“ได้ ขอแชทบอกปริมก่อนนะ” ฉันตอบตกลงพลางกดส่งข้อความหาปริมทางโทรศัพท์ บอกให้เธอกลับไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน
อัคคีพาฉันมาด้านหลังของผับ บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนพลุ่กพล่านสักเท่าไหร่ เมื่อเดินมาถึงเราสองคนยังคงเงียบใส่กัน กระทั่งอัคคีเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“พวกมันทำอะไรขิมหรือเปล่า”
คงหมายถึงพวกสวะในคืนนั้นสินะ
“ไม่ได้ทำอะไร เรื่องนั้นมันจบไปแล้ว อัคไม่ต้องใส่ใจหรอก”
“ขอโทษนะ” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาท่ามกลางความมืด ไม่บ่อยนักที่น้ำเสียงของอัคคีจะเจือไปด้วยแรงอารมณ์แบบนี้ ปกติเขานิ่งจะตาย หากใคร ๆ บอกว่าฉันเย็นชา อัคคีก็คงไม่ต่างกัน “ขอโทษที่ไม่ได้ไป”
“อื้อ ไม่เป็นไร บอกแล้วไงว่าไม่ต้องใส่ใจ” ฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยแฮะ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวภาระ เป็นตัวปัญหา ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ ทำให้พวกเพื่อน ๆ ต้องมาคอยกังวล เรื่องที่ฉันกับอัคคีคบกันก็ด้วย เพื่อน ๆ ต่างก็พากันเป็นห่วงอยู่เสมอ มันยุ่งยากจริง ๆ
ฉัน… เหนื่อยแล้ว จบมันเลยดีไหมนะ…
“นี่อัค… เราเลิกกันดีไหม?”
พอใจคิด ปากมันก็ขยับตาม ได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับพวกเรากำลังคุยเรื่องไร้สาระกันอยู่ แววตาอัคคีทอประกายตกใจแต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้นก่อนมันจะกลับมาราบเรียบตามเดิม
“ขิมอยากเลิกเหรอ” เขาถามกลับด้วยเสียงโทนปกติเช่นกัน บอกแล้วไงว่านิสัยเราเหมือนกันเกินไป เฉยชาต่อทุกสิ่งบนโลก…
“จะเลิกหรือคบกันต่อไปมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมอยู่ดีใช่ไหมล่ะ ถ้าเราเลิกกันพวกเพื่อน ๆ จะได้ไม่กดดันอัคเรื่องขิมอีก ขิมเองก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูของอัคด้วย” ฉันให้เหตุผลที่สมควร และคิดว่าอัคคีคงเข้าใจ
“เพราะเรื่องคืนนั้นเหรอ? ถ้าขิมโกรธที่เราไม่ไป จริง ๆ แล้วเรา…”
“ไม่ใช่หรอก มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น” ฉันตัดบทอัคคีที่พยายามจะอธิบาย น่าแปลกที่เขาเริ่มมีปฏิกิริยาร้อนรนแบบนี้ เขาอยากจะอธิบายอะไรกัน?
“แล้วทำไมถึงอยากเลิก?”
“เพราะเราไม่ได้รักกันไงอัค หนึ่งปีที่เราคบกันมา ความสัมพันธ์ของเราไม่ต่างจากเพื่อนกัน แล้วเราจะคบกันไปทำไมล่ะในเมื่อความรู้สึกมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ถ้าจะเปลี่ยนแค่สถานะก็อย่าฝืนคบกันต่อไปเลยดีกว่า”
ตอนแรกฉันคิดว่าอัคคีจะยอมเลิกกับฉันง่าย ๆ โดยไม่ถามอะไรด้วยซ้ำ แต่นี่ฉันกลับต้องมาอธิบายถึงเหตุและผล มันเกินคาดจริง ๆ
“…” อัคคีเงียบไป เขาไม่ได้พูดหรือแสดงอาการอะไรออกมาอีกนอกจากใบหน้านิ่ง ๆ กับสายตาติดจะร้อนรนหน่อย ๆ ของเขา ฉันมองสบกับดวงตาคู่คมชั่วขณะหนึ่ง รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรไหม กระทั่งความเงียบผ่านไป คำตอบในใจจึงชัดเจน
“ถ้างั้น… ขิมไปนะ จากนี้ไปก็ฝากตัวในฐานะเพื่อนด้วย” ริมฝีปากบางขยับยิ้มเล็กน้อย ความรู้สึกของฉันเวลานี้มันไม่ใช่ดีใจหรือเสียใจอะไร แต่มันคือความรู้สึกว่างเปล่า…
ฉันตัดสินใจเดินออกมาจากตรงนั้น ทว่าเดินผ่านร่างสูงไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะมือข้างซ้ายถูกคว้าเอาไว้ หันมองเจ้าของฝ่ามือกรุ่นร้อนด้วยความแปลกใจระคนตกใจ อัคคีจับมือฉันแน่นมาก เขามองฉันเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ฉันก็รอฟังอย่างตั้งใจ เวลาผ่านไปเกือบนาที สุดท้ายแล้วอัคคียอมปล่อยมือฉันโดยไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
เขาก็เป็นซะแบบนี้… คิดอะไร รู้สึกยังไง ไม่เคยพูด เราเหมือนกันมากเกินไปจริง ๆ จบกันด้วยความเข้าใจแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็ยังเหลือความเป็นเพื่อนให้กัน
ฉันเดินกลับเข้าผับ จังหวะที่กำลังจะถึงประตูทางเข้าด้านหลัง สองตาบังเอิญสะดุดเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังยืนสูบบุหรี่พิงกำแพงอยู่ไม่ไกล มองจากระยะที่เขายืนมันอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ฉันกับอัคคีคุยกันด้วย นี่เขาคงไม่ได้จงใจยืนแอบฟังหรอกใช่ไหม
หน้าด้านสันดานแย่ไม่มีใครเกินเลยจริง ๆ!
หมับ
ข้อมือข้างเดิมที่ถูกอัคคีจับเมื่อครู่ บัดนี้มีมือของใครอีกคนมาจับทับซ้อนอย่างถือวิสาสะ ฉันตวัดสายตามองการกระทำน่าตายนั่นทันที
“ปล่อย”
“อย่าฝัน คืนนี้เธอต้องชดใช้ให้ฉัน ลืมแล้วเหรอ?” เสือพยัคฆ์ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าบดขยี้มันแรง ๆ ท่าทางอันธพาลเหลือร้ายนี่มันอะไร ฉันติดหนี้อะไรเขานักหนาเหรอ ทำไมถึงราวีไม่เลิกแบบนี้
“ทำยังไงนายถึงจะเลิกยุ่งกับฉัน?” เบื่อจะหนีคนอย่างเขาแล้วจริง ๆ ชดใช้ให้จบ ๆ ไปเลยดีไหม จะได้ไปไกล ๆ ฉันเสียที
“ไปกับฉันสิ”
“ไปไหน?” ฉันบิดข้อมือออก เขายอมปล่อยโดยดีเมื่อเห็นว่าฉันไม่เดินหนีแล้ว ริมฝีปากหนาขยับยิ้มพอใจโค้งตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจกลิ่นมิ้นต์อ่อน ๆ ของเขา
“คอนโดฉัน”
“…” ฉันนิ่ง กรอกตาขึ้นสบกับดวงตาคม นิสัยนักล่าอย่างเสือพยัคฆ์คงไม่ยอมหยุดล่าง่าย ๆ ถ้ายังไม่ได้ขย้ำเหยื่อที่หมายตา
แล้วถ้าฉันยอมให้เขาขย้ำโดยดี เขาจะยอมจบกับฉันไหม?