‘เสือ’ ที่ว่าร้ายยังอันตรายน้อยกว่า ‘เขา’
สัญชาตญาณ ‘เสือ’ มันไม่กิน ‘เหยื่อ’ ซ้ำ
แล้วถ้า ‘อดีตเหยื่อ' มัน ‘น่าลองดี น่าขย้ำ’ ล่ะ?
"มีผัวรักดุอย่างฉัน อย่าริอ่านคิดจะหนี"
.
.
[จุดเปลี่ยน]
.
.
.
“ดื่มเยอะ ๆเลยนะขิมงานนี้จัดเพื่อเธอโดยเฉพาะเลยนะรู้ไหม” เสียงจีบปากจีบคอดังพร้อมมือที่ดันแก้วเหล้าใส่มือบาง เจ้าของชื่อใช้ปลายนิ้วขยับแว่นสายตากรอบสีดำแนบชิดใบหน้า ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของเธอช่างขัดกับสถานที่ที่นั่งอยู่เสียเหลือเกิน แม้จะดูขัดหูขัดตาคนในกลุ่มอยู่บ้างแต่ก็สร้างความสนุกปนสมเพชยามทิ้งสายตามองเธอ
“เอ่อ… ขิมดื่มไม่ได้” มือกำแก้วเหล้าสีเข้มแน่น ความลำบากใจฉายชัดบนใบหน้า ทั้งที่นี่คือโอกาสในการเข้าสังคมของเธอแท้ ๆ แต่เธอกลับไม่มีความกล้ามากพอ
สายขิม เด็กเรียนดีของสายชั้นผู้เป็นที่รักของอาจารย์ ซ้ำยังควบตำแหน่งนักเรียนดีเด่นสามปีซ้อน ทว่าเพราะความฉลาดเกินไปแถมยังใส่แว่นหนาเตอะ ทำให้เธอใช้ชีวิตมอปลายอย่างไร้เพื่อนฝูง หลายครั้งหลายหนที่เธอโดนเพื่อนกลั่นแกล้ง บ้างนินทา บ้างเมินเฉย ทำกับเธอเหมือนไร้ตัวตน เพียงเพราะคนเหล่านั้นอิจฉาเธอ ทั้งเรียนดีกว่า ฉลาดกว่า อาจารย์รักและเอ็นดูมากกว่า ความริษยาจึงมาลงที่เธอ
สังคมปัจจุบันการ Bully มีอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาหรือที่ทำงาน แม้แต่ในโลกโซเชียลยังล้วนเกิดการ Bully ให้เห็นอยู่เสมอ เธอจึงทำใจให้ชินกับสิ่งที่ต้องประสบพบเจออยู่ทุกวี่ทุกวัน
มันก็แค่การแกล้งของพวกเด็ก ๆ
เธอคิดแบบนั้น และเลือกที่จะไม่สนใจ พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในมุมของเธอ ไม่วุ่นวายกับใครถ้าไม่จำเป็น กระทั่งวันสุดท้ายของการจบการศึกษา สายขิมคว้าผลการเรียนอันดับหนึ่งตามความคาดหมาย และสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยคะแนนสอบอันดับต้น ๆ สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนจนถึงขั้นขึ้นป้ายหน้าประตูโรงเรียน
แน่นอน… ความริษยาจึงเพิ่มมากขึ้น
ทว่าตอนจบพิธีนั้น เธอได้รับคำชวนจากเพื่อนร่วมห้องซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยแยแสเธอสักนิด แต่วันนี้กลับเข้ามาชวนคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ด้วยความอ่อนต่อโลกเธอตกปากรับคำมางานเลี้ยงเรียนจบของห้อง และกำลังถูกเพื่อน ๆ กลุ่มนั้นยัดเหยียดให้ดื่มเหล้า
“ไม่เป็นไรหรอกสายขิม ดื่มแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เมาหรอก” ยิหวา ดาวเด่นประจำโรงเรียนคลี่ยิ้มหวานปานน้ำผึ้งขม เพื่อนคนอื่นพยักหน้าสมทบ
“ดื่มเถอะน่า ยิหวาอุตส่าห์ชวนทั้งทีนะ” ซอลลี่กรีดนิ้วลงบนแก้วตัวเองแล้วขยิบตาส่งให้ สายขิมเพิ่งสังเกตว่าในกลุ่มที่นั่งล้อมรอบเธออยู่นี้ล้วนเป็นสาวสวยประจำโรงเรียนทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับตัวเธอที่สวมแว่นหนาเตอะ ผมเผ้ารวบเป็นหางม้า หน้าตาทาเพียงแป้งบาง ๆ ให้อารมณ์เชยเฉิ่มเสียจนตัวเองยังรู้สึกอายขึ้นมา
“งะ งั้นแค่นิดเดียวพอนะ”
ยิหวาส่งสายตาเลศนัยกับซอลลี่ขณะจ้องสายขิมยกแก้วจรดริมฝีปาก ปลายนิ้วเรียวยื่นดันก้นแก้วขึ้นกะทันหันส่งผลให้คนที่กำลังดื่มถึงกับสำลัก ความขมปร่าเย็นเฉียบไหลลงคอหลายอึก สายขิมไอค่อกแค่กออกมา หน้าตาภายใต้แว่นหนาแดงก่ำ หอบหายใจแทบไม่ทัน
“แค่ก ๆ ขะ ขมมากเลย”
“ฮ่า ๆ ก็มันเหล้านี่นาสายขิม อ่ะนี่ ดื่มนี่ตามสิจะได้ไม่ขม” ยิหวาหัวเราะ แก้วใสใบเล็กถูกส่งให้สายขิม เธอรับด้วยสีหน้างุนงง “อันนี้มีไว้ดับขมน่ะ”
“อ่า งั้นเหรอ ขอบคุณนะ” คำขอบคุณใสซื่อแสนวางใจของเธอเรียกรอยยิ้มร้ายจากสองสาว ทว่าเธอกลับมองไม่เห็น เมื่อยกแก้วใสขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เธอสำลักขึ้นมาอีกรอบ “แค่ก ๆ ขมกว่าเก่าอีก!”
“ฮ่า ๆ เธอนี่ตลกจัง! นั่นมันวอดก้านะ! เธอดื่มมันจริง ๆ เหรอเนี่ย!” เสียงหัวเราะจากทุกคนสร้างความอับอายให้กับสายขิมอย่างมาก ตอนนี้เธอกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว สายขิมอยากจะลุกขึ้น แต่ถูกมือบางรั้งให้นั่งลงที่เดิม ปลายเล็บแหลมจิกแน่นจนต้องเบ้หน้า “จะรีบไปไหนล่ะขิม พวกเรายังสนุกกันอยู่เลยนะ”
“นั่นสิ ๆ จะรีบกลับไปไหนล่ะ นี่เพิ่งจะสองทุ่มเองนะ” ซอลลี่ช่วยสมทบ “หรือว่าเด็กอนามัยอย่างเธอต้องนอนก่อนสองทุ่มเหรอ”
สายขิมก้มหน้าซ่อนความแดงก่ำ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ผสมกับความอับอายจากเสียงหัวเราะรอบตัวทำให้เธอรู้สึกมึนเมา ร่างกายร้อนผ่าวแปลก ๆ สายตาพร่าเบลอไปหมด
ยิหวาส่งสายตากับซอลลี่ เธอส่งข้อความหาใครคนหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืนโดยคว้าแขนสายขิมให้ลุกตาม ซอลลี่ลุกจับแขนสายขิมอีกข้าง กลายเป็นว่าทั้งสองกำลังหิ้วปีกสายขิมซ้ายขวา
“สายขิมเมาแล้ว เดี๋ยวพวกฉันพาเธอส่งขึ้นแท็กซี่กลับบ้านก่อนแล้วกัน”
ทุกคนพยักหน้าอืออออย่างไม่ใส่ใจนัก ทั้งสามเดินออกมาหน้าผับ ขึ้นรถยิหวาขับพามาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
.
.
.
“ยัยนี่ตัวหนักชะมัด ชิ!” ซอลลี่ปัดมืออย่างรังเกียจเมื่อโยนร่างบางลงบนเตียงเรียบร้อย เธอมองยิหวาที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง “หมอนั่นมาหรือยัง?”
“อยู่ที่คลับด้านล่างแล้ว เดี๋ยวก็ขึ้นมา ทิ้งมันไว้นี่แหละ”
“ก็ดี แล้วคีย์การ์ดล่ะ?”
“หมอนั่นมีใบหนึ่ง นี่อันสำรอง ฉันยืมไว้ เอาไปคืนก็จบล่ะ” คีย์การ์ดสีขาวในมือที่มีตัวเลข 909 ติดอยู่ถูกแกว่งไปมา ยิหวาปรายตามองร่างบางไร้สติบนเตียง สายตาเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง “ความผิดของเธอเองนะสายขิม เพราะเธอขวางหูขวางตาฉันเกินไป อย่าโทษฉันล่ะ ถือว่านี่คือการแก้แค้นก่อนจากแล้วกัน”
ยิหวามักเป็นที่หนึ่งเสมอทั้งหน้าตาและฐานะ มีเพียงการเรียนเท่านั้นที่ไม่ว่าเธอจะพยายามยังไงก็ยังทำได้แค่ที่สอง พ่อของเธอเป็นถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ มีหน้ามีตาในสังคม ไม่ว่าจะด้านไหนเธอก็ทำได้ดีมาตลอด แต่ผลการเรียนกลับไม่เป็นที่น่าชื่นชม ถ้าหากไม่มีสายขิม ผลการเรียนอันดับหนึ่งคงเป็นของเธอไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ
“ไปเหอะ บายนะยัยเด็กเนิร์ดสมควรตาย ฮึ!” ซอลลี่คลี่ยิ้มร้ายใส่ร่างบนเตียง ทั้งสองเดินออกจากห้องไปพร้อมประตูที่ปิดลงและชีวิตที่พังทลายของสายขิม
ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของเธอ
.
.
.
ปึก!
แกร็ก!
“เวรเอ๊ย…” เสียงเมามายเจือหัวเสียดังจากริมฝีปากหนาที่ยังคาบมวนบุหรี่อยู่ ดวงตาคมกริบดุจสัตว์ป่าจ้องร่างสูงของคนที่เดินมาชนเขาอย่างไม่กลัวตาย
“เฮ้ย! วอนตีนเหรอวะ!” น้ำเสียงเข้มกระชากถามจากด้านหลัง ลมวูบหนึ่งผ่านร่างเขาไปพร้อมกับร่างหนาตรงหน้าที่ปลิวไปติดผนัง เจ้าของการกระทำสุดห่ามยืนหันหลังยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนอกชายคนนั้น “ชนเฮียเสือนี่คืออยากตาย?”
“อั่ก…!” แรงกดปลายเท้าเพิ่มขึ้น ชายผู้เคราะห์ร้ายถึงกับตาสว่างสร่างเมาทันที “ขะ ขอโทษครับ อั่ก!”
“ถ้าขอโทษแล้วหายจะมีตำรวจไว้ทำเหี้ยไรครับ” อีกเสียงหนึ่งกดต่ำถามก่อนตามมาด้วยร่างสูงในชุดสีขาวตั้งหัวจรดเท้า มาดของเขาคล้ายเทวดาขัดกับรอยยิ้มปีศาจบนใบหน้าสิ้นเชิง
“เอาไงกับมันดีล่ะเฮีย” กวิน เจ้าของฝ่าเท้าที่ยังกดบนอกชายบนพื้นหันมาถาม เรือนผมสีเพลิงโดดเด่นในความมืด ดวงตาโหดเหี้ยมทอประกายสนุกผิดกับสถานการณ์
“…” คนถูกถามเพียงปรายตามองอย่างหมดอารมณ์จะใส่ใจ วันนี้เขาดื่มไปค่อนข้างหนัก รู้สึกได้ถึงความเดือดพล่านของเลือดในตัว
“เฮียเสือ จะเอาไง”
ร่างสูงถอนใจหนัก ๆ ก้มเก็บคีย์การ์ดของตัวเองที่โดนชนจนตกขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง เขาไม่อยากเสียเวลาจึงสะบัดมือเป็นเชิงสั่งว่าปล่อยมันไป ฝ่าเท้าถูกยกออกอย่างไม่เต็มใจนัก ชายคนนั้นรีบลุกขึ้นเก็บของบนพื้นแล้ววิ่งลนลานหนีไปท่ามกลางสายตาคุกรุ่นของชายผมสีเพลิง
คนกำลังอยากมีเรื่องแท้ ๆ น่าเสียดายจริง…
“พวกมึงกลับไปได้ล่ะ”
“โอ้โห… พอจะได้กินเหยื่อก็ไล่เลยนะเฮีย”
“หรือมึงจะกินด้วย?” คิ้วหนาเลิกนิด ๆ มองรุ่นน้องที่เดินตามมาจากไนต์คลับของโรงแรม
“ว่าแต่อยู่ห้องไหนเหรอครับ เธอได้บอกไหม?” เร็น หนุ่มชุดขาวขมวดคิ้วถาม สายตามองไปทางลิฟต์
“ห้อง 606 มั้ง...” คำตอบของเขา ทำสองหนุ่มถอดถอนใจพร้อมกัน
“ดูใหม่อีกทีเถอะครับ” น้ำเสียงระอาเอ่ยแนะ
“ทำไม? พวกมึงคิดว่าคนอย่างเสือพยัคฆ์จะจำผิด?”
“ก็เพราะเป็นเสือพยัคฆ์นี่แหละ”
“น่าห่วงสุด ๆ เลยครับ”
รังสีอันตรายแผ่กระจายมาจากร่างสูงเจ้าของนาม เสือพยัคฆ์ เขาปรายตามองรุ่นน้องคู่ใจทั้งสองด้วยสายตาเชือดเฉือน กล้ามากที่ดูถูกเขา
“งั้นเอาไปดูเอง!” คีย์การ์ดสีขาวถูกล้วงจากกระเป๋าโยนใส่มือกวินที่ยกขึ้นตวัดรับ เขาชะงักพลางถอนใจอีกรอบ
“นี่มันห้อง 909 ต่างหากล่ะเฮีย จริง ๆ เล้ย!”
“…” เสือพยัคฆ์หลุบตาลง คิ้วเรียวขมวด เขามองผิดเหรอวะ…
“งั้นชั้นเก้านะครับ เชิญ” ประตูลิฟต์เปิดออก เมื่อกดชั้นเก้าเสร็จ เร็นจึงเดินออกมาแล้วผายมือให้เสือพยัคฆ์เดินเข้าไป ร่างสูงเซเล็กน้อยแต่ก็ยังทรงตัวเดินเข้าลิฟต์
“เฮียเดินไหวไหมเนี่ย ชักห่วง”
“ไม่ต้องเสือกทุกเรื่องก็ได้ กูไม่ได้เมาขนาดนั้น”
“คร้าบ ๆ งั้นขอให้กินเหยื่ออย่างเอร็ดอร่อยนะเฮีย เนื้อนมไข่เบอร์นั้น รองรับเสือกินดุอย่างเฮียได้ยันเช้าแน่นอน ฮ่า ๆ” กวินหัวเราะร่วนก่อนจะถูกเร็นเตะขาแรง ๆ หนึ่งที เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นสีหน้าเหี้ยม ๆ ของคนในลิฟต์
เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง รังสีกดดันพลันหายไปทันที พวกเขาถอนหายใจเฮือก ส่งสายตาให้กันเป็นเชิงว่า ‘เกือบกระตุกหนวดเสือเข้าแล้วสิ’
.
.
.
ติ้ด!
ประตูห้อง 909 ถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงเดินเข้ามาภายใน เสียงกริ๊กเบา ๆ ดังตามหลัง เจ้าของร่างสูงไม่ได้ใส่ใจ สาวเท้าเดินมาถึงเตียงนอนซึ่งมีร่างบางนอนหันหลังให้อยู่ เขาหลุบตามองเธอแวบเดียวแล้วเอื้อมปิดโคมไฟ
กฎของเสือพยัคฆ์มักชอบล่าในความมืด ไม่ว่าเหยื่อจะน่ามองน่าขย้ำเพียงไหนก็ไม่มีข้อยกเว้น
ความตื่นเต้นระหว่างกินเหยื่อมันคือสัญชาตญาณของสัตว์ป่า โดยเฉพาะเสือนักล่าอย่างเขา
และเหยื่อที่เขาหมายตา… ล้วนถูกล่ามาอยู่ใต้ร่างเขาทั้งสิ้น!