เสียงระฆังกังวานจากปลายยอดสุดของหลังคาโบสถ์ทรงอังกฤษ บนเนินเขาเขียวชะอุ่ม ลดหลั่นลงไปเป็นหมู่บ้านเล็กๆ และชายทะเล
กลิ่นอายแดดที่แผดเผาไอน้ำเหนือคลื่นทะเล ลอยซัดเข้ามาในอาคารที่อาบไล้ด้วยแสงแดดอันอบอุ่น บนธรรมมาศที่เครื่องดนตรีอยู่ประจำตำแหน่งของมัน นิ่งงันราวกับกำลังรอคอย...ใครบางคน
ที่ชั้นลอยของโบสถ์ ในห้องทำงานเล็กๆของผู้ปกครองโบสถ์ แดดที่ลอดม่านสีน้ำเงินย้อมทั้งห้องให้เป็นสีฟ้าอ่อน ซือ หนุ่มใหญ่วัย 42 ปี ดวงตาเรียว ใต้คิ้วคมเข้มของเขาเฝ้ามองนาฬิกาติดผนัง ยาม 10 โมงเช้า ในเวลาที่คาดการณ์ ใครบางคน...น่าจะมาถึงที่โบสถ์แล้ว
มีน รดน้ำต้นไม้อยู่เรือนพฤกษาข้างโบสถ์ ดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่ง หลากสีสันทรวดทรง หยดย้อยสลับชูช่อ นอกจากไม้ประดับแล้วยังมีพืชสวนครัว สมุนไพร หอยทาก หนอนผีเสื้อ และแมลงเต่าทอง เธอหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาแต่ไกล
"วันนี้แล้วสินะ" ...เธอพึมพำ
****************************
บึงน้ำและทุ่งต้นอ้อสีขาวอมชมพูอ่อน สะพรั่งเหมือนฝักข้าวโพด ขนัดแน่นรอบๆชายบึง มีมี่ หว่อง และเก้า นั่งกินบะหมี่ถ้วยกันอยู่ที่ม้านั่งหินสีขาวใต้ร่มไม้ด้านหลังโบสถ์ และชมทิวทัศน์ในมุมโปรดอันแสนสงบ
มีมี่ สาวร่างเล็กหนึ่งเดียวในกลุ่มผู้ชาย น่ารัก ปากแดง ผมสั้น บุคลิกและแต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชายวัยประถม กดอ่านข่าวในมือถือ สไลด์ขึ้นลงด้วยดวงตาเบิกกว้าง แล้วหันไปคุยกับเพื่อนร่วมวงด้วยเสียงสูงโซปราโน่ กังวาน ดัง และชัด ราวกับระฆังยอดโบสถ์
"นักร้องคนนั้นอะ เค้าจะมาอยู่ที่โบสถ์เรานะ"
"แน่ใจแล้วเหรอ พี่ซือเฟิร์มแล้ว" หนุ่มหนวดร้อยโลร่างยักษ์หันมาถามด้วยเสียงเบสที่เข้มและต่ำ
"มีความเป็นไปได้มากสุดที่เค้าจะต้องมาอยู่นี่ ในช่วงคุมประพฤติ เพราะว่าเค้ากะผู้ปกครองโบสถ์เป็นญาติกัน" เก้า หนุ่มอายุ 26 ปี นักศึกษาปริญญาโทที่ดูเคร่งขรึมจริงจัง พยายามวิเคราะห์ด้วยโทนเสียงเทเนอร์ที่มีเสน่ห์
"อาซือมีญาติกะเค้าด้วยหรือ"
"วันๆเห็นอาอยู่แต่โบสถ์ อย่าว่าแต่ญาติ เพื่อนก็ไม่มีสักคน"
"ถ้านักร้องคนนั้นมา โบสถ์คงวุ่นวายน่าดู" หว่อง ผู้ชอบเลี้ยงปลาและรักความสงบเหนืออื่นใด รำพึงออกมาแบบเศร้าๆ
"ไม่ดีหรือโบสถ์เราจะได้มีคนมาคับคั่งขึ้นไง ตั้งแต่โบสถ์เปิดมาเห็นมีแต่งานแต่งกับงานศพเท่านั้นแหละที่จะมีคน” เก้าหยิบแซกโซโฟนในมือมาขัดจนมันปลาบ “ผมจะได้ถือโอกาสเก็บแบบสอบถามเพิ่ม วิทยานิพนธ์จะได้เสร็จๆสักที”
“นี่รู้ไหม ป้าบางคนในตลาดยังนึกว่าที่นี่คือโบสถ์ร้างเลยนะ” มีมี่เสริมด้วยเสียงแหลมจนเริ่มน่าหนวกหู
“เธอคิดว่ามันโอเคเหรอ ที่คนจะแห่กันมาโบสถ์เพราะอยากดูคนดังมากกว่ามาฟังเทศน์”
“ขนาดข้าวโพด” เก้าเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางนักปราชญ์ทรงภูมิ “ยังต้องลอกเปลือกออกก่อนจึงจะได้เห็นแก่นแท้เลย” …ก่อนกระแอมเล็กน้อย แล้วพ่นลมลงในเครื่องดนตรีสีทองเหลือง ไล่นิ้วให้เมโลดี้เปล่งเสียงพริ้วหวาน ดังกังวานไปจนถึงลานจอดรถด้านหน้าโบสถ์
****************************
รถจอดนิ่งสนิท ประตูเปิด ก้นบุหรี่ถูกทิ้งลงพื้นมาก่อนอย่างอื่น ก่อนที่รองเท้าผ้าใบราคาแพงก้าวย่าวลงมาย่ำจนไฟดับสนิท
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในแจ็คเกทแบบสปอร์ท ก้าวพ้นออกมานอกรถ ขยับแว่นตาดำออก เพื่อมองดูสถานที่เขาจะต้องอยู่ไปอีก 1 ปีให้ชัดๆ
“แน่ใจเหรอว่าจะอยู่ได้” ผู้จัดการของเขาที่ก้าวตามลงมาเบะปาก “อย่างกับฉากในหนังผีของเจมส์ วาน” กล่าวพร้อมกับเดินไปที่กระโปรงหลัง ซึ่งเปิดออกหลังจากกดสวิตซ์
เลน รับเป้เดินทางใบใหญ่ที่ผู้จัดการโยนมาให้ ก่อนพูดออกมาด้วยสีหน้าเหมือนปลงกับทุกอย่างในโลก
“อย่างกะว่าผมมีทางเลือก”
“ฉันจะมารับนายไปรายงานตัวทุกสามเดือน ระหว่างอยู่ที่นี่ ทำตัวดีๆล่ะ”
เลนเหยียดมุมปากแทนคำตอบ เขาหันหลังให้รถและผู้จัดการ เดินมุ่งหน้าเข้าโบสถ์อย่างไม่มีอาการลังเล หรือสะทกสะท้านแม้สักนิด เหมือนกับวันแรกที่เขาเดินเข้าไปออดิชั่นกับค่ายเพลงในฝัน เหมือนวันแรกที่เขาเดินขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ทุกอย่างในชีวิตของเขา ทุกเส้นทางที่เลือก เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันผิดพลาด เขาไม่เคยรู้สึกหลงทาง กระทั่งวันนี้ วันที่ทุกอย่างผิดที่ผิดทางไปหมด และเขาทำได้แค่เพียงต้องก้าวต่อไปแบบไม่ยั้งฝีเท้าเหมือนเดิม จนกว่า…จะเจอทางออก
****************************
หญิงสาวที่ดูยังไม่แก่แต่ก็ไม่ใช่วัยรุ่น เดินหอบกอดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาในโบสถ์ ถักเปียยาว มีดอกหญ้าประดับหางเปียแทนโบว์ผูกผม ใบหน้าสวยละมุนละไม พอๆกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ ดูเชย และเรียบร้อยเกินไปสำหรับเลน เขาจึงไม่ได้สนใจเธอเท่าไหร่ในแรกเห็น
แต่…ดูเธอจะสนใจเขามากทีเดียว
ทันทีที่หันมาเห็นเขา เธออึ้งไปสักพักเธอกล่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าตื่นๆ “สวัสดีค่ะ” ...พลางหาที่วางกอดอกไม้ที่หอบมาอย่างลนลาน
"มาถึงนานหรือยังคะ เอ้อเพิ่งจะมาถึงนี่นายังแบกกระเป๋าเดินทางอยู่เลย ฮ่าๆ แล้วเดินทางลำบากไหม ต้องลำบากแน่เพราะถนนยังซ่อมไม่เสร็จแถมเป็นทางดินด้วย ว่าจะถามอยู่ว่ากด gps แล้วเจอไหม เพราะแอพฯมันชอบพาคนไปวน หลงทางไปโผล่วัดในเมืองแทนทุกที"
เลยไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพราะหญิงสาวตรงหน้าเล่นถามเองตอบเองจนหมด ความอึดอัดเริ่มบิดเป็นเกลียวในอากาศ ขณะที่เธอเริ่มตะกุกตะกักขึ้นทุกที
“ผู้ปกครองโบสถ์รออยู่ด้านบนแล้วค่ะ เชิญขึ้นไปได้เลย บันไดอยู่ทางนั้นนะคะ”
เขาผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณ แล้วเดินเลี้ยวไปขึ้นบันได รู้สึกเหมือนจะเห็นสีหน้าเธอวาบเป็นคำพูดในใจว่า 'ไร้มารยาท' แต่เขาก็ชินชาเกินกว่าจะแยแสเสียแล้วสิ
****************************
เลนเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของซือ หนุ่มวัยกลางคน กับทรงผมสั้นที่ดูทันสมัยรับเคราบางๆที่ทำให้ตาเล็กยาวกับเครื่องหน้าบางเฉียบแบบลูกครึ่งจีนดูคมคายขึ้นคล้ายภาพลักษณ์ของหมาป่าเดียวดายผู้คร่ำโลก เขากำลังนั่งขบเมล็ดแตงโม พร้อมกับชำเลืองดูไอแพดที่เล่นคลิปฟุตบอลแมทซ์ของคืนก่อน ...ช่างขัดกับภาพลักษณ์เคร่งขรึมของคนทำงานอยู่ในโบสถ์ตามจินตนาการของเขา
"อ้าว มาถึงแล้วเหรอ ไม่เจอกันนานเลยนะ พ่อเป็นไงบ้าง"
"พ่อผมตายนานแล้ว…"
"อ้อ นั่นสิ ผมลืมไปว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันคืองานศพเฮีย โทษๆ แล้วแม่คุณล่ะ สบายดีไหม"
"ผมเลิกติดต่อกับแม่ตั้งแต่เค้าแต่งงานกับแฟนที่เยอรมัน"
ซือกระแอมเสียงดังแบบดูไม่ให้จงใจสองสามที พร้อมกับหยิบเอกสารใบรายงานความประพฤติของเลนขึ้นมาวางทับเปลือกเมล็ดแตงโมที่กระจายอยู่บนโต๊ะ
"ผมได้รับเอกสารจากทางศาลแล้ว คุณต้องทำงานที่นี่ 1 ปี ส่วนตำแหน่งอะไรนั้น เดี๋ยวผมจะให้ผู้ช่วยผมดูให้ ในช่วง 2-3 วันนี้ คุณพยายามปรับตัวให้คุ้นเคยกับสถานที่และคนที่นี่ให้ได้ก่อนละกัน"
พูดเสร็จก็คว้ากุญแจบนโต๊ะโยนให้เขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เลนก็รับทันอย่างแม่นยำอีกตามเคย
"ห้องพักของคุณ เอ้อ .. เรื่องงาน ช่วงนี้โบสถ์เรายังว่างอยู่ ยังไม่มีการส่งศบ.มาประจำที่นี่ ผมเลยต้องทำหน้าที่เทศน์วันอาทิตย์ไปก่อน ถ้าให้ดีผมอยากให้คุณทำงานที่ตัวเองถนัดและมีทักษะอยู่แล้ว อย่างเช่นเรื่องดนตรี คุณพอจะสอนคนในโบสถ์เล่นกีตาร์ได้ไหม"
เลนชะงัก… มือขวาของชายหนุ่มสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
"ผมเล่นกีตาร์ไม่ได้…"
"คุณลองฝึกเอาก็ได้นี่" เขาเห็นอาการของเลน แต่แสร้งทำไม่เห็น
"คุณเองเคยเป็นมือกีตาร์ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่สอนเอง" เลนเอ่ยถามชายวัยกลางคนตรงหน้า ภาพโปสเตอร์วงดนตรีวงร็อคยุค 90 และลายเซ็นต์ล้ำค่าข้างใต้นั้น ผุดวาบขึ้นมาในหัวของเลน
"ผมไม่ได้เล่นนาน ลืมไปหมดแล้ว" ซือตอบพร้อมรอยยิ้มที่ดูไม่แยแสโลกเช่นเดียวกับน้ำเสียงและท่าทางของเขา
****************************
เลนเปิดประตูห้องมาจากห้องทำงานของซือก็เจอมีนมารอเขาอยู่หน้าห้อง ดูเหมือนเธอจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี
"ห้องของคุณอยู่ทางนี้ค่ะ"
เธอเดินนำเขาไปยังห้องใต้หลังคาของโบสถ์ เขาพยายามไขกุญแจแต่ก็พบว่าลูกบิดฝืดและติด
"คงต้องออกแรงบิดช่วยนิดนึงค่ะ ที่นี่ค่อนข้างเก่าแล้ว"
พอเขาออกแรงทั้งบิดและไขกุญแจไปด้วย ลูกบิดก็หลุดติดมือออกมา
"แหะๆ ในที่สุดก็เปิดออกสักที เนอะ" เธอพยายามแก้สถานการณ์ไปอย่างเจื่อนๆ
เลนเริ่มรู้สึกถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผลักประตูเข้าไปในห้องที่เล็กเหมือนรังหนู หน้าต่างบานเดียวติดกระจกสี และเตียงไม้แคบๆที่มีฝุ่นจับหนา
"ห้องนี้ วิวสวยมาก" มีนร้องขึ้นมา สายตาเธอมองทะลุไปที่หน้าต่าง ซึ่งมองออกไปเห็นวิวทะเลไกลลิบๆ
"คุกชัดๆ" เลนพึมพำ "ห้องน้ำที่คอนโดผมยังใหญ่กว่านี้"
มีนเริ่มมีสีหน้าตะหงิดๆกับความมากเรื่องของเขาแต่ก็พยายามที่จะไม่สนใจ
"เออพูดถึงห้องน้ำ คุณต้องลงไปใช้ห้องน้ำที่ชั้นล่างของโบสถ์ อาจต้องใช้น้ำในบ่อรวมไปก่อนนะคะเพราะว่าฝักบัวมันเสียน่ะค่ะ"
"ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว" เลนเดินวนไปวนมารอบห้องด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะยกมือกุมหัวและทรุดลงนั่งบนเตียง พลันเตียงไม้ก็ถล่มลงไปด้วยน้ำหนักของร่างเขา ฝุ่นตลบขึ้นมากลบร่าง พร้อมเสียงกรีดร้องของมีน
"กรี๊ดดดดดดดดดด"
…
ไม่กี่นาทีต่อมา… เลนก็ได้รู้จักสมาชิกโบสถ์อีกสามคนที่เหลือ เขาได้รู้จักว่า มีมี่ เป็นนักศึกษาปี 3 วิทยาลัยราชภัฏ ย่าของเธอเปิดร้านของชำใตตลาด หว่อง...เป็นนักดับเพลิง ส่วนเก้า นักศึกษาปริญญาโทคณะศาสนศาสตร์ ใกล้จบแล้ว อยู่ในช่วงกลับมาทำวิทยานิพนธ์ ทั้งหมดเป็นนักดนตรีประจำโบสถ์
พวกเขาทั้งหมดช่วยกันขนเตียงที่พังลงไปชั้นล่าง แล้วแบกฟูกนอนจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นสอง ขณะที่มีนอยู่ปัดกวาดทำความสะอาดห้อง
"ซุปเปอมาเก็ตที่ใกล้ที่สุดอยู่ไหน"
"40 กิโลจากนี้ ต้องมีรถยนต์ถึงจะไปได้ ถ้าร้านชำที่ใกล้ที่สุดก็บ้านย่าเราเอง คุณตะเอาอะไรอะ เดี๋ยวมี่ไปซื้อมาให้" มีมี่เสนอตัว
"อ้อ ไม่เป็นไร ผมแค่ถามเผื่อไว้วันหน้า แล้ว...ที่นี่พอจะมีรถส่วนกลางให้ยืมไหม"
"มีรถของพี่ซือ เป็นรถตู้รุ่นเก่า เกียร์กระปุกนะ คุณขับเป็นเหรอ" เก้าตอบพร้อมกับจ้องหน้าเลนไม่วางตา
"ไม่เป็น แต่ผมเซิสหาวิธีขับทาง youtube ได้"
ทุกคนมองเขาแบบเหลือเชื่อ
"รถตู้นะไม่ใช่ตู้เสื้อผ้า" หว่องร้องออกมา
"แล้วจอดอยู่ที่ไหน"
"ที่อู่ ซ่อมอยู่ น่าจะเสร็จเดือนหน้า"
"ที่นี่มีอะไรไหมที่ไม่พัง"
"ไม่มีหรอก แม้แต่คนยังพังเลย ฮ่าๆๆ" เก้าปล่อยมุกและขำนำไปก่อรแบบเก้อๆ
"มีมอไซเก่าๆคันนึงจอดอยู่หน้าโบสถ์ ต้องไปขอกุญแจเค้าเอา"
จากสีหน้าและแววตาที่พวกเขามองเลน ดูเหมือนจะรู้จักเขาและเรื่องที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ดี แต่ด้วยมารยาทต่างคนก็ต่างแสร้งทำว่าเพิ่งเคยเห็นหน้าเขาเป็นครั้งแรก แม้มันจะไม่แนบเนียนเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เลนอึดอัดน้อยลง
"จริงๆที่นี่มีครัวแต่แก๊สหมดนานแล้ว ถ้าคุณอยากกินอะไรก็ลงไปใช้กาต้มน้ำร้อน กับหม้อไฟฟ้าข้างล่างเอานะคะ" มีนเสริม
"ที่นี่มีเครื่องซักผ้าไหม" เลนเอ่ยถาม
"มีเครื่องซักผ้าแต่มันเสียอยู่น่ะค่ะ" เธอตอบ และเลนถึงกับชักสีหน้า
"ยังไงเอาผ้าลงไปซักในเมืองก่อนได้นะคะ มีเครื่องแบบหยอดเหรียญอยู่ ส่วนเครื่องที่โบสถ์เดี๋ยวตามช่างมาให้อาทิตย์หน้าค่ะ"
พอดีกับที่หว่องและเก้าช่วยกันจัดวางฟูกเหมาะเจาะตรงที่ของมัน เลนเผลอควักเงินให้พวกเขาอย่างลืมตัว พวกเขามองหน้ากันสีหน้าเจื่อนๆแล้วหันไปมองหน้ามีน มีนมองเลนแล้วส่ายหน้าเบาๆแทนคำเตือน เลนนึกขึ้นได้เลยเก็บเงินเข้ากระเป๋าตามเดิม
"ถ้ามีโอกาส ผมจะเลี้ยงข้าวนะครับ" ...เขาเอ่ยปากแก้สถานการณ์ได้ทัน
"ครับๆไม่เป็นไร งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะ" เก้ารีบออกปากและรุนหลังทุกคนออกจากห้อง
เลนหันไปมองมีนที่ยืนนิ่งอยู่ราวกับจะถามว่าไม่ไปด้วยหรือ มีนมองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิมขณะที่พูดเสียงเย็นๆ
"คุณคงต้องใช้เวลานานเลยกว่าจะปรับตัวได้"
...แล้วเธอก็เดินออกไป
****************************
สมาชิกโบสถ์เดินวิพากษ์วิจารณ์พวกเขามาตลอดทางที่เดินไปยังลานจอดรถ มีแต่มีนเท่านั้นที่เดินตามมาเงียบๆโดยไม่พูดอะไร
"น้องอิง แคนดี้ รสนิยมแย่กว่าที่คิดนะ เสียแรงเป็นแฟนคลับตั้งแต่ซิงเกิลแรก" เก้าบ่นอุบ
"หล่อ แต่นิสัยดูไม่โออย่างแรง ผู้หญิงสวยๆมักจะชอบผู้ชายแบบนี้แหละ"
"โคตรพ่อโคตรแม่หยิ่ง มันนึกว่าตัวเองดังมาจากไหนวะ ไม่เห็นจะรู้จักเลย สู้ ก้อง ห้วยไร่ก็ไม่ได้"
"ก็ดังอยู่นะ แต่เฉพาะกลุ่ม เหมือนก็พอรู้ตัวว่าเป็นคนดังก็เลยเคยตัว ติดเชิ่ดๆหน่อย ถ้าทรงนี้อาจจะทนได้ไม่ถึงเดือนนะพี่" เก้าหันไปคุยกับมีน
"ไม่ว่าภายนอกภายในเค้าจะเป็นไง หน้าที่พวกเราก็มีอย่างเดียว คือต้องช่วยกันเข็นให้เขาอยู่จนครบวาระที่กำหนดนะ" มีนพูดด้วยสีหน้าเห็นใจ แม้เพิ่งเจอกันเพียงครั้งเดียว และเลนก็ไม่ได้สร้างความประทับใจแรกไว้ให้เธอสักนิด แต่กลับเป็นห่วงเขาอย่างประหลาด
"แข็งกระด้างแบบนี้ ต่อให้จบคดีนี้ก็ก่อกลับไปก่อคดีใหม่อีกแน่" มีมี่โพล่ง
"เค้าจะไม่ก่อคดี ถ้าเค้ากลับใจได้ก่อน" เก้าพูดพลางเดินมาถึงรถฮาร์เล่แต่งที่นั่งเสริมของหว่อง เขาขึ้นนั่งตรงกระบะเสริม ขณะที่มีมี่ขึ้นซ้อนท้ายหว่องมี่รับอาสาเป็นคนขับ ทั้งสามโบกมือลามีน ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกะหึ่ม
ด้านมีนเดินมาถึงจักรยานของตัวเอง เธอขึ้นขี่จักรยานเพื่อจะกลับไปยังหอพักที่เช่าอยู่ในเมือง ขณะปั่นจักรยานลงเนิน มีนกนางนวลสีขาวบินโฉบผ่านหน้า แดดบ่ายส่องกระทบปีกสีขาวสะอาดเป็นแสงเจิดจ้าน่าพิศวง
...เป็นนิมิตรหมายอันดี เธอหันกลับไปมองที่หน้าต่างบนชั้นสองของโบสถ์อย่างมีความหวัง