“เมื่อคืนไปเจอสายซอที่ไหนเหรอ เราเช็คเลขทะเบียนให้แล้ว มันเป็นของ…” อัคคีหยุดพูดพลางมองหน้าฉัน ฉันยิ้มพยักหน้ารับเบา ๆ
“ใช่ เป็นรถของสิงห์คำราม” สีหน้าอัคคีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฉันจึงพูดต่อ “แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะ เขาบังเอิญช่วยยัยซอไว้ที่สนามแข่ง ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ…”
“อื้อ ยังไงก็ขอบใจอัคมากนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เมื่อคืนโทรไปรบกวน” ฉันขยับยิ้มบาง
จังหวะนั้นสายตาบังเอิญสบเข้ากับร่างสูงของใครอีกคนที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พอดี เขาสวมเสื้อแจคเก็ตฮู้ดสีดำสนิทแต่เรือนผมสีน้ำเงินครามแสนสะดุดตานั่นทำให้ฉันจำได้ในทันที แววตาคมกริบติดคุกรุ่นมองปราดมาทางที่ฉันยืนอยู่ ท่าทางการเดินเข้ามาของเขาคล้ายคนจะมาหาเรื่องอย่างไรอย่างนั้น และนั่นทำให้ฉันรู้สึกโคตรไม่ดี
“เอออัค มีธุระไปไหนอีกไหม”
“ทำไมเหรอ?” อัคคีขมวดคิ้วถาม
“ขิมหิวน่ะ เราไปหาอะไรกินกันไหม” รีบไปจากตรงนี้ทีเถอะ ฉันไม่อยากเจอหน้าหมอนั่นตอนนี้เลย “ไปเถอะ ขิมหิวแล้ว”
ฉันไม่รอให้อัคคีตอบรับรีบดึงมือเขาเดินมาที่รถ อัคคีกดปลดล็อคประตูรถ ฉันรีบสอดตัวเข้าไปเตรียมจะนั่ง ทว่าแขนข้างซ้ายกลับถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือกรุ่นร้อน
“เธอขึ้นรถผิดคันหรือเปล่า… สายขิม”
ให้ตาย… เสือพยัคฆ์เดินเร็วเกินไปแล้ว!
“ปล่อยนะ ฉันไม่มีธุระกับนาย” ฉันกลับมายืนเต็มความสูงเหมือนเดิม สะบัดแขนออกพลางจิกตาใส่เขา อัคคีที่เข้ามานั่งในรถแล้วรีบเปิดประตูลงมายืนเช่นกัน
“อ้อเหรอ ไม่เอาแล้วใช่ไหมโทรศัพท์น่ะ” เสือพยัคฆ์จงใจกระซิบข้างหูฉัน แถมยังส่งสายตาท้าทายไปทางอัคคีอีกด้วย เขาคิดจะทำบ้าอะไรกันแน่!
“มีอะไรหรือเปล่าขิม?” อัคคีเดินอ้อมมายืนด้านข้างฉัน ท่าทางเขาเหมือนพร้อมจะปกป้องฉันเต็มที่ พอผู้ชายร่างสูงสองคนมายืนเผชิญหน้ากันโดยมีฉันคั่นกลาง มันสร้างความกดดันอย่างมหาศาลจริง ๆ ฉันเกลียดสถานการณ์ตอนนี้ชะมัด
“โทษทีว่ะ พอดียัยนี่มีนัดกับกูแล้ว” เสือพยัคฆ์เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน และมันจะดีมากถ้านายไม่ลากฉันเข้าไปในบทสนทนานั้นด้วย
ฉันมองหน้าเสือพยัคฆ์นิ่ง เขากำลังจ้องตากับอัคคีอย่างไม่มีใครยอมใคร เอาเถอะ ไหน ๆ ก็เจอเขาแล้ว โทรศัพท์ฉันก็ยังอยู่ที่เขา เอาคืนมาซะให้จบ ๆ ไปก็ดีเหมือนกัน แต่จะขอคืนต่อหน้าอัคคีเลยก็คงไม่ได้ ฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด อีกอย่างฉันเพิ่งโกหกเขาว่าเมื่อคืนแบตหมดซะด้วย จะมาโป๊ะแตกเพราะเสือพยัคฆ์ไม่ได้
“ขอโทษนะอัค ขิมลืมไปว่ามีธุระ ไว้ขิมโทรหานะ” ฉันหันไปคุยกับอัคคีจึงไม่เห็นสีหน้ายิ้มหยันอย่างผู้ชนะของเสือพยัคฆ์ อัคคีถอนสายตาจากเขามาสบตาฉัน วูบหนึ่งฉันเห็นแววผิดหวังจากนัยน์ตาเขา ก่อนมันจะหายไปกลายเป็นความเย็นชาแทน
อัคคีเป็นคนเย็นชาและไม่สนโลกแค่ไหนฉันรู้ดี ทว่าตลอดเวลาที่เราคบกันเขาปฏิบัติต่อฉันดีกว่าคนอื่นมาก อย่างน้อย ๆ เขาไม่เคยมองฉันด้วยสายตาเย็นชาแบบนี้มาก่อน
“ไปได้ยัง รถฉันจอดอยู่ตรงนู้น”
เพราะฉันมัวแต่ยืนสบตากับอัคคีนานไปหน่อย เสือพยัคฆ์จึงทำลายความเงียบขึ้น เขาไม่พูดเปล่าแต่ถือวิสาสะจับมือฉันแล้วจูงให้เดินตามไป แววตาของอัคคีทวีความคุกรุ่นขึ้นมาทันที ฉันละสายตาจากเขากลับมาหาเจ้าของฝ่ามือหนา อยากจะทุบเขาแรง ๆ สักที ทำไมถึงชอบฉุดชอบลากฉันจังนะ โรคจิตหรือไง!
“จะลากทำไมเนี้ย ฉันเดินเองก็ได้ไหม?”
“ชักช้า”
เสือพยัคฆ์หันมาจ้องตา ฉันก็จ้องเขากลับ หน้าตาติดจะกวนประสาทหน่อย ๆ ของเขาทำฉันหงุดหงิดได้ทุกครั้งที่เห็นจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าอยากได้โทรศัพท์คืนนะฉันไม่ยอมมากับเขาแน่
ปัง!
พอขึ้นมานั่งบนรถเขาแล้ว เสือพยัคฆ์ขับรถออกจากตรงนั้นทันที ขณะที่รถกำลังขับผ่านจุดที่อัคคียืนอยู่นั้น ฉันหันไปสบตากับเขาอีกครั้ง ฉันเห็นอัคคียืนกำหมัดแน่น แววตาดุดันจ้องมาที่รถไม่ยอมละ
ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ เพราะเสือพยัคฆ์เป็นหนึ่งในศัตรูของเขา แต่ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือทำไมเขาต้องมองฉันด้วยแววตาเย็นชาแบบนั้นด้วยกันนะ
“ไว้ขิมจะโทรหานะ ฮึ!” พอขับรถพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยมาได้ น้ำเสียงหยัน ๆ จากคนขับเอ่ยขึ้นมา ฉันเหลือบตามองเขานิ่ง ๆ
นี่เขาต้องการจะสื่ออะไรเหรอ?
“นายจะพาฉันไปไหน แล้วไหนโทรศัพท์ฉัน รีบ ๆ คืนมาสิ” ฉันแบมือไปทางเขา เสือพยัคฆ์หันรถเลี้ยวเข้าจอดข้างทางกะทันหันทำให้ฉันเสียหลักเกือบกระแทกคอนโซลหน้ารถเพราะไม่ได้คาดเข็มขัด รถคันข้างหลังบีบแตรไล่เสียงดังลั่นถนน “ทำบ้าอะไรของนาย! อยากตายก็ไปตายคนเดียวสิวะ! สารเลวเอ๊ย!”
“หยาบคายว่ะขิม”
ฉันตวัดสายตากลับไปจิกตาใส่คนที่ยังมีหน้ามาว่าฉันอีก ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันจับคอนโซลหน้ารถไว้ทัน ไม่งั้นมีหวังหน้าแหกแน่ ๆ
“เอาโทรศัพท์ฉันคืนมา ฉันไม่ไปกับนายแล้ว!”
“ไม่ให้ จนกว่าเธอจะตอบคำถามฉัน” เสือพยัคฆ์หยิบโทรศัพท์ฉันขึ้นมาชูในมือ พอฉันจะคว้าคืนเขาก็เอนหนีไปชิดประตูรถ ฉันกระโจนเข้าใส่อย่างลืมตัวทำให้ร่างของฉันโถมทับลงบนตัวเขาอย่างช่วยไม่ได้ พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่วงแขนแกร่งรวบเอวฉันไปแล้ว
“ปล่อยนะ! นายเป็นปลาหมึกหรือไง! มือไวจนน่าตัดทิ้ง!”
“เธอพุ่งเข้ามาหาฉันเองนะ แล้วฉันก็ไม่ติดซะด้วยสิ”
“เสือพยัคฆ์!!”