ยามเช้ามาเยือนวังหลวงพร้อมกับบรรยากาศที่หนักอึ้งราวกับมีเมฆดำปกคลุม
ณ ท้องพระโรงใหญ่ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างยืนเรียงรายกันเงียบกริบ สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและตึงเครียด ไม่มีใครกล้าปริปากส่งเสียง แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังแผ่วเบา ทุกสายตาจับจ้องไปที่จุดเดียว
ร่างของอดีตขุนนางหนุ่มอนาคตไกลที่บัดนี้กลายเป็นนักโทษกบฏ
ฉินลี่หรงคุกเข่าอยู่กลางห้องโถง สภาพของเขาดูน่าสมเพช ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่นเปรอะเปื้อนเขม่าไฟและคราบเลือดจากการต่อสู้เมื่อคืน แขนทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนเหล็กกล้าที่ลงอาคมสะกดวิญญาณเอาไว้
ทว่าแม้จะอยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก แววตาของเขากลับยังคงลุกโชนด้วยไฟอาฆาตที่น่าสะพรึงกลัว เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังบัลลังก์มังกรทองที่อยู่สูงขึ้นไป
บนนั้น... องค์ชายจวิ้นอี่ประทับนั่งด้วยท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขาม รัศมีแห่งอำนาจบารมีแผ่ซ่านออกมาจนขุนนางทั้งหลายไม่กล้าสบพระพักตร์ ข้างกายพระองค์มีเซี่ยเหยียนอวี่ยืนสงบเสงี่ยมในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้างดงามนั้นเรียบเฉย เย็นชา และดูสูงส่งราวกับผู้อยู่เหนือโลกโลกีย์
"ฉินลี่หรง"
สุรเสียงทุ้มต่ำของจวิ้นอี่ดังก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง "เจ้ามีความผิดฐานก่อกบฏ สมคบคิดกับคนนอกด่าน ใช้วิชามารทำร้ายเชื้อพระวงศ์ และพยายามลอบปลงพระชนม์... หลักฐานทั้งหมด ทั้งซากหุ่นพยนต์กระดาษ ยาพิษ และคำสารภาพของลูกน้องเจ้า กองอยู่ตรงหน้าเจ้านี้แล้ว... เจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่?"
กองหลักฐานที่ว่าถูกวางกองอยู่ด้านหน้า ทั้งเศษตุ๊กตาไหม้ไฟ ขวดน้ำมันพราย และจดหมายลับที่จื้อเฉินยึดมาได้
ฉินลี่หรงกวาดตามองหลักฐานเหล่านั้นแล้วแค่นหัวเราะ เสียงหัวเราะแหบแห้งดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
"ฮะ... ฮ่าๆๆๆ! แก้ตัว? ข้าจำเป็นต้องแก้ตัวกับผู้ชนะที่เล่นโกงด้วยหรือ?"
"บังอาจ!" ขุนนางกรมอาญาตะคอก "ต่อหน้าพระพักตร์ เจ้ายังกล้าสามหาว!"
"ข้าพูดความจริง!" ฉินลี่หรงตวาดกลับ ดวงตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปที่เหยียนอวี่ "พวกท่านทุกคนในที่นี้... กำลังถูกปีศาจหลอกลวง! ไอ้เด็กนั่น... เซี่ยเหยียนอวี่! มันไม่ใช่คนธรรมดา มันคือภูตผีที่กลับมาจากนรก!"
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วท้องพระโรง เหยียนอวี่ยังคงยืนนิ่ง ไม่สะทกสะท้าน
"มันรู้ทุกอย่าง!" ฉินลี่หรงชี้หน้าเหยียนอวี่ด้วยนิ้วที่สั่นเทา "มันรู้แผนการของข้าล่วงหน้า มันรู้จุดซ่อนตัวของข้า มันรู้แม้กระทั่งสูตรยาพิษลับเฉพาะของข้า... หากไม่ใช่ปีศาจที่หยั่งรู้อนาคต มันจะเป็นใครไปได้! ฝ่าบาท... พระองค์กำลังเลี้ยงอสรพิษไว้ข้างกาย!"
คำกล่าวหานั้นรุนแรงและบ้าคลั่ง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงที่น่าขนลุก ขุนนางบางคนเริ่มมองเหยียนอวี่ด้วยสายตาหวาดระแวง
เหยียนอวี่ถอนหายใจเบาๆ เขาก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะองค์ชาย ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับฉินลี่หรง
"ใต้เท้าฉิน... ท่านคงสติฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ" เหยียนอวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่กังวาน "ท่านกล่าวหาว่าข้าเป็นปีศาจเพียงเพราะข้ารู้ทันแผนชั่วของท่านงั้นหรือ? ช่างน่าขบขันนัก"
เขาเดินลงมาจากแท่นบัลลังก์ ทีละก้าว... ทีละก้าว จนมายืนอยู่ตรงหน้าฉินลี่หรง ระยะห่างเพียงเอื้อมมือ
"ข้าไม่ได้หยั่งรู้อนาคต..." เหยียนอวี่กระซิบ แต่ในความเงียบนั้น ทุกคนกลับได้ยินชัดเจน "ข้าเพียงแต่... รู้จักคนอย่างท่านดีพอก็เท่านั้น คนที่มีความโลภบังตา มีความริษยาบังใจ ย่อมมีรูปแบบการกระทำที่คาดเดาได้ง่ายดาย... และที่ข้ารู้ทันท่าน ไม่ใช่เพราะข้าเป็นปีศาจ แต่เป็นเพราะกรรมของท่านที่ตามมาทันต่างหาก"
คำพูดที่เรียบง่ายแต่แทงใจดำทำเอาฉินลี่หรงหน้าซีดเผือด
"โกหก! โกหกทั้งเพ!" ฉินลี่หรงดิ้นรนจะพุ่งเข้าใส่ แต่ถูกโซ่ตรวนรั้งไว้ "เจ้ามัน..."
"พอได้แล้ว!"
จวิ้นอี่ตะตวาดลั่น พระองค์ลุกขึ้นยืน รังสีอำมหิตแผ่พุ่งจนฉินลี่หรงชะงัก
"ฉินลี่หรง แทนที่จะสำนึกผิด เจ้ากลับเอาแต่กล่าวหาผู้อื่นด้วยเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้... ข้าหมดความอดทนกับเจ้าแล้ว"
จวิ้นอี่หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ขึ้นมา
"ในนามของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์... ข้าขอพิพากษา! ฉินลี่หรง ปลดออกจากตำแหน่ง ริบทรัพย์สินเข้าคลังหลวง เนรเทศทั้งตระกูลไปชายแดนเหนือ... ส่วนตัวเจ้า..."
จวิ้นอี่จ้องตาฉินลี่หรงเขม็ง
"...ให้ส่งตัวไปขังที่คุกน้ำทมิฬตลอดชีวิต ห้ามเห็นเดือนเห็นตะวัน ห้ามผู้ใดเข้าเยี่ยม และให้ล่ามโซ่ตรวนลงอาคมไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เจ้าใช้วิชามารทำร้ายใครได้อีก!"
คุกน้ำทมิฬ!
เสียงสูดลมหายใจเฮือกดังไปทั่วท้องพระโรง นั่นคือสถานที่ที่โหดร้ายยิ่งกว่าความตาย เป็นคุกใต้ดินที่มีน้ำเน่าขังระดับอกตลอดปี เต็มไปด้วยงูเงี้ยวเขี้ยวขอ และความมืดมิดที่กัดกินสติสัมปชัญญะ
"ไม่! ฆ่าข้าเถอะ! ประหารข้าเลย!" ฉินลี่หรงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เขาไม่กลัวตาย แต่เขากลัวการมีชีวิตอยู่ที่นั่น "จวิ้นอี่! เจ้าฆ่าข้าซะสิ!"
"ความตายมันง่ายเกินไปสำหรับคนอย่างเจ้า" เหยียนอวี่เอ่ยเสียงเย็น "จงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในความมืด... ทบทวนสิ่งที่เจ้าทำลงไปเถอะ"
ทหารองครักษ์เข้ามาลากร่างที่ดิ้นพราดๆ ของฉินลี่หรงออกไป เสียงสาปแช่งของเขาดังก้องยาวนานก่อนจะหายไปหลังประตูบานใหญ่
…
…
...
เมื่อความวุ่นวายจบลง ท้องพระโรงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่เป็นความสงบที่แตกต่างออกไป... มันคือความสงบหลังพายุใหญ่พัดผ่าน
ขุนนางทั้งหลายต่างก้มหน้ายอมรับในอำนาจและบารมีขององค์ชายจวิ้นอี่ และความเฉลียวฉลาดที่น่าพรั่นพรึงของเซี่ยเหยียนอวี่
"เลิกประชุมได้" จวิ้นอี่สั่งเสียงเรียบ
เมื่อขุนนางทยอยออกไปจนหมด เหลือเพียงคนสนิท จวิ้นอี่ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนบัลลังก์อย่างหมดแรง พระพักตร์ฉายแววเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด
"จบเสียที..."
เหยียนอวี่เดินเข้าไปหา รินน้ำชาถวาย "ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยมามาก พักผ่อนเถิดพะย่ะค่ะ"
จวิ้นอี่รับถ้วยชามา แต่สายตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าของเหยียนอวี่ พระองค์เอื้อมมือไปกุมมือเรียวนั้นไว้
"เหยียนอวี่..."
"พะย่ะค่ะ?"
"วันนี้... ตอนที่ฉินลี่หรงกล่าวหาเจ้าว่าเป็นปีศาจ..." จวิ้นอี่เอ่ยเสียงเบา แววตาไหวระริก "ข้ารู้สึก... กลัว"
เหยียนอวี่ใจหายวาบ "กลัว? พระองค์กลัวกระหม่อมหรือ?"
"เปล่า" จวิ้นอี่ส่ายหน้า บีบมือเขาแน่นขึ้น "ข้ากลัวว่า... ถ้าสิ่งที่มันพูดเป็นความจริง ถ้าเจ้ามาจากที่ที่ไกลแสนไกล หรือรู้อนาคตจริงๆ... สักวันหนึ่ง เจ้าจะหายไปจากข้าหรือไม่? เจ้าจะทิ้งข้าไปเหมือนที่เจ้าโผล่มาหรือไม่?"
คำถามที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้เหยียน อวี่น้ำตาซึม
ในชาติก่อน เขาคือคนที่เฝ้ารอและหวาดกลัวการถูกทิ้ง แต่ในชาตินี้... กลับเป็นจวิ้นอี่ที่หวาดกลัวการสูญเสียเขา
เหยียนอวี่คุกเข่าลงข้างบัลลังก์ วางศีรษะหนุนตักขององค์ชายอย่างออดอ้อน ราวกับแมวเชื่องๆ
"กระหม่อมอยู่ที่นี่พะย่ะค่ะ" เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล "ไม่ว่ากระหม่อมจะเป็นใคร หรือมาจากไหน... หัวใจของกระหม่อมก็ผูกติดอยู่กับพระองค์แล้ว จะไม่ไปไหนทั้งนั้น... เว้นเสียแต่ว่าพระองค์จะไล่"
จวิ้นอี่วางมือลงบนศีรษะของคนรัก ลูบเส้นผมนุ่มสลวยนั้นเบาๆ
"ข้าจะไม่มีวันไล่เจ้า... และข้าจะทำทุกอย่าง เพื่อรั้งเจ้าไว้"
แววตาขององค์ชายเปลี่ยนเป็นคมกริบอีกครั้ง
"แต่เหตุการณ์วันนี้ทำให้ข้าตระหนักได้ว่า... อำนาจในมือข้า มันดึงดูดศัตรูเข้ามาหาเจ้า ตราบใดที่ข้ายังนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ เจ้าจะไม่มีวันปลอดภัยอย่างแท้จริง"
เหยียนอวี่เงยหน้าขึ้นมอง "ฝ่าบาททรงหมายความว่า..."
"ข้าต้องเริ่มวางแผนสำหรับอนาคตของเราแล้ว เหยียนอวี่... อนาคตที่ไม่มีบัลลังก์มาขวางกั้น”