ตอนที่ 2 ซวยซ้ำซวยซ้อน

1219 Words
“ข้าอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นั่นแหละตอนนี้ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิว่าข้านั้นคือใครแล้วทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่” “ท่านคือคุณหนูรองตระกูลจ้าวบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีจ้าวเพคะ ท่านเข้าวังมาพร้อมกับสหายเพียงคนเดียวของท่านก็คือพระสนมลิ่งเฟยแต่ตอนนั้นพระสนมลิ่งเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเพราะว่าท่านยอมสละค่ำคืนอันมีค่าให้แก่นาง ตอนนี้ท่านก็เลยต้องมานั่งหงอยเหงาอยู่ตำหนักท้ายวังเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งนางกำนัลดูแลจะมีก็เพียงแค่หม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับท่านจนถึงทุกวันนี้เพคะ” “สหายของข้างั้นหรือ?” “ก็พระสนมลิ่งเฟยคนที่ผลักท่านตกน้ำอย่างไรล่ะเพคะ” “อ้าว!แล้วทำไมนางถึงผลักข้าล่ะ” “คงจะกลัวว่าฝ่าบาทจะได้พบท่านกระมังเพคะ ท่านออกจะงดงามถึงเพียงนี้หากฝ่าบาทได้พบเห็นย่อมได้เป็นที่โปรดปราณของพระองค์เป็นแน่” ‘อ่า…โดนสกัดดาวรุ่งว่างั้นเถอะ เฮอะๆ ’ “ไม่รับใช้ฝ่าบาทก็ต้องอยู่เดียวดายเช่นนี้หรือ ข้าไม่ต้องทำอะไรหรอกหรือ” “ทำสิเพคะ ท่านต้องปักผ้าส่งไปให้ฮองเฮาในทุกๆ เดือนเลยนะเพคะ ท่านทำได้ดีเชียวล่ะถึงยังได้อยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ต่อมีกินมีใช้จนถึงทุกวันนี้โดยไม่มีคนมากลั่นแกล้งหรือเยาะเย้ยท่าน ก็คงมีแต่…” “อะไร?” “มีแต่พระสนมลิ่งเฟยที่ชอบหาเรื่องมากลั่นแกล้งท่านตลอดระยะเวลาสองปีนี้เพคะ แล้วท่านก็ยอมนางอยู่เรื่อย” ซั่วอิงพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังอยู่เต็มทนที่เจ้านายของนางไม่สู้คนเลยสักนิดโดยเฉพาะกับพระสนมลิ่งเฟยผู้ที่เคยเป็นสหายกันมาก่อน “เอาล่ะๆ หากครั้งหน้านางมาหาเรื่องข้าอีกล่ะก็เจ้าก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร” “ว่าแต่เจ้าบอกว่าข้านั้นมีฝีมือเย็บปักถักร้อยจึงมีโอกาสได้อยู่ในวังต่อเช่นนั้นหรือ” “เพคะ” “แล้วหากว่าข้าเย็บปักไม่เป็นเสียแล้วล่ะ” “เช่นนั้นอาจจะโดนลดขั้นเป็นนางกำนัลแล้วล่ะเพคะ” “แล้วทำไมต้องลดขั้นล่ะในเมื่อไม่ได้รับใช้ฮ่องเต้ก็ควรปลดเป็นสามัญชนไม่ใช่หรือ” “นั่นก็…สุดแล้วแต่ว่าฮ่องเต้จะตัดสินพระทัยอย่างไรเพคะพวกเราไม่สามารถร้องขอได้” “โอ้ยอะไรเนี่ย! ข้าอยากจะบ้าตาย” “พระสนมว่าอะไรนะเพคะ” “ซั่วอิงมีวิธีไหนที่จะทำให้ข้าออกจากวังแห่งนี้ได้เร็วๆ หรือไม่” “นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะเพคะพระสนม หากอยากจะออกจากวังจริงๆ ก็คงต้องปรึกษาท่านหัวหน้าขันทีผู้ดูแลนางกำนัลในวังหลวงแห่งนี้แล้วล่ะเพคะ” “แล้วเขาอยู่ไหนข้าอยากพบเขา” “พระสนมอยากจะพบเขาไปทำไมกันเพคะ” “เถอะน่าเจ้าพาข้าไปพบเขาที ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วข้าอยากออกจากวังแห่งนี้” “แต่ว่าพระสนมคนที่เข้าวังมาแล้วไม่ใช่ว่าจะออกไปได้ง่ายๆ หรอกนะเพคะ” “ทำไมล่ะ” “วังหลังแห่งนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆ เฝ้าใฝ่ฝันที่จะเข้ามาที่แห่งนี้หรอกนะเพคะ ยังมีอะไรอีกเยอะที่ท่านไม่รู้และอาจจะไม่มีทางเข้าใจมันด้วย” ‘เข้าตำราคนในอยากออก คนนอกอยากเข้าสินะ’ “แล้วหากว่าท่านกลับไปคนตระกูลจ้าวคงไม่มีทางรับท่านกลับเข้าจวนแน่นอนเพคะ” “ทำไมล่ะ?” “บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วใครเล่าอยากจะรับกลับยิ่งท่านถูกปลดจากตำแหน่งพระสนมก็คงจะมีแต่คนดูถูกเหยียดหยามท่านอย่างแน่นอนเพคะ” 'อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ถึงเพียงนี้กันล่ะเนี่ย....' "ช่างเถอะหากออกจากวังได้ข้าก็จะไปตั้งตัวใหม่ด้วยตัวของข้าเองไม่พึ่งพาใครแน่นอน!” “ว่าแต่ตั้งแต่ข้าเข้าวังมาข้าพอจะมีเงินเก็บเอาไว้บ้างหรือไม่” “เงินหรือเพคะ” “ใช่” “มีแค่เพียงตำลึงเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับพระสนมทุกคนคนละห้าสิบตำลึงเงินในทุกๆ เดือนเพคะ ท่านอยู่ในวังมาสองปีได้แล้วเช่นนั้นตอนนี้น่าจะมีราวๆ พันตำลึงได้แล้วเพคะ” “พันตำลึงเองหรือ? แล้วสินเดิมของข้าล่ะ” “ทางบ้านท่านไม่ได้ให้ติดตัวมาเลยเพคะ” “อะไรกันเนี่ยบุตรสาวออกเรือนไม่ให้สมบัติติดตัวมาเลยได้อย่างไรเป็นพ่อแม่ประสาอะไรกัน” “ท่านเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุของใต้เท้าจ้าวนะเพคะ ยังดีที่ท่านผ่านการคัดเลือกเข้าวังไม่เช่นนั้น...” “ไม่เช่นนั้นอะไรอีก” “ท่านอาจต้องอยู่อย่างลำบากมากกว่านี้อีกเพคะ” ‘ข้าอยากจะบ้าตาย…ทะลุมิติมาเพื่อท้าทายกับชีวิตอันเส็งเครงเช่นนี้เลยหรือนี่’ “แล้วหากว่าข้าออกจากวังได้จริงๆ ข้าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการซื้อร้านค้าหรือบ้านสักหลัง” “ก็ประมาณเกือบหมื่นหรือบางทีอาจจะแสนตำลึงเลยเพคะ” “แสนตำลึง!!! แล้วข้าจะไปหาเงินจากที่ไหนกันล่ะเนี่ยยย” ‘ได้จากวังหลวงเพียงเดือนละห้าสิบตำลึง ชาติไหนข้าจะปลดปล่อยตัวเองได้กัน!’ ยามซวี (19.00-21.00 น.) “ซั่วอิงเจ้าดูต้นทางดีๆล่ะ” “พระสนม แอบออกมาแบบนี้อาจจะโดนจับได้นะเพคะ” “ช่างมันเถอะน่าข้าไม่สนใจตายเป็นตายสิอยู่แต่ในวังน่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว” “ความจริงแล้วหากพวกเราออกมาได้จริงๆ คงจะดีไม่น้อยเลยแต่ตอนนั้นข้าต้องหาเงินไว้มากๆ ก่อน ออกมาตอนนี้ไม่มีที่ซุกหัวนอนคงจะแย่แน่เลย เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าตำหนักของพวกเราไม่มีใครเข้าออก” “เพคะ” “ดี เช่นนั้นแอบออกไปไม่นานน่าจะไม่มีใครรู้หรอกน่า ฮิๆ” จ้าวซูหลินหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษคนหนึ่งตะโกนมาทางที่นางยืนซุ่มอยู่ “นั่นใครน่ะ!” ‘หืม? ตายล่ะสิถูกจับได้แล้วหรือนี่’ “เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ในยามค่ำมืดเช่นนี้” “เอ่อคือว่า” “เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อยสิ” “ทำอย่างไรต่อดีเพคะพระสนม” ซั่วอิงกระซิบถามจ้าวซูหลินด้วยเสียงอันเบา “เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน” จ้าวซูหลินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนด้านหน้าของตัวเองทีละนิด จนดวงตาของคนทั้งคู่ประสานกัน ‘บุรุษผู้นี้หล่อเหลาใช่เล่นเลยให้ตายสินึกว่าคนโบร่ำโบราณจะน่ากลัวเสียอีก แต่ชายตรงหน้ากลับมีใบหน้าคมคายผิวก็เนียนละเอียด ดูผิวของเขาสิขาวสะอาดหมดจดกว่าข้าแล้วล่ะมั้งเนี่ย’ “เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงออกมาเดินยามค่ำมืดเช่นนี้?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD