Chapter 1 ลูกใครก็ไม่รู้ น่า(ลัก)ไม่ใช่เล่น

4255 Words
“รู้สึกจนชะมัดเลยแฮะ”            ร่างสูงโปร่งติดผอมบางของชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ในขณะที่เจ้าตัวกำลังเดินออกจากหอพักซอมซ่อ นิ้วเรียวขยุ้มเข้าที่เส้นผมสีดำขลับของตนจนมันพันกันยุ่งเหยิง สภาพตอนนี้กระเซอะกระเซิงแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ขนาดหมาที่เคยเล่นด้วยกันเป็นประจำเห็นเข้าก็ยังหมางเมิน            จุ๊ๆ ช่างน่าเวทนาเสียจริง ผู้ชายคนนั้นมันจะเป็นใครไปได้อีก นอกจาก...            ผมเอง!            บุรุษเพศผู้ที่ตัวบาง ร่างผอม เพราะความจน ‘นายแพงพวย ติตระการ’ อายุอานามน่ะหรือ ก็ยี่สิบสามปี ไม่มากไม่น้อย กำลังอยู่ในวัยกรุบกริบกำลังดี...            กรุบกริบกับพ่อมันน่ะสิ!            นั่นมันสำหรับคนอื่น สำหรับผมแล้วมันวัย ‘กรอบแกรบ’ ชัดๆ อาการสิ้นเนื้อประดาตัวที่ประเดประดังเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวนี่มันอะไรกัน!            ด้วยวัยขนาดนี้ ไอ้เรื่องเรียนก็เรียนจบมาแล้วละครับ ถ้าถามว่าผมเรียนอะไรมาละก็ ผมจบคหกรรมมาล่ะ คณะที่มีแต่ผู้หญิงเรียนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนแมนอย่างผมเลยทีเดียว!            ซะเมื่อไหร่...อันว่าคหกรรมมีผู้หญิงเรียนมากเท่าไร บุรุษเพศที่สามย่อมมากกว่าเป็นเท่าตัว คนแมนอย่างผมรอดมาได้พร้อมพรหมจรรย์ ไม่โดนเพื่อนลากไปกินก่อนก็น้ำตาแทบจะไหลแล้ว ที่เรียนก็ไม่ใช่ว่าชอบอะไรหรอกครับ   แค่ตอนนั้นมันรู้สึกไปเองว่าเรียนงานบ้านงานครัวท่าจะเรียนง่าย เรียนสบาย  แต่พอเอาเข้าจริง กว่าจะจบมาได้ก็สภาพร่อแร่ครึ่งผีครึ่งคนเหมือนกัน            ไอ้รุ่นพี่คนไหนมันบอกเรียนง่ายเรียนสบายหา!! (ขออย่าให้ได้ยิน    อีกครั้งเหอะ ผมจะไปเอาเลือดหัวมันออก)            เอาละๆ อย่าไปพูดถึงความขมขื่นช่วงนั้นเลยดีกว่าครับ อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป เพราะปัจจุบันนี้ความลำบากในวัยเรียนมันเทียบไม่ได้กับนรกหลังเรียนจบแม้แต่น้อย ยิ่งตอนนี้ผมอยู่ในสถานะที่พบเห็นได้ทั่วไป นั่นก็คือสถานะ... บุคคลตกงาน            เป็นกฎตายตัวอยู่แล้วว่า เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีเงิน แล้วพอไม่มีเงิน การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ยิ่งยากลำบากเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่าผมเกียจคร้านไม่หางานหาการทำหรอกนะ ผมกำลังหาอยู่จริงๆ สาบานได้ แต่มันหาไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่ใจคิดนี่สิ...            การแข่งขันของตลาดแรงงานในเขตปกครองพิเศษอย่างเมืองซันชายน์เรียกได้ว่าสูงเทียมฟ้าพุ่งทะลุยันอวกาศ คนที่คุณสมบัติปานกลางแบบผมมีล้นตลาดแทบจะเหยียบหัวกันตายอยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงได้ตกไปอยู่ในหมวดแรงงานตัวเลือกเกรดล่างแน่ๆ            ผมเดินออกจากหอไปอย่างไม่รีบร้อนนัก ด้วยความที่ต้องการเก็บแคลอรีเผื่อเอาไว้ใช้หายใจในวันต่อไปด้วย ยามที่เหลือบตามองเงินในถุงมันก็อดที่จะสะอื้นเบาๆ ออกมาไม่ได้ เพราะตอนนี้มีเงินที่นับรวมๆ แล้วถือเป็นยอดเงินทั้งสิ้น!            ยี่สิบบาทถ้วน...            ฮูเร่! ~            ชีวิตของนายแพงพวยนี่มันบัดซบได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ โว้ย! ผมละอดยิ้มอ่อนอย่างสมเพชให้กับตัวเองไม่ได้ เฮ้อ!            “เอาวะ! ถ้าซื้อมาม่าห่อนึงก็ยังเหลืออีกตั้งสิบสี่บาทแน่ะ โอ้โหแฮะ   ตั้งสิบสี่บาทเลยนะพวยเอ๊ย!” คำปลอบใจตัวเองถือเป็นอะไรที่ดีสำหรับผมมากในตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วกะพริบตาถี่ๆ ไม่ได้    เมื่อผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะไหลออกมา            ไม่! ผมจะไม่ร้องไห้เพราะเงินเหลืออยู่ยี่สิบบาทหรอกนะ คนอย่างแพงพวยไม่อดสูขนาดนั้นหรอก พับผ่าสิ!            เมื่อปลุกปลอบใจเปราะๆ ของตัวเองแล้วสองขาก็เดินไปร้านสะดวกซื้อด้วยท่าทีมุ่งมั่นต่อทันที เงินก้อนสุดท้ายนี้ผมตั้งใจจะซื้อมาม่ารสต้มยำทะเล   รสโปรดห่อเดียว เพื่อประทังชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเท่านั้น            บางทีผมอาจจะต้องหักมันแบ่งครึ่งเพื่อให้กินได้สองมื้อ อย่างน้อยก็ยังยื้อชีวิตไปได้อีกสักพัก ถ้าจะตายก็ขอให้ท้องอิ่มเถอะ ผมไม่อยากเป็นผีหิวโหย มันน่าสงสารเกินไป แถมตายไปก็ไม่น่าจะมีใครทำบุญส่งอาหารมาให้ด้วย            แต่ก่อนที่จะไปคิดถึงเรื่องการแบ่งมื้ออาหารอย่างไรดี ผมต้องเดินลัดเข้าสวนสาธารณะแล้วทะลุออกอีกฟากของสวน ถึงจะเจอร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ที่สุด            และเป็นเพราะวันนี้ฟ้าครึ้ม มีกลุ่มเมฆปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า ทำให้ผมเดินกินลมชมวิวเหวี่ยงถุงเงินในมือหมุนเล่นไปได้ชิลๆ โดยที่ไม่ต้องคอยหลบเลี่ยงแดดเช่นทุกที บรรยากาศแบบนี้นับว่าหาได้ยากในเมืองซันชายน์ที่มีแสงแดดอันร้อนแรงตลอดสามร้อยหกสิบห้าวันแห่งนี้            “ฮึก...ฮือออ คุณพ่อ คุณพ่ออยู่ไหน”            เสียงร้องไห้เล็กๆ ที่เหมือนเสียงลูกแมวร้อง ทำให้ฝีเท้าของผมชะงักทันที บรรยากาศรอบตัวที่เย็นลงทำให้ผมขนลุกซู่ซ่า ยิ่งจุดที่ผมเดินลัดเป็นจุดที่มีต้นไม้สูงขึ้นค่อนข้างมาก เงามืดสลัวทำผมกลัวขึ้นมาหน่อยๆ เสียงร้องไห้ที่ว่ายังดังแว่วมาให้ได้ยิน ยิ่งฟังมันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้มาก และใกล้เข้ามาทุกที...            เฮ้...แบบนี้ไม่ดีมั้ง จะเล่นกันกลางวันแสกๆ เลยจริงดิ! ขอสารภาพว่า ถึงผมจะเป็นผู้ชายแท้ๆ และไม่เคยกลัวอะไรเลย แต่เว้นอยู่เรื่องเดียวคือ            ผม กลัว ผี มาก !            “คุณพ่อ...”            อ๊ากกกกกกกกกก            คงมีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองช็อกขนาดไหน เมื่อสัมผัสได้ถึงมือเย็นๆ ที่เล็กกว่ามากกำลังยื่นมาจับมือข้างขวาของผมเอาไว้ มือเย็นชืดข้างนั้นกำมือของผมแน่น ร่างกายพลันแข็งค้างราวผีเสื้อโง่ๆ ที่ถูกสตั๊ฟฟ์ไว้ในพิพิธภัณฑ์ เพราะขณะนี้สมองสองอันบาทของผมมันได้ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงร้องไห้เล็กๆ ฟังดูแหบแห้ง การเรียกผมว่าคุณพ่อไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจกับการได้เป็นพ่อคนเลยสักนิด!            ปล่อยพ่อไปเถอะลูก ฮือออ พ่อจะยอมแบ่งมาม่าให้ครึ่งห่อก็ได้            แม้ในใจอยากจะพูดอะไรออกไปสักคำ แต่ปากเจ้ากรรมกลับไม่ยอมขยับเขยื้อน มีเพียงน้ำตาที่รื้นขึ้นมาเพราะความขลาดกลัวของตัวเอง            เอาละ ผมต้องตั้งสติ เขาว่ายังไงนะ สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา สติมาหมาไม่กัด สติถูกฟัดจะกัดกับหมา แฮ่!            ใช่เวลาตลกไหม            “งะ...ไงลูกพ่อ” แม้จะยากเย็นเข็ญใจ แต่ในที่สุดผมก็หลุดคำพูดออกมาได้บ้าง พลางหันไปมองด้านขวามือของตัวเอง ภาวนาอย่าให้เป็นอะไรที่สยดสยองก็พอ ถ้าเลือดสาด ตาปลิ้น ลิ้นจุกคอ ผมจะนอนกองกับพื้นให้ผีดูแทนเลยเอ้า!            แต่เมื่อดวงตาที่อยู่ภายใต้แว่นรุ่นคุณทวดของผมปะทะกับร่างเล็กๆ   ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงสะอื้นและมือข้างนั้นมันก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาทันที สภาพที่เห็นไม่ได้แย่อย่างที่คิด ออกจะดีมากกว่าด้วยซ้ำ!            เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือเด็กชายตัวน้อยอายุราวสี่ห้าขวบ ผิวขาว แก้ม อมชมพู เครื่องหน้าดูกระจุ๋มกระจิ๋ม และคงเป็นเพราะเจ้าตัวมีเชื้อสายของชาวยุโรปอยู่ด้วยจึงทำให้เด็กคนนี้ดูราวคิวปิดตัวน้อย มองแล้วน่ารักน่าชังเป็นที่สุด            การแต่งตัวของเด็กคนนี้บอกได้คำเดียวว่า เอาผมไปขายแบบลดแลกแจกแถม ยังไม่ได้ค่ารองเท้าข้างหนึ่งของเด็กคนนี้ด้วยซ้ำ เพราะชุดที่เจ้าหนูนี่ใส่มันอย่างกับลูกผู้ดีอังกฤษชัดๆ ดวงตากลมโตประกายเขียวอมเหลืองมีแพขนตาซึ่งชื้นไปด้วยน้ำตาปกคลุม ตรงแก้มยุ้ยยังเห็นคราบน้ำตาอยู่เลย จมูกเล็กแดงก่ำเขรอะไปด้วยน้ำมูก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ารักของเด็กคนนี้ลดลงแม้แต่น้อย กลับเป็นความสงสารและปวดใจมากกว่าที่ผมรู้สึกได้ในตอนนี้            ใคร! ใครมันกล้าเอาเด็กน้อยน่ารักมาทิ้งไว้แถวนี้!            “เฮ้ หนุ่มน้อย หลงกับคุณพ่อเหรอครับ?” หลังจากมั่นใจว่าไม่ใช่ผี   ผมก็ย่อตัวลงคุยเป็นภาษาอังกฤษกับเด็กชายลูกครึ่งตัวน้อยด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วเป็นมิตรและพยายามไม่ให้ดูวิตถารล่อลวงจนเกินไป            “มะ...ไม่ใช่คุณพ่อนี่ ฮือๆๆ คุณพ่ออยู่ไหน...”            “ไม่ร้องนะๆ เด็กดี เดี๋ยวคุณอาช่วยตามหาคุณพ่อให้ดีไหม?” ผมยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เจ้าหนูที่เริ่มน้ำตาคลอออกมาอีกรอบ เสียงแหบแห้งคงเป็นเพราะร้องไห้จนเจ็บคอ “ดูสิร้องไห้แล้วหน้าตาเหมือนลูกหมาเลย ฮะๆๆ”            “จริงเหรอ เค้ารู้ว่าเค้าเหมือนเจค็อปมากใช่ไหมล่ะ” เด็กน้อยยู่ปากแล้วเลิกร้องไห้ ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าด้วยความดีใจ มือป้อมๆ ยกเช็ดน้ำมูกของตัวเอง            เอ่อ...อาหมายถึงหมาจริงๆ ไม่ใช่มนุษย์หมาป่าที่เท่บาดจิตบาดใจคนนั้น แต่ด้วยความที่ไม่อยากทำลายความฝันเด็ก ผมจึงเลือกที่จะเก็บคำพูดนี้เอาไว้ ก่อนจะถลกเสื้อของตัวเองขึ้นมาจนพุงปะทะลมเย็นๆ            นี่ไม่ได้จะทำอนาจารแต่อย่างใดนะบอกไว้ก่อน ผมแค่จะใช้เสื้อของตัวเองเช็ดน้ำมูกให้แค่นั้นเอง ยังไงซะเสื้อมือสองหนึ่งแถมหนึ่งก็เหมาะจะเช็ดน้ำมูกมากกว่าเสื้อเนื้อผ้าดีราคาแพงของเด็กคนนี้ จะให้เอามาย้ำยีแบบนี้ เห็นแล้วผมปวดใจชะมัด            พรืดดด            เจ้าหนูสั่งน้ำมูกลงเสื้อสีขาวของผมอย่างไร้ความเกรงใจทันที ทำเอาสตั๊นไปครึ่งนาที เอ่อ...ขอย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักบรรทัดจะทันไหมอะ   จะว่าไปเสื้อของผม ผมเห็นแล้วก็ปวดใจเหมือนกันว่ะ…               ฮู่ว์ ช่างเหอะ อย่างน้อยน้ำมูกเด็กนี่ก็ใส แค่ไม่เขียวก็นับว่าปรานีไอ้กระผมมากแล้ว            “เค้าเจ็บคอแล้วก็หิวมากเลย”            “งั้นเดี๋ยวคุณอาซื้ออะไรให้กินแล้วกันเนอะ” พูดเหมือนป๋ามาก ทั้งที่ตัวคนให้ก็ยังไม่พอจะกิน อนาถใจกับตัวเองจริงๆ ครับ            “อุ้ม” ว่าแล้วเด็กน้อยอ้าแขนออก หน้าตาดูออดอ้อนชนิดที่ใครเห็นต้องใจละลาย            “ได้ครับท่าน” ผมสอดมือเข้าใต้รักแร้คล้ายโดนสะกดจิต ยกเด็กน้อย ผู้น่าสงสารขึ้นอุ้มไว้ในอ้อมแขนของตัวเองทันที            อ๊า~ นุ่มนิ่มชะมัด ถ้าเอาไปต้มนี่คงอร่อยเหาะเลยนะเนี่ย...            เราสองพ่อลูกจำเป็นต้องใช้เวลาเดินราวๆ ห้านาทีกว่าจะถึงที่หมาย ระหว่างเดินผมก็ถามชื่อของเด็กและสาเหตุที่มาอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้ไปพลาง            ได้ความมาว่าเด็กคนนี้ชื่อ โลเวล (ผมไม่ได้เจาะจงไปถึงนามสกุลเขาหรอกนะ) โลเวลเล่าว่าเขามาเล่นซ่อนหากับพี่เลี้ยง แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครหาเขาเจอเลย แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น เจ้าหนูนี่ร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้ง ผมละแปลกใจจริงๆ ว่าเด็กนี่เดินมาได้ยังไงตั้งไกล เพราะสนามเด็กเล่นกับป่าตรงนี้ห่างกันมาก และท้ายที่สุดโลเวลก็มาเจอกับผม            สุดหล่อและใจดีคนนี้!            เป็นโชคดีของเด็กน้อยจริงๆ ที่มาเจอผม ถ้าไปเจอคนอื่นมีหวังโดนจับไปขายแน่ หน้าตาน่ารักขนาดนี้คงได้หลายตังค์อยู่ ผมมองเจ้าหนูในอ้อมแขน  อีกรอบ ในใจพลันเกิดความคิดดีชั่วตีกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น โลเวลเองพอรู้ว่าผมมองอยู่ ใบหน้าน่ารักก็ยิ้มหวานมาให้ ช่วยดับความชั่วในใจของผมให้สลายหายไปได้ในทันที            โอ้ว...เยี่ยม เกือบไปแล้วจริงๆ            หลังจากที่เดินทอดน่องมาสักพัก ในที่สุดเราก็มายืนจังก้าอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ผู้คนต่างหันมองนายแพงพวยที่วันนี้มาแปลกกว่าทุกวัน เพราะผมมีเด็กลูกครึ่งติดมือมาด้วย แถมการแต่งกายที่ต่างกันโคตรๆ ก็เรียกสายตาได้ไม่น้อย            แหม ก็คนมันดูดีอะนะ ใครๆ ก็ย่อมสนใจเป็นธรรมดา            นายแบบคนแรก            แพงพวย ติตระการ ในวันนี้ชายหนุ่มมาลุคหนุ่มบ้านไร่ไร้การศึกษา เสื้อยืดสีขาวคอเริ่มย้วยที่ออกแบบมาดูงั้นๆ กางเกงเลสีฟ้าซีดแทบจะมองหาเม็ดสีเดิมไม่เจอแล้วช่างเหมาะแก่การขยับแข้งขยับขา รองเท้าแตะคอลเลกชันเก่าสุดจากฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้วมีเชือกฟางผูกซ่อมรอยขาดไว้ดูคูลซะไม่มี! เสื้อผ้าที่ราคารวมกันไม่เกินเก้าสิบเก้าบาท! ทำให้ตอนนี้ชายหนุ่มดูโลว์แฟชั่นสุดๆ            นายแบบคนที่สอง            โลเวล เด็กน้อยสุดคิวต์ที่มาในลุคท่านชายน้อยจากอังกฤษ เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นลายตารางหมากรุกสีน้ำตาล พ่วงด้วยสายเอี๊ยมสองข้างที่หนีบรั้งกางเกงสำหรับเด็ก ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าชุดที่สวมอยู่นี้เนื้อผ้าดีสุดๆ แล้วยัง   ถุงเท้าสีดำที่ยาวถึงหัวเข่า รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำเงาสะท้อนแสงแยงลูกตานี่มันอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นสำหรับเด็กชัดๆ!            “ไอ้พวย แกไปขโมยลูกใครมา!”            เสียงเจ๊ไฉเบรกความคิดที่กำลังวิจารณ์การแต่งกายราวกับตัวเองเป็น กูรูด้านแฟชั่นของผมทันที เจ๊ไฉ หรือชื่อเต็มๆ คือ ไฉไล พนักงานประจำร้านสะดวกซื้อที่ซี้กับผมเป็นอย่างดีร้องแหกปากมา แถมเสียงแบบเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดหลอดยังทำผมสะดุ้งตกใจจนเกือบปล่อยเด็กน้อยในอ้อมแขนหลุดมือโชคยังดีที่โลเวลกอดคอผมเอาไว้อยู่            “ผมเปล่านะเจ๊ไฉ เด็กคนนี้หลงทางมา ผมเลยพามาหาของกินก่อน เดี๋ยวค่อยพากลับไปนั่งรอพ่อแม่เขา”            “ให้มันจริงนะยะ ฉันว่าแล้วหน้าอย่างแก จะให้มีลูกน่ารักขนาดนี้ได้ก็คงยาก”            “ปากร้ายยย เห็นอย่างนี้มองดีๆ แล้วผมหน้าตาดีมากนะเจ๊” ผมดันแว่นขึ้นทำเป็นเท่ ฉีกยิ้มกระชากใจให้เจ๊ไฉหนึ่งที แต่ฝ่ายนั้นเหมือนจะไม่สนใจผม เอาแต่เล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กที่ผมอุ้มอยู่            “พ่อคุณเอ๊ย น่ารักจริงๆ”            “ไม่ต้องชมผมมากเจ๊ ผมเขิน อะ ฝากอุ้มหน่อย เดี๋ยวหาของกินแป๊บ” ผมยกเด็กน้อยให้เจ๊ไฉไปอุ้ม ซึ่งอิเจ๊ก็ยื่นมือมารับอย่างยินดีปรีดาแล้วหอมแก้มเด็กเสียยกใหญ่ โธ่เอ๊ย! ลูกชายผมแปดเปื้อนหมดแล้วนั่น!            ผมส่ายหัวแล้วรีบเดินไปโซนอาหารสำหรับผู้ยากจนและเหล่ามนุษย์เงินเดือน ทำไมถึงเรียกแบบนี้น่ะเหรอ? เพราะโซนที่ว่ามันมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเรียงกันเป็นตับอยู่บนชั้นยังไงล่ะ ผมยืนกุมคางทำหน้าเคร่งเครียดคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วบอกตัวเองว่า ช่วยหยุดทำเป็นเท่สักพักจะได้ไหม ฮึฮึ เรานี่มันจริงๆ เลยนะ            Next…            ตอนนี้ผมมีเงินอยู่ยี่สิบ แถมมีสองท้อง จะซื้ออะไรดีวะ จะให้เด็กกินมาม่าที่เต็มไปด้วยโมโนโซเดียมกลูตาเมตก็ออกจะเกินไปหน่อย ไอ้เรามันก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่คนเลวซะด้วยสิ เฮ้อ เอาไงดีล่ะ            ผมถอยจากชั้นมาม่าอย่างตัดใจ โบกมือลามันน้อยๆ ที่เราไม่อาจไปด้วยกันได้ ลาก่อนต้มยำทะเล ฉันจะคิดถึงนาย...ฮือ            พอบอกลาเสร็จ ผมก็แจ้นไปหยิบนมจืดกล่องละสิบบาทและขนมปังเผือกราคาเท่ากันอีกห่อ รวมแล้วเป็นเงินยี่สิบบาทพอดีเด๊ะ จากนั้นก็รีบเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์            ถึงใจบางจะปวดร้าว แต่ยังไงผมก็ไม่มีทางให้เด็กน้อยที่น่ารักต้องมา กินมาม่าได้หรอกนะ ไม่รู้ป่านนี้ลูกชายผมจะโดนเจ๊ไฉแทะโลมไปถึงไหนแล้วด้วย            “เจ๊คิดตังค์”            ผมยื่นมือไปขอเด็กคืน โลเวลแทบจะโดดออกจากแขนเจ๊ไฉมาหาผมทันที ดูแล้วเจ้าหนูจะหวาดกลัวอิเจ๊อยู่มาก ผมตบหลังปลอบแกปุๆ            “นี่แกจะให้เด็กกินนมกับขนมปังเนี่ยนะไอ้พวย!!!” เจ๊ไฉทำหน้าแบบ ไม่อยากจะเชื่อใส่ผม            เฮ้คนสวย! แค่นมกับขนมปัง ไอ้แพงพวยคนนี้ก็หมดตัวแล้วครับท่าน  นี่ผมยอมอดเลยนะเฮ้ย!            “เจ๊ก็รู้...ผมคนจน จำต้องทนปั่นรถถีบ” ผมพูดอ้อมแอ้ม มือกอดเด็กในอ้อมแขนส่ายไปมา            อย่าให้ขยี้ตัวเองซ้ำๆ ได้ไหมเล่า มันสลด...            “ที่บ้านแกเป็นตลกรึไง เดี๋ยวแม่ตบ!” เจ๊ถลึงตาใส่ผมพร้อมง้างไม้ง้างมือขึ้นทำท่าจะตบตี ช่างโหดร้ายกับน้องกับนุ่งได้ลงคอ “เจ๊บอกแล้วไงพวย ไม่มีตังค์ก็มายืมเจ๊ก่อน แกนี่นะ แค่พึ่งพาคนอื่น มันจะตายหรือไง”            เจ๊ไฉด่าผมด้วยความโมโห แต่ดวงตาเจ๊แกกลับแดงๆ ผมไม่โกรธเจ๊ไฉสักนิด เพราะผมรู้ว่าเจ๊พูดเพราะเป็นห่วง เห็นผมเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง   อันที่จริงผมสมัครงานที่ร้านสะดวกซื้อไปแล้ว แต่ต้องรอจนกว่าเขาจะมีตำแหน่งว่างให้ผมถึงจะมีงานทำ ผมไม่ได้เลือกงานหรอกนะ แต่นายจ้างอะเลือกคนเกินไป นิสัยไม่น่ารักเลย!            จะว่าไปผมมันก็อาภัพเองด้วย ที่เกิดมาไม่มีใครอยากจ้าง แหะๆ   และถึงเจ๊ไฉจะให้หยิบยืม แต่ผมก็ปฏิเสธมาตลอด อาจเป็นเพราะผมไม่ชอบพึ่งพาใคร ผมต้องอยู่ให้ได้ไปให้รอดด้วยตัวเอง            เจ๊ไฉเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ ก่อนจะไปหยิบเอาขนมนมเนยและอาหารหลายอย่างใส่ลงไปในตะกร้า จากนั้นก็เดินกลับมายิงบาร์โค้ดคิดเงินรัวๆ จนผมมองแทบไม่ทัน            นี่ก็แอบปรบมือโห่ร้องให้เจ๊ไฉอยู่ในใจ สมกับตำแหน่งพนักงานดีเด่น เจ้าของฉายามือปืนคิดเงิน            “เฮ้ยเจ๊! อย่ารวมบิล เจ้จะซื้อก็แยกบิลกับผมดิ” ผมร้องเตือน            “ฉันจะซื้อหมดนี่แหละ จ่ายคนเดียว แกไม่ต้อง!”            “ไม่เอาดิเจ๊ ของซื้อของขายมาให้กันง่ายๆ ได้ไง”            “ใครว่าฉันให้แก ฉันให้หนูน้อยที่น่ารักอุอิคนนี้ต่างหาก”            อ้าว อิเจ๊ อุตส่าห์คิดว่าเจ๊รักผมเหมือนน้องซะดิบดี พอเจอคนใหม่ก็ทิ้งคนเก่า ใช่ซี้~ แพงพวยมันบ่ดี อิปี้ตึงใจ๋ดำ            “โลเวลขอบคุณเจ๊ไฉสิครับ” ผมบอกโลเวลที่ตอนนี้ยกนิ้วโป้งขึ้นมาดูดจ๊วบๆ เรียบร้อย คาดว่าคงหิวมาก ภาพที่เห็นสร้างความสะเทือนใจแก่ผมเป็นอย่างยิ่ง... คุณอาขอโทษที่จนไปหน่อยนะ ฮือออ            “Good Girl”            “เรียกแม่สิลูกกก” เด็กน้อยดึงนิ้วโป้งออกจากปากแล้วยกให้เจ๊ไฉทั้งที่มีน้ำลายเต็มนิ้ว ส่วนเจ๊ไฉก็เริ่มไซโคเด็กให้เรียกแม่ ตามประสาผู้หญิงอายุเกินสามสิบแต่ไร้วี่แววของสามีและลูก            “No” ง่ายๆ แต่หนักแน่น...            โลเวลส่ายหัวปฏิเสธอิเจ๊ทันที ก่อนจะหันกลับมากอดคอผมหมับ    แล้วยกนิ้วโป้งนิ้วเดิมมาดูดต่อ ไม่สนใจเจ๊ของผมที่ทำหน้าอกหักใจสลายอยู่ ทำดีมากลูกพ่อ เคี้ยกๆๆ            “ผมไปละเจ๊ ขอบคุณนะครับ” ผมรับถุงของมาถือก่อนจะโบกมือลาเจ๊ไฉ มุ่งหน้าเดินกลับไปทางสวนสาธารณะ มือขวาอุ้มโลเวล มือซ้ายถือถุงยังชีพ ปากก็ฮัมเพลงซานต้าครอสอิสคัมมิ่งทูทาวน์ เพลงโปรดของตัวเองไปด้วย อากาศตอนนี้ยังคงไม่มีแดดส่องเช่นเดิม จะมีก็แต่ลมอ่อนๆ พัดมาให้เย็นผิวกายอยู่เนื่องๆ ผมพาโลเวลมานั่งที่ม้านั่งริมทางก่อนเพื่อให้เด็กได้กินอะไรบ้าง            “เอาละ ดูซิว่ามีอะไรให้กินบ้างน้า~”            ผมปล่อยเจ้าหนูลงบนม้านั่งก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างกัน วางถุงหูหิ้วลงบนหน้าตักของตัวเองเพื่อสำรวจของกินภายในถุง มือหยิบนมจืดที่ผมถือไปจ่ายตังค์ครั้งแรกออกมา ใช้หลอดจิ้มกล่องแล้วส่งให้โลเวลเอาไปดูดแทนนิ้ว ส่วนตัวเองก็หยิบขนมปังเผือกขึ้นมาแทะอย่างเอร็ดอร่อย สายตาเหม่อมองท้องฟ้าตรงหน้าราวกับจะซึมซับรสชาติของมันไปพร้อมกับดื่มด่ำบรรยากาศ            นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้กินขนมปังรสชาติดีขนาดนี้...            โอ๊ย น้ำตาไหลแล้ว            “เอ่อ อะ...อันนี้ขอได้ไหมครับ?” ผมหยิบมาม่าคัพออกมาจากถุง    เอ่ยปากขออย่างกระดากอาย เพราะว่าทั้งถุงนี้เจ๊ไฉซื้อให้โลเวล เห็บหมาที่เกาะชาวบ้านกินอย่างผมเลยต้องขออนุญาตก่อน            เด็กกินมาม่าไม่ดีหรอกน้า ให้อาพวยเถอะนะคนดี งื้อ ดูสิ ข้างฉลากมันมีคูปองชิงโชคด้วยอะ ผมอาจจะได้รางวัลใหญ่ก็ได้ใครจะไปรู้            “อื้อ! ได้ซี่ เค้าให้หมดเลย เอาไปเค้าก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ไอ้นี่นะ...มันคืออะไรเค้ายังไม่รู้เลย” โลเวลตอบ พลางมองว่าสิ่งที่ผมขอเขาอยู่มันคืออะไร กันแน่ ประหนึ่งว่าเจ้าตัวไม่เคยพบเคยเจอมาม่าคัพมาก่อนในชีวิต            “โธ่! พ่อเจค็อป หมาป่าน้อยของอาพวย งื้อ น่ารักที่สุดเลย~” ผมกอดเจ้าหนูพลางหัวเราะออกมาอย่างดีใจ ในที่สุดผมก็รอดไปได้อีกมื้อ! “ไอ้นี่น่ะ    แค่ใส่น้ำร้อน แล้วรอสามนาทีก็กินได้แล้ว ง่ายมากใช่ม้า”            “ว้าว~ ในโลกมีอะไรแบบนี้ด้วยอ่อ เค้านึกว่าอาหารจะมีแต่คนที่เรียกว่าเชฟทำได้ซะอีก ไม่ยักกะรู้ว่าเราก็ทำได้ แถมง่ายด้วย งั้นเอาไว้เค้าจะให้แนนนี่ลองทำให้ดูนะ!” โลเวลทำหน้ามหัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก เหมือนเพิ่งค้นพบว่าคนธรรมดาก็สามารถทำอาหารกินเองได้            อยากจะบอกว่า ไอ้ที่นายกินอยู่มันก็ไม่ใช่เชฟทำหรอกนะเจ้าหนู! ชีวิตตั้งแต่เกิดมานี่ไม่เคยกินอาหารจากคนที่ไม่ใช่เชฟเลยใช่ไหม!? ชักอยากจะเห็นหน้าพ่อแม่ของโลเวลขึ้นมาแล้วสิ            “ดะ...ได้ แต่ต้องซื้ออันใหม่นะ” ส่วนอันนี้ อาขอเอาไว้ต่อชีวิตเถอะนะ พลีส            โลเวลพยักหน้ายิ้มแล้วยกนมขึ้นมาดูดต่อ แต่ตากลับเอาแต่จ้องมาม่าคัพของผมเขม็ง สุดท้ายเพราะความเค็มแบบทะเลสยบของไอ้กระผม บวกความกลัวว่าโลเวลจะเปลี่ยนใจทวงคืน ผมก็เลยเอาไปซ่อนไว้อีกด้านแทน            ให้ตายเถอะแพงพวย...นายนี่มันน่าสมเพชจริงๆ            ราวสิบนาทีทุกอย่างในถุงก็ถูกกินเกลี้ยง ต้องขอบคุณเจ้าหนูโลเวล   ลูกชายโดยบังเอิญ ที่ทำให้ผมได้รับอานิสงส์กินฟรีนี้ไปด้วย ความรู้สึกอิ่มจังตังค์อยู่ครบก็พลอยทำให้ชีวิตแสนบัดซบของผมดูดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย           “เค้าง่วงแล้ว” โลเวลคลานขึ้นมานั่งบนตักทันทีหลังพูดจบ อันที่จริงกลัวคนแปลกหน้าบ้างก็ได้นะ...ใบหน้านุ่มนิ่มซุกลงบนอกที่ไร้กล้ามเนื้อของผม แล้วหลับตาพริ้ม “ร้องเพลงกล่อมเค้าหน่อยจิ”            เวลานี้เป็นเวลาที่เด็กๆ ต้องนอนกลางวันหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าโลเวลคงจะอ่อนเพลียมาก นอนหลับสักงีบก็คงดีเหมือนกัน ผมยิ้มแล้วลูบหลังแก ก่อนจะร้องเพลงกล่อมเด็กสุดคลาสสิกออกมา          “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายหางงอ กอดคอโยกเยก โยกเยกเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรักคิดว่าลูกในอุทร เอาน้ำมาเผื่อ เอาเหยื่อมาป้อน ถนอมไว้ในรังนอน...” ผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องถูกหรือเปล่า แต่ฟังๆ แล้วก็ไม่ได้แย่นัก ผมร้องกล่อมโลเวลไปเรื่อย รู้สึกหนังตาตัวเองเริ่มหนักขึ้นทุกทีเช่นกัน จนสุดท้ายเปลือกตาบางคู่นั้น มันก็ปิดลงไปอย่างไม่รู้ตัว…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD