“มานี่เลยไอ้ตัวดี กูจะโดนเพียวแหกอกตายเพราะมึงแล้วนะ” ปอร์เช่ลากคออัคคีมานั่งลงข้างฉันโดยอีกฝั่งหนึ่งข้างฉันคือปริม “มึงตอบทุกคนหน่อยดิว่าคืนนั้นมึงไปหาขิมจริง ๆ”
ฉันจิบเหล้าในมือ ไม่ได้มีท่าทีสนใจต่อคำถามของปอร์เช่นัก ถามว่าฉันสนใจไหม ก็มีนิดนึงนะ เพราะฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคืนนั้นอัคคีมาหาฉันไหม แล้วถ้าเขามา ทำไมฉันถึงไม่เจอเขา ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่แพ้พนันเสือพยัคฆ์หรอก หมอนั่นก็คงไม่ตามราวีฉันแบบนี้
“ไม่ได้ไป” คำปฏิเสธเรียบ ๆ ออกจากปากอัคคี สร้างความรู้สึกแตกต่างให้กับพวกเรา ปอร์เช่นั้นอ้าปากเหวอ สีหน้างุนงงชัดเจน ขณะเพียวหน้าบึ้งตึงไปแล้ว ส่วนฉัน… เพียงแค่นั่งเงียบ ๆ
“ไหนเช่บอกว่าคืนนั้นอัคไปหาขิมไง เหอะ โกหกเพียวเหรอ?”
“เฮ้ย! ไม่ใช่นะ เช่ไม่ได้โกหก ก็คืนนั้นเช่อยู่กับมันอ่ะ ตอนขิมโทรมามันก็รีบพลุนพลันออกไปเลย จริง ๆ นะ” ปอร์เช่รีบอธิบายกับแฟนสาวก่อนหันกลับมาหาเพื่อนรักตัวเองด้วยท่าทางลนลาน “มึงพูดไรวะไอ้อัค คืนนั้นมึงไม่ได้ออกไปหาขิมเหรอวะ?”
อัคคียกแก้วขึ้นดื่ม สีหน้าราบเรียบผิดปกติจากทุกที เขาอาจจะเย็นชาไม่สนใครก็จริง แต่กับเพื่อนในกลุ่มเขาไม่เคยแสดงออกแบบนี้มาก่อน และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ฉันจ้องหน้าเขาตรง ๆ อัคคีผิดปกติเกินไป เหมือนเขามีเรื่องอะไรในใจแต่ไม่พูด
“แย่มาก ขิมเกือบโดนไอ้พวกเวรนั่นลากไปก็เพราะอัคแท้ ๆ ถ้าไม่ได้เสือพยัคฆ์เข้ามาช่วย ป่านนี้ขิมจะเป็นยังไงก็ไม่รู้” เพียวเริ่มโวยวายใส่ เธอโกรธอัคคีเรื่องนี้มาก เธอบอกว่าฉันเฉยชาเกินไป อัคคีถึงได้ปล่อยปละละเลยฉันแบบนี้ ตั้งแต่คบกับอัคคีมา ฉันโดนเพื่อน ๆ ว่าเรื่องนี้มากี่ครั้งแล้วนะ จำไม่ได้… รู้แต่ว่าอัคคีมักโดนกดดันในเรื่องของฉันเสมอ อย่างที่เห็นนี่แหละ เพื่อน ๆ มักเข้ามามีบทบาทในความสัมพันธ์ของเราเพราะกลัวว่าเราจะคบกันไปไม่รอด คงไม่อยากให้เราต้องมีปัญหาจนเลิกกันแบบเกลียดกันละมั้ง ถ้าเป็นงั้นทุกคนคงกระอักกระอ่วนน่าดู
ตึง
แก้วเหล้าในมืออัคคีกระแทกลงบนโต๊ะเสียงดัง แรงกดดันบางอย่างทำให้บรรยากาศมาคุ ปอร์เช่ดึงแขนเพียวให้ลุกขึ้นแล้วกอดเอวเธอไว้ เขาเป็นคนแรกที่อ่านสถานการณ์ออก
“เช่อยากเข้าห้องน้ำ เพียวไปด้วยกันหน่อย”
“ไม่เอา เพียวยังพูดไม่จบ” เพียวปัดมือแฟนออกสายตายังจ้องอัคคีเขม็ง แต่ปอร์เช่ยื้อแขนแล้วดึงเธอให้เดินตามไป
“มาเหอะน่า เช่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“เอ๊ะเช่! เพียวไม่ไปไง! นี่!” แล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากโต๊ะไปโดยที่เสียงทะเลาะกันดังตามหลังไม่หยุด ฉันมองตามพวกเขาก่อนจะดึงสายตากลับมาที่แก้วเหล้าตัวเอง
“เอ้อ สาวโต๊ะนู้นเรียกว่ะ ไปด้วยกันไหมไอ้โฟน” จู่ ๆ คิมก็พูดทำลายบรรยากาศขึ้น โฟนรีบพยักหน้ารับแล้วทั้งคู่ก็ลุกออกจากโต๊ะไป ตอนนี้กลายเป็นว่าที่โต๊ะเหลือเพียงอัคคี ฉัน และปริม
“เอ่อ งั้นปริมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“ไม่ต้อง” ฉันคว้ามือปริมเอาไว้ รู้ดีว่าเธอกำลังหาทางชิ่งออกไปจากโต๊ะเหมือนกัน ทุกคนจงใจให้ฉันอยู่กับอัคคีสองคนงั้นสินะ
“แต่ว่า…” ปริมทำหน้าลำบากใจ
“ถ้าจะไปจริง ๆ ขิมไปด้วย ที่นี่มันอันตรายจะให้ปริมไปคนเดียวได้ยังไง” ฉันมองเพื่อนรักด้วยสายตาจริงจัง ปริมมองข้ามไหล่ฉันไปด้านหลังพลางเม้มปากเบา ๆ ฉันถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน ปริมเงยหน้ามองเหลอหลา “ไปเถอะ เดี๋ยวขิมพาไป”
“เอ๊ะ แต่ว่าขิมต้องคุยกับ…”
“ไม่จำเป็น เราไม่มีอะไรต้องคุยกันทั้งนั้น” ฉันดึงมือปริมให้เดินออกมาจากโต๊ะโดยไม่สนใจว่าอัคคีกำลังมองอยู่หรือเปล่า ไม่รู้สิ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันเฉยชามาก… มากเสียจนฉันรู้สึกเหนื่อยกับความสัมพันธ์นี้แล้ว
ฉันคบกับอัคคีมาหนึ่งปีกว่า แม้เราจะไม่ได้แสดงออกว่ารักกันเหมือนคู่รักปกติทั่วไป แต่เราก็ยังมีความห่วงใยให้กันอยู่บ้าง ยังโทรหากันในบางครั้ง แชทถามไถ่กันทุกวัน สำหรับคนอย่างฉันและอัคคี ได้เท่านี้ก็ถือว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปแล้ว
ฉันน่ะ ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากความสัมพันธ์ครั้งนี้เลย ไม่เคยสนใจด้วยว่าอัคคีจะสนใจใส่ใจฉันหรือไม่ เราให้อิสระต่อกัน ไม่ก้าวก่ายกัน และไม่แสดงความรักให้กันด้วย ความสัมพันธ์แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า?
ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเราไม่ได้เริ่มมาจากความรักตั้งแต่แรก ฉันไม่ได้รักเขา และเขาเองก็ไม่ได้รักฉัน แม้ตอนนั้นอัคคีจะพูดว่าชอบฉัน แต่คำว่าชอบของเขามันก็แค่พิเศษกว่าผู้หญิงทั่วไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ถ้าเรายังเป็นแบบนี้กันต่อไปเรื่อย ๆ มันจะดีหรือเปล่านะ หรือว่าฉันควรจะหยุดความสัมพันธ์แสนเย็นชานี้เสียที จบมันซะตอนนี้แล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่ต้องใช้สถานะแฟนมาเหนี่ยวรั้งกันและกันให้ลำบากใจ เพื่อน ๆ จะได้สบายใจกันด้วย
เฮ้อ… เราไม่ควรคบกันตั้งแต่แรกเลยจริง ๆ
“ขิม” ภวังค์ความคิดของฉันหยุดชะงักพร้อมกับเสียงเรียกชื่อจากด้านหลัง อัคคีมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันมัวแต่ยืนรอปริมหน้าห้องน้ำพลางคิดอะไรเพลิน ๆ โดยไม่ทันรู้ตัว
“อัคมาเข้าห้องน้ำเหรอ”
“เรามาหาขิม” น้ำเสียงของอัคคียังคงราบเรียบไม่เปลี่ยน มันกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขาไปแล้ว “คุยกันหน่อยได้ไหม”
พอดีเลย… ฉันกำลังอยากจะคุยกับเขาเหมือนกัน