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” เนื่องจากดึกมากแล้วพวกเขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินกันอย่างว่องไว จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้เก่าแก่บานนั้น “ใต้เท้าวันนี้ข้าขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ หากไม่มีท่านช่วยนำทาง เกรงว่าคืนนี้ทั้งคืนพวกข้าคงต้องนอนข้างถนนเป็นแน่” “ไม่เป็นไรอย่าได้เกรงใจข้าเลย” “พวกข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ” “เดี่ยวสิ ข้ายังไม่รู้จักชื่อแซ่ของเจ้าเลย” “ข้าชื่อซูหลินเจ้าค่ะ” “อื้ม แม่นางซูไว้วันหลังข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวในเมืองอีก” “ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้าโจว” นางส่งยิ้มให้เขาบางๆ ก่อนจะรีบเดินนำหน้าซั่วอิงผ่านประตูไม้บานนั้น แล้วเดินต่อไปทางตำหนักหนิงเซียงภายใต้การจับจ้องของบุรุษทั้งสอง “พวกเจ้าอยู่แถวนี้หรือไม่” สิ้นคำพูดของเขาก็มีเงาดำของคนผู้หนึ่งออกมาจากที่ซ่อนก่อนจะคุกเข่ารอรับคำสั่งจากเขา “ฝ่าบาท เชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าไปสืบมาว่าหญิงสาวสองคนนั้นเป็นใครกันแน่ ตำหนักหนิงเซียงที่ว่าเป็นตำหนักของสนมนางใด” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” องค์รักษ์เงาดำโหนทะยานเกาะไปตามหลังคาเพื่อตามหญิงสาวสองคนไปในทันที ก่อนจะหายไปกับความมืดมิดในค่ำคืนยามราตรีนี้ -ตำหนักเซียวเยว่- ร่างเงาสีดำพลันปรากฏขึ้นภายในตำหนักที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูทว่าดูงดงามน่าเกรงขาม ผู้มาเยือนเป็นองค์รักษ์เงาดำที่ฮ่องเต้บัญชาให้เขาไปตรวจสอบที่มาที่ไปของหญิงสาวทั้งสองนางนั้น “ฝ่าบาท กระหม่อมติดตามพวกนางไปจนถึงตำหนักท้ายวังที่ชื่อว่าตำหนักหนิงเซียงพบว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในนั้นนอกจากนางทั้งสองคนเลยพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่มีใครจะเป็นไปได้อย่างไร วังหลังไม่เคยมีกฎทิ้งนางกำนัลไว้ที่ตำหนักเพียงลำพังโดยไร้เจ้านายนี่นา” “ตำหนักหนิงเซียงงั้นหรือ...” เต๋อกงกงขันทีรับใช้ข้างกายฝ่าบาทอีกคนอุทานขึ้นมาทันที “มีอะไรหรือเต๋อกงกง” “ฝ่าบาท หากข้าน้อยจำไม่ผิดตำหนักหนิงเซียงเป็นที่พำนักของพระสนมซูหลินนะพ่ะย่ะค่ะ” “สนมซูหลินงั้นหรือ” "ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักนั้นมีเพียงพระสนมซูหลินที่พำนักอยู่เพียงลำพังกับนางกำนัลอีกหนึ่งคนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" “เป็นเช่นนั้นเองหรือ” 'นางต้องการที่จะปิดบังตัวตนอย่างไรถึงได้กล้าบอกชื่อจริงของตัวเองกับคนนอกกันนะช่างสะเพร่าเสียจริงๆ ’ “พระสนมซูหลินคือคนที่เข้ามาในวังพร้อมกันกับพระสนมลิ่งเฟย แต่ในช่วงเวลานั้นพระองค์ทรงโปรดปรานพระสนมลิ่งเฟยมากจนลืมเลือนที่จะไปตำหนักหนิงเซียง จนตอนนี้ที่ตำหนักนั้นก็ยังคงเงียบเหงามาจนถึงทุกวันนี้ เหล่านางกำนัลต่างก็คุยกันสนุกปากว่าพระสนมซูหลินไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทจนต้องปักผ้าออกขายเพื่อประทังชีวิตในวังหลวงแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” “ปักผ้าประทังชีวิตงั้นเหรือ” “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” “เหลวไหล ต่อให้ไม่ได้รับการโปรดปรานจากข้าจริงแต่ก็มีเบี้ยเลี้ยงสำหรับพระสนมทุกคน ไหนจะอาหารการกินเสื้อผ้าพวกนางไม่มีทางขาดเหลือ เหตุใดต้องทำงานเพื่อหาเงินประทังชีวิตด้วยล่ะ” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยสุรเสียงที่ดูดุดันยิ่งนัก เต๋อกงกงที่รับใช้ฮ่องเต้มานานก็รับรู้ทันทีว่าตอนนี้พระองค์กำลังกริ้วอย่างมาก “ฝ่าบาทเรื่องในวังหลังนั้นยากที่จะเข้าใจนะพ่ะย่ะค่ะ การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันย่อมมีให้เห็นในทุกวันยิ่งพระสนมที่ถูกละเลยแล้วนั้นย่อมเป็นที่ขบขันและเป็นที่กลั่นแกล้งเป็นอย่างดีเลยพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นหรือ” แววพระเนตรที่ดุดันทำเอาเต๋อกงกงและหลี่กงอี้ลอบมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัวยิ่งนัก ‘เหตุใดฝ่าบาทที่ไม่เคยสนพระทัยพระสนมคนไหนมาก่อนถึงได้ดูเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อรับรู้ว่าพระสนมซูหลินผู้ที่ถูกลืมเลือนถูกรังแกเช่นนั้นกันล่ะ’ ฮ่องเต้ทรงรู้ดีว่าเขาไม่อาจยื่นมือไปสอดแทรกเรื่องในวังหลังได้เพราะเป็นหน้าที่ของฮองเฮาผู้ดูแลวังหลังอยู่แล้ว หากเขายื่นมือเข้าไปช่วยนางย่อมเป็นที่ผิดใจกับฮองเฮาเป็นแน่ ฮ่องเต้ทรงทอดถอนพระปัสสาสะก่อนจะเหลือบไปมองที่องค์รักษ์เงาดำผู้นั้น “เอาล่ะเจ้าคอยเฝ้าสังเกตการณ์ที่ตำหนักหนิงเซียงต่อไป หากมีสถานการณ์อื่นใดอีกให้กลับมารายงานข้าได้ทุกเมื่อ” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลังจากองค์รักษ์เงาดำจากไปฮ่องเต้ก็ไล่ให้องค์รักษ์และขันทีประจำกายไปพักผ่อน ก่อนที่เขาจะนอนครุ่นคิดเรื่องของนางต่ออย่างหนัก คืนนี้จากการสังเกตดูท่าทางการแสดงออกของนางแล้วนั้นนางคงเหงามากเมื่ออยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ถึงขึ้นแอบหนีออกไปจากวังในยามวิกาลโดยไม่เกรงกลัวโทษแต่อย่างใด ในตอนที่เขามาส่งนางที่ประตูวังก็แอบเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของนางอยู่ชั่วครู่ในพริบตานางก็ปรับสายตาให้ดูร่าเริงเพื่อไม่ให้ใครเห็นความโศกเศร้านั้น ‘นี่ข้าเลอะเลือนจนถึงกับทอดทิ้งหญิงงามเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันนะ’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD