สองปีก่อน
ความปวดเนื้อปวดตัวแล่นวาบไปทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่หนักและชัดเจนที่สุดคือส่วนล่างกลางลำตัว ฉันค่อย ๆ ขยับตัวแผ่วเบา สองตาลืมขึ้นไม่เต็มตา อาการมึนหัว ปวดหัว จะอ้วก เล่นงานถาโถมไปหมด คำถามแรกผุดเข้ามาในหัว
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
‘ซี๊ด…’ เสียงสูดปากด้วยความเจ็บปวดเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากบางซีด สองคิ้วขมวดมุ่นก้มมองหน้าขาตัวเองก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ‘ละ เลือด?!’
ตุบ…
ร่างบางอ่อนแรงร่วงจากเตียงสู่พื้นพร้อมผ้าห่มที่ม้วนตัวตกลงมาด้วย ฉันเงยหน้ามองบางสิ่งบนเตียงอย่างไม่เชื่อสายตา ปรากฏแขนข้างหนึ่งโผล่พ้นขอบเตียงออกมา
แขนใครกัน… นี่ฉันอยู่ที่ไหน? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คำถามมากมายผุดเข้ามาในหัวไม่หยุด ฉันควานหาแว่นสายตาที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมแล้วคว้าเสื้อผ้าตัวเองมาใส่ลวก ๆ กัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงร้องเล็ดลอดออกมา
ไม่ว่าคนบนเตียงจะเป็นใคร ฉันไม่อยากให้เขาตื่นขึ้นมาในตอนนี้
หลังจากสวมใส่เสื้อยับ ๆ จนเสร็จ ฉันค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนโดยสายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างสูงบนเตียง เขานอนคว่ำหน้าอยู่ด้วยสภาพเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างสวมเพียงบ๊อคเซอร์ลายเสือ บนหัวไหล่ข้างซ้ายพาดผ่านไปด้วยรอยสักสวยงามลามไปทั่วต้นแขน
หัวใจฉันเต้นระทึกจนต้องยืนหอบหายใจ สองมือยกขึ้นปิดเสียงที่เกือบจะสะอื้นออกมา ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างแล้ว เมื่อคืนฉันถูกผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ข่มเหง! เขา… ซึ่งเป็นใครไม่รู้ จู่ ๆ ก็มานอนร่วมเตียงอยู่กับฉันด้วยสภาพแบบนี้ แถมความเจ็บปวดตรงส่วนนั้นก็ช่างเด่นชัดเหลือเกิน ไหนจะรอยคราบเลือดนั่นอีก
พังหมดแล้ว… ชีวิตฉันมันพังหมดแล้วจริง ๆ
‘ฮึก…’ ฉันยืนสะอื้นไห้อย่างหมดแล้วซึ่งความหวังใด ๆ ชีวิตฉันต่อจากนี้ไม่เหลือดีอีกแล้ว ฉันถูกชายแปลกหน้าย่ำยีอย่างเลือดเย็น
ฉัน… อยากจะตายไปเลยจริง ๆ
‘อืมม’ เสียงครางเบา ๆ จากบนเตียงคล้ายคนงัวเงียกำลังจะตื่นทำฉันถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว หัวใจดวงน้อยหล่นวูบยามคนบนเตียงพลิกตัวขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏสู่สายตาฉัน
เขา… คือคนแปลกหน้าที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่นับจากวันนี้ฉันจะจดจำใบหน้านี้เอาไว้ไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน ใบหน้าของผู้ชายที่ทำลายชีวิตฉันจนพังยับเยิน
.
.
.
สายลมพัดเบา ๆ กระทบใบหน้าเย็นเฉียบของฉัน แสงแดดยามเช้าไม่ร้อนเท่าหัวใจฉันที่ถูกแผดเผาจนไหม้เป็นจุล ฉันละสายตาจากพื้นเบื้องล่างเงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม มองนกน้อยบินว่อนอย่างมีอิสรเสรี ริมฝีปากบางขยับยิ้มหยันด้วยความอิจฉานกเหล่านั้นเหลือเกิน
น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากหางตากลิ้งลงบนแก้มเนียนสีซีด สองมือกางออกช้า ๆ พลางหลับตาลง เพียงก้าวเดียวเท่านั้น… เพียงฉันก้าวเท้าออกไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วชีวิตแสนบัดซบนี่ก็จะจบลงทันที
ณ เวลาเช้าตรู่นี้ ไม่มีใครรู้เลยว่าบนดาดฟ้าของโรงแรมหรูชั้นยี่สิบปรากฏร่างบางของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ขอบระเบียง ความสิ้นหวัง ความทุกข์ทรมานจากการถูกย่ำยีก่อให้เกิดความรู้สึกอยากตาย เธอเดินออกจากห้องนรกนั่นด้วยร่างไร้วิญญาณ เดินขึ้นบันไดหนีไฟขึ้นมาทีละชั้น… ทีละชั้น จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้…
และใช่… ผู้หญิงสิ้นหวังแสนโง่งมคนนั้นก็คือฉันเอง
Rrr…
ชั่ววินาทีเป็นวินาทีตายนั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ฉุดรั้งสติฉันให้กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง เท้าที่กำลังจะก้าวผ่านอากาศชะงักลง พร้อมสองตาที่เปิดขึ้น
นี่ฉันกำลังจะทำอะไรลงไปกัน…
กวาดสายตามองความว่างเปล่าเบื้องหน้า ความสูงของตึกยี่สิบชั้นหากเป็นยามปกติคงทำฉันเข่าอ่อนทรุดลงพื้นไปแล้ว ทว่าเวลานี้ในแววตาของฉันกลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
Rrr…
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ฉันกดรับสายโดยไร้เสียงตอบรับใด ๆ เสียงคุ้นเคยจากปลายสายเรียกสติฉันให้กลับมาทีละนิด
[เจ้ขิม! เจ้อยู่ที่ไหน? เค้ากลับมาบ้านแล้วนะ คิดถึงเจ้มากเลย มาหาเจ้ที่ห้องแล้วไม่เจอ เจ้อยู่ไหนเหรอเค้าไปหาได้ไหม?]
‘…’ ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ น้ำตาที่เหือดหายไปแล้วกลับรื้นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันถอยหลังออกมาจากขอบระเบียงดาดฟ้าแล้วทรุดตัวนั่งลงบนพื้นเย็นเฉียบ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากร้องไห้เงียบ ๆ โดยที่ยังถือโทรศัพท์แนบหูค้างไว้อย่างนั้น เสียงน้องจากปลายสายช่วยฉุดสติฉันเอาไว้
หากตอนนั้นสายซอไม่โทรเข้ามา… ชีวิตของฉันคงจะปลิดปลิวไปกับสายลมยามเช้าในวันนั้นไปแล้ว…
.
.
.
ปันจุบัน
“เวรเอ๊ย… ถึงกับร้องไห้เลยเหรอวะ”
เสียงสบถจากคนเหนือร่างเรียกสติฉันให้กลับมาที่ปัจจุบัน และเพิ่งสังเกตว่าบริเวณขอบตาเปียกชื้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดมันออกลวก ๆ
บ้าจริง… ฉันไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ต่อหน้าเขาสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็คิดถึงเรื่องบัดซบเมื่อสองปีก่อนขึ้นมาได้ แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว
ให้ตายเถอะ… นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นน้ำตาตัวเองแบบนี้ คงจะนับตั้งแต่วันนั้นนั่นแหละมั้ง
“บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่แพ้น้ำตาผู้หญิง ต่อให้เธอร้องไห้ฟูมฟายให้ตาย ถ้าฉันจะเอาฉันก็เอา” เสือพยัคฆ์เค้นเสียงพูด เขาหยุดการกระทำสารเลวกับร่างกายฉันแล้ว แถมยังดูไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไม่ได้ร้องไห้ อยากจะทำอะไรก็รีบทำ จะได้จบ ๆ สักที” ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง แต่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีนิด ๆ การถูกผู้ชายสารเลวคนนี้เห็นน้ำตามันช่างน่าบัดซบจริง ๆ
“ถ้าไม่ได้ร้องไห้ แล้วไอ้น้ำตานี่มันคืออะไรวะ? หรือฉันทำเธอตื่นเต้นจนน้ำตาไหลว่างั้น?” ปลายนิ้วแกร่งปาดหยาดน้ำตาที่ยังเช็ดไม่หมดขึ้นมาชูตรงหน้าฉัน คิ้วหนาเลิกสูงกวนประสาทที่สุด
“ก็แค่น้ำตาโง่ ๆ จะใส่ใจทำไม ไหนว่าไม่แพ้น้ำตาผู้หญิงไง?”
“ก็เออ ฉันไม่แพ้น้ำตาผู้หญิง แต่พอเห็นน้ำตาเธอแล้วแม่ง…”