จ้าวซูหลินไม่ได้ออกจากตำหนักหนิงเซียงมาเป็นเวลามากกว่าห้าวันแล้วจนนางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก
นางเอาแต่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าตำหนักหนิงเซียงมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาหงส์งามล้ำจับจ้องไปที่มวลไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของร่างเดิมลงทุนปลูกด้วยตัวเองเต็มตำหนักไปหมด
นางคงจะมีความเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมอยู่แค่เพียงชื่นชอบการปลูกไม้สวนไม้ประดับเท่านั้น นอกจากความสามารถนี้แล้วนางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เหมือนเจ้าของร่างเดิมนี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเย็บปักถักร้อย เขียนกลอน ร่ายรำทำเพลง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่นางถนัดนั่นก็คือวิชาแพทย์
‘หากจะเปิดโรงหมอก็ต้องใช้ทุนเยอะสินะ’
“เฮ้อ…”
ทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วมหลายวันมาแล้วแต่เหตุใดถึงได้ไม่มีความทรงจำของนางหลงเหลืออยู่เลยล่ะ ไม่รู้จักตัวตนของนางเลยแม้เพียงนิดแบบนี้ข้าก็อึดอัดแย่เลยสิ
“เฮ้อ….”
ในนิยายที่เคยอ่านๆผ่านมาไฉนเลยนางเอกคนอื่นๆถึงได้มีมิติวิเศษติดตัวไปด้วยเล่า แล้วเพราะเหตุใดกันข้าถึงได้มาตัวเปล่า มีก็แต่เพียงมันสมองที่บรรจุเพียงความรู้ทางการแพทย์ติดตัวมาด้วยเท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไรกับในวังหลวงที่สุดแสนจะน่าเบื่อหน่ายแห่งนี้กัน
“เฮ้อ…”
จ้าวซูหลินเอนกายลุกขึ้นแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้งภายใต้สายตาอันคมกริบขององค์รักษ์เงาดำที่ฮ่องเต้บัญชาให้เขามาเฝ้าที่ตำหนักของนาง
“พระสนม ท่านเป็นอะไรไปข้าเห็นท่านถอนหายใจออกเป็นรอบที่ร้อยของเช้านี้ได้แล้วกระมัง”
“ก็ข้าเบื่อนี่นา วันๆอยู่แต่ในตำหนักไม่มีอะไรให้ทำนอกจากปักผ้าบ้าๆพวกนั้นน่ะ”
จ้าวซูหลินใช้นิ้วเรียวยาวของนางหยิบเอาผ้าไหมสีสวยสดขึ้นมาพินิจดูเพียงครู่เดียว ก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี
“พระสนม! เหตุใดถึงโยนผ้าทิ้งเช่นนั้นกันล่ะเพคะ”
“เอาออกไปเถอะ ข้าไม่ทำแล้ว”
“หากท่านไม่ทำฮองเฮาต้องสงสัยและหาเรื่องลงโทษท่านแน่นอนเลยเพคะ”
“นางจะเนรเทศข้าออกจากวังใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เพคะ คนที่เข้ามาในวังแล้วไม่สามารถออกไปจากวังได้ง่ายๆหรอกนะเพคะนอกจากจะได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้แล้วใครก็ไม่สามารถออกไปได้ อย่างมากก็คงต้องลดขั้นของท่านลงเป็นนางกำนัลของตำหนักไหนสักแห่ง”
“โว้ยยยย! ชีวิตของข้าทำไมถึงได้ยากเย็นเช่นนี้กันเล่า ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ข้าอยากออกจากวังหลวง!!!”
“พระสนมลิ่งเฟยเสด็จ”
“ใคร!”
จ้าวซูหลินที่กำลังรู้สึกโมโหอยู่ก็หันขวับไปยังต้นเสียงที่ขานชื่อใครบางคนออกมาเมื่อครู่ด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง
“พระสนมลิ่งเฟยสหายเก่าของท่านอย่างไรล่ะเพคะ”
ซั่วอิงพูดจบก็รีบวิ่งไปด้านหลังของจ้าวซูหลินทันทีจนนางต้องหันมองตามสาวใช้คนสนิทด้วยความสงสัย
‘จะหลบทำไมกันล่ะเนี่ย’
“แล้วนางจะมาที่นี่ทำไม”
“หม่อนฉันก็ไม่ทราบเพคะ”
เพียงไม่นานหางตาของจ้าวซูหลินก็มองเห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูสดใส กำลังเดินกรุยกรายมาทางด้านหน้าตำหนักบริเวณที่นางนั่งอยู่ จ้าวซูหลินหันไปมองหน้าของนางชัดๆอีกครั้ง
‘ก็สวยอยู่หรอกนะ แต่ทำไมจิตใจถึงได้โหดเหี้ยมเลือกที่จะสังหารสหายของตัวเองได้ลงคอเช่นนี้กัน’
“เจ้ามาทำไม”
จ้าวซูหลินถามออกไปห้วนๆ สร้างความประหลาดใจแก่สนมลิ่งเฟยเป็นอย่างมาก
“เจ้าอยู่ในฐานะที่จะมาตั้งคำถามกับข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“แล้วเจ้าสูงส่งมากหรืออย่างไรข้าถึงถามไม่ได้”
“นี่เจ้า! ยุ่นเอ๋อเอาไปให้นาง”
“เพคะพระสนม”
จ้าวซูหลินที่ยังคงจับจ้องใบหน้าของผู้มาเยือนไม่วางตา หันมองไปที่นางกำนัลรับใช้ของสนมลิ่งเฟยก็เห็นนางถือถาดที่ภายในได้วางผ้าไหมสีสวยเอาไว้แล้วยื่นมาตรงหน้าของนาง
“รับไปสิข้าต้องการให้เจ้าตัดเย็บชุดให้ข้า ข้าจะใส่ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของข้าที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้”
“ให้ข้าทำ?”
“ก็ใช่น่ะสิหรือเจ้าอยากให้ข้ารายงานไปที่ฝ่าบาทว่าเจ้าไม่ยอมตัดชุดให้ข้าเพราะว่าเจ้านั้นหึงหวงและอิจฉาที่ข้าได้เป็นพระสนมที่โปรดปราน ส่วนเจ้าก็เป็นเพียงสนมตกอับไร้คนเหลียวแล”
“ข้าว่านะเจ้าไปหาหมอเพื่อตรวจสมองของเจ้าบ้างก็ได้ คนบ้าอะไรคิดชั่วได้อยู่ตลอดเวลาไม่รำคานตัวเองบ้างหรืออย่างไรกัน”
“นี่เจ้า!”
“หุบปากของเจ้าเสีย! ที่นี่คือตำหนักของข้าเจ้าอย่าได้มาระรานหรือก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่อีก ส่วนของของเจ้าเอากลับไปด้วยข้าไม่ปักชุดให้เจ้า! หรือหากเจ้ายินดีจะให้ข้าเอาไว้ทำผ้าเช็ดเท้าข้าก็ไม่ขัดข้อง”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาต่อปากต่อคำกับข้าเช่นนี้ เอาความกล้านี้มาจากไหน”
“จากนี่ไง”
จ้าวซูหลินหยิบเอาไม้ขนาดพอดีมือก่อนจะลุกขึ้นเดินฉับๆเข้าไปหาสนมลิ่งเฟยจนนางถอยหลังออกไปแทบไม่ทัน
“ไป! ออกไปจากตำหนักของข้า ข้าไม่ใช่คนรับใช้ของเจ้าอย่ามาซี้ซั่วก่อกวนข้าอีก ออกไป!”
“เจ้า! คอยดูเถอะข้าจะฟ้องฝ่าบาท”
“ฟ้องพ่อแม่ของเจ้าด้วยเลยสิเอาให้ครบทุกคนไปเลย นังเด็กขี้อิจฉา ออกไป!”
“กรี๊ดดดด!!! พระสนมระวังเพคะ”
“จ้าวซูหลินเจ้ารอรับโทษที่ทำกับข้าในครั้งนี้เถอะ”
“ก็มาสิ กลัวที่ไหน ไป! ออกไปเดี๋ยวนี้ ชิ่วๆ”
“พระสนม……”
ซั่วอิงได้แต่มองตาค้างที่เห็นพระสนมของตัวเองดุด่าพระสนมลิ่งเฟยได้ถึงเพียงนี้ เพราะที่ผ่านมานางเอาแต่ก้มหน้ารับใช้สนมลิ่งเฟยไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจนางเลยสักครั้ง
“ฮ่าๆ…ได้ระบายอารมณ์ออกมาแบบนี้เสียหน่อยก็ค่อยยังชั่ว เกือบอึดอัดตายไปแล้วไหมล่ะ”
จ้าวซูหลินที่กำลังยืนท้าวเอวอยู่ส่วนมืออีกข้างก็ค้ำไม้ท่อนนั้นที่ใช้หวดไล่สนมลิ่งเฟยเอาไว้ ก่อนที่นางจะละสายตาจากหน้าประตูตำหนักแล้วหันไปมองหน้าของซั่วอิง ก็พบว่านางกำลังมองมาด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะหวาดกลัวปนดีใจ หรือไม่นะ?
“อะไร? เจ้ามองหน้าข้าแบบนั้นทำไม”