มีนบอกตัวเองเสมอว่าเธออยากเจอฉากจบแบบ happy ending เหมือนในหนังรักโรแมนติกสักเรื่อง แต่กลับเดินอยู่ในละครดราม่าแห่งความข่มขื่นและการชดใช้ไม่จบสิ้น มีนวิเคราะห์ตัวเองว่า ที่ชีวิตเป็นแบบนี้ เพราะเธอไม่กล้าใช้สิทธิ์ที่จะเป็นสุข ถ้าชีวิตเริ่มแล่นลงไปในทางราบเมื่อไหร่ เธอจะดิ้นรนทำให้ตัวเองวุ่นวาย และโยนตัวลงไปขลุกกับปัญหาให้หมดไปวันๆ
การที่เธอพยายามจะเข้าไปยุ่งกับผู้ชายคนนั้น ตอแยเขา ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอย่างประหลาดนั่นก็เช่นกัน อาจมาจากความเห็นแก่ตัวลึกๆจากจิตใต้สำนึกของเธอเอง
"มาร่วมทานอาหารกลางวันกับพวกเราได้นะคะ เดี๋ยวพวกเราจะอยู่ทำความสะอาดโบสถ์ถึงเย็นเลย เพื่อเตรียมให้คนมานมัสการพรุ่งนี้"
เลนนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้วันอาทิตย์ เขาไม่ได้เข้าโบสถ์วันอาทิตย์มาตั้งแต่ 11 ขวบ
"ที่นี่ไม่มีแม่บ้านเหรอ"
"มีบ้าง ไม่มีบ้าง แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่มีพอดีน่ะค่ะ" เธอพยายามพูดให้ขำแล้วก็หัวเราะของเธอเองคนเดียว เมื่อเขาไม่ขำด้วย เธอจึงเงียบลง
"คุณกินกันเถอะ ผมจะขับรถลงไปหาอะไรกินในเมือง"
"แต่พี่ซือเพิ่งเอามอไซออกไปข้างนอกเมื่อกี๊เอง"
ไวชิบหาย...เขาเผลอสบถในใจ
"แล้วคุณมีรถหรือเปล่า" เขาถาม
"มีแต่จักรยาน"
"แล้วคนอื่นล่ะ"
"น่าจะมีแต่ว่า...ช่วงคุมประพฤตินี่ คุณไม่ควรออกไปไหนโดยไม่รับอนุญาตไม่ใช่เหรอคะ"
"ชิบหาย" เขาเผลอสบถออกมาเป็นคำพูด ยกมือปิดปากแล้วผงกหัวขอโทษ "งั้นไม่เป็นไรครับ ผมไม่หิว"
“แต่ไม่เห็นคุณกินไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน”
โดยไม่รอให้เธอพูดจบ เขาก็รีบปลีกตัวขึ้นบันไดภายในโบสถ์ กลับไปยังห้องพักของตัวเอง
****************************
พวกคนในวงดนตรีเริ่มทำความสะอาดโบสถ์กันแล้วไม่วายนินทาเขาไปด้วย ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ความหมายก็สื่อว่าเป็นเขาอย่างช่วยไม่ได้
"สงสัยนึกว่าตนเองมาพักร้อนมั้ง มาฝึกงานหรือแค่นึกว่ามาตากอากาศฟระ ไม่เห็นจะทำอะไรสักอย่าง" นั่น...น่าจะเป็นเสียงของคนชื่อหว่อง
"ถ้าพี่มีนเซ็นต์ให้ผ่านง่ายๆนะ จะประท้วงให้" เสียงสูงๆของผู้หญิงชื่อมีมี่
“คงนึกว่าตัวเองหล่อและดังมากมั้ง”
เขาถีบประตูออกไปทันที เมื่อเสียงโครมดังขึ้นจากหน้าห้องพักชั้นบน ลูกอีช่างเมาท์สองคนก็อึ้งสะอึก พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนแก้เกมส์เป็นพัลวัน
"ไอ้เก้านี่มันน่าด่าจริงๆ ยิ่งพูดยิ่งโมโหเนอะเฮียหว่อง"
"ตอนแรกบอกว่าจะช่วยถูพื้น แพล็บๆ โดดหนีไปทำวิทยานิพนธ์อีกละ"
"โดดบ้าอะไรวะ!" เก้าลุกขึ้นจากด้านหลังแท่นโพเดียม "ก็นั่งเช็ดธรรมมาศอยู่ตลอดเนี่ย นอกจากโง่แล้วยังตาบอดอีก"
"ด่าใครโง่วะพี่เก้า มี่เนี่ย เอทุกวิชานะเว้ย"
“ทุกวิชาเลยเหรอ!”
“ทุกวิชาที่ไม่เข้าเรียน”
“ส่วนเฮีย สอบทีไรก็เต็ม”
“อะไรเต็ม”
“ซ่อมเต็มเลยมึง เพราะกูตกทุกวิชา”
ทั้งสามเริ่มเถียงและโยนมุกฝืดเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์ไปมา ขณะที่เลนหันกลับเข้าห้อง หยิบหูฟังมาเสียบหูดังเดิม แล้วเสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มขึ้น
‘แต่งเพลงเองจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าให้โปรดิวซ์แต่งแล้วเคลมเครดิต’
เขาอ่านคอมเมนต์ในแฟนเพจของวงและใต้คลิปเอ็มวีทุกวัน
‘เอาจริงๆก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นปะ ที่ดังก็เพราะหล่อ’
…เพื่อตอกย้ำว่าต้องพิสูจน์ตัวเองให้มากขึ้น
เสียงเพลงช่วยเขามาหลายครั้ง ฉุดเขาหนีพ้นจากเสียงก่นด่า วิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ ตัดสินฉาบฉวย และลดคุณค่าอย่างเย็นชา ไม่ว่าจะเป็นในโลกอินเตอเน็ตหรือในความจริง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ...แว่วๆเหมือนมีใครมาเคาะประตูห้องเขา
เขาเดินไปที่ประตูอย่างรำคาญ คงเป็นผู้หญิงคนนั้น ป่านนี้คงจะรอให้เขาคลานเข่าไปหา ไปอ้อนวอนและขอโทษเพื่อให้เซ็นต์ให้ผ่าน ตามวิสัยของคนที่ถือไพ่เหนือกว่า และเมื่อไม่เห็นว่าเขาไปหา ก็เลยมาตามเขาที่ห้อง
แต่เมื่อเขาเปิดประตู กลับไม่พบใครยืนอยู่ มีแต่ถุงข้าวเหนียวหมูย่างแขวนไว้ที่ลูกบิด กลิ่นของมันกระตุ้นให้น้ำย่อยทำงาน ทั้งที่แทบไม่รู้สึกอยากกินอะไรเลยมาหลายเดือนแล้ว แต่เขาก็คว้ามากินเพื่อดับเสียงท้องที่กำลังร้องโครกคราก
…
พอตกเย็นทุกคนกลับไปแล้ว และโบสถ์สงัดเงียบ เขาแง้มประตูออกมาและเห็นไม้กางเขนภายในโบสถ์เป็นอันดับแรก ในแสงสลัวลางที่มีแต่แสงจากดาวประจำเมืองสาดลอดเข้ามา และท้องฟ้าสีเริ่มเปลี่ยนจากสีส้มเป็นน้ำเงินอมม่วง
กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก มีโจ๊กกับน้ำโพลาลิสมาแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูอีกแล้ว
คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นอีกตามเคย อันที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกทราบซึ้งมากนัก หากจะมีใครใส่ใจในตัวเขา หรือเอาอะไรมาให้ เพราะเขาเคยได้รับของขวัญเซอไพรท์จากแฟนเพลงอยู่บ่อยครั้ง
"คุณพ่อ! คุณพ่ออยู่ไหนครับ"
เลนสะดุ้งเพราะเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงตะโกนอันร้อนรน ผสมร่ำไห้
ผู้ชายร่างโชกเลือดคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในโบสถ์ เดินตรงไปที่กางเขนหลังธรรมมาศ ตะโกนเรียกหา "คุณพ่อ!" ไม่ขาดปาก
เลนตกใจถลันวิ่งลงบันไดไปชั้นล่างเพราะคิดว่าเขาเป็นผู้บาดเจ็บ และอะไรก็ไม่รู้ดลใจเขาให้พูดว่า...
"คุณครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า!"
แทนที่จะพูดว่า 'เดี๋ยวผมไปตามคนมาให้'
ชายคนนั้นหันขวับมาจ้องเขา ดวงตาที่แห้งผากในใบหน้าที่มีเลือดแห้งเกรอะกรัง จ้องตรงมาที่เขาด้วยความหวัง ...เลนไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นมาก่อนในชีวิต แม้แต่แฟนคลับอันดับ 1 ของวงที่ติดตามเขาไปทุกที่ ก็ไม่เคยมองเขาด้วยแววตาเช่นนี้
"คุณพ่อครับ" เขาเดินตรงเข้ามา
"ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่…"
ชายร่างโชกเลือดทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและกอดรวบขาของเขาไว้
"ช่วยผมด้วยคุณพ่อ ช่วยรับบาปผมด้วย ช่วยรับฟังบาปของผมด้วย!"
"ขอโทษนะครับแต่ผมไม่ใช่บาทหลวง!"
ชายคนนั้นไม่ได้ฟังที่เลนพูดอีกแล้ว เขาหลับตาแล้วปล่อยให้ถ้อยคำพรั่งพรูออกมาราวสายน้ำ แล้วประสานมือเอาไว้ที่หน้าตักของเลน ในท่าที่ยังคุกเข่า เลนรู้สึกว่าร่างชายิบไปหมด หูอื้ออึง และพูดอะไรไม่ออก เขาทำได้แค่ประคองร่างชายคนนั้นเอาไว้ และพยุงเขาไม่ให้ทรุดล้มจนกว่าจะได้พูดจบ
"ผมเพิ่งฆ่าคนตายมาครับ คุณพ่อ"
…
ชายคนนั้นกลับไปแล้ว…
เลนวิ่งขึันมาหยิบมือถือเพื่อจะกดเบอร์ 191 แต่แล้วบางอย่างก็ฉุดดึงนิ้วเขาเอาไว้ 'อาจเป็นดวงตาอันแห้งผากของชายคนนั้นที่มองมาอย่างมีความหวัง' เลนตัดสินใจไม่โทรออก แต่วิ่งลงไปหาซือที่บ้านพัก บ้านปิดไฟเงียบ ไม่มีสักแสงใด ลอดผ่านช่องหน้าต่างหรือบานประตู แต่รถมอเตอไซค์ยังอยู่
เลนเดินลนลานอยู่หน้าประตูสักพัก เมื่อเคาะเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบ เขาจึงตัดสินใจเดินไปที่มอเตอไซค์
****************************
ซือทิ้งกุญแจไว้ในตะกร้ามอเตอไซค์ให้เขาอีกตามเคย ดูเหมือนทุกคนที่นี่จะรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ไม่มีใครอยากคุยหรือปฏิสัมพันธ์กับเขา
ควรจะเป็นเรื่องดีอยู่... ความสงบเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องการ นับจากที่ซิงเกิลแรกถูกปล่อยลงในโลกออนไลน์ แต่ไม่ใช่วันนี้!
เขาขี่มอเตอไซค์ลงมาถึงในเมืองเช่นวันก่อน เขาจำได้ว่ามูลนิธิคริสเตียนแห่งนั้นตั้งอยู่เลยหอนาฬิกาไปเล็กน้อยจากที่ขับผ่านเมื่อวันก่อน ที่พักของมีนน่าจะอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น
เขาจอดรถที่หน้าอพาร์ตเมนต์หลังที่อยู่ถัดจากมูลนิธิ และเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่อพาร์ตเมนต์ซึ่งกำลังนั่งกินขนม ดูหนังเกาหลีอยู่ด้วยสีหน้าฟินๆ
"พอจะรู้จักผู้หญิงชื่อมีนไหมครับ"
เจ้าหน้าที่หอเป็นเด็กสาววัยรุ่น แต่งหน้าแต่งตัวจัดๆเกินๆ ถักเปียสองข้างและติดกิฟท์เต็มตัว เธอหันมาจ้องเขา และเบิกตากว้างแทบถลน ขนมหล่นออกจากปาก
เลนใจหายวาบ และคิดว่าเธอคงจำเขาได้
"อปป้า!!! เหมือนอปป้ามากเลยอะ"
ประโยคต่อมาทำให้เขาโล่งแม้จะทะแม่งๆ
เธอกระแอมไอและเริ่มส่งสายตาเจ้าชู้ "เมื่อกี๊ถามหาใครนะค้าาา"
"คนชื่อมีนพักอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ"
"กรี๊ดดดดดด" อยู่ๆเธอก็แหกปากลั่นจนเขาตกใจ
"อปป้าเป็นแฟนพี่มีนเหรอค้า!"
"เฮ้ย ป่าว ไม่ใช่ครับ ผมแค่มีธุระกะเค้าเฉยๆ"
"ธุระอะไรอะมาจีบพี่มีนหราาาา"
สาววัยรุ่นถามซ่อกแซ่กไม่หยุดจนเขาเริ่มหงุดหงิด
"ไม่ได้จีบครับ แต่มีธุระสำคัญมาก ถ้าเค้าพักอยู่ที่นี่ก็ช่วยติดต่อให้ผมที"
"แหมมม อปป้าใจร้อนจังนะคะ" เด็กสาววัยรุ่นก็มีสีหน้าหงุดหงิดขัดใจไม่แพ้กัน แล้วหยิบโทรศัพท์มาคุยด้วยเสียงเหมือนกำลังพากษ์ซีรีย์อยู่
"อนนี่!!!" ฟังจากเสียงดูเหมือนทั้งสองจะสนิทกันดี "มีผู้ชายมาหาจ้าาาา ว้ายยย ฮิๆๆ ดีใจล่ะสิ"
เธอคุยกรี๊ดกร๊าดและหัวเราะเสียงดังจนวินมอเตอไซค์แถวนั้นหันมามอง
"แหมมม เห็นเงียบๆกินเรียบนะจ๊ะ"
เลนกระแอมไอและมีสีหน้าอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ
"ขอโทษครับ ถ้าติดต่อได้แล้ว ช่วยเร่งเค้าลงมาหน่อย"
ยังไม่ทันขาดคำ เขาก็เห็นใครบางคนวิ่งตึงตังลงบันไดมาในชุดนอน ผมยังไม่ทันแห้งดี และแนบหูโทรศัพท์ค้างอยู่
"ไหนวะป๋อม" มีนเดินตรงมาหาเด็กสาว
"นี่ไงค้าาาา อปป้าของอนนี่" สาววัยรุ่นแซวกระแซะเสียงดัง และหลิ่วตามาทางเขา
มีมเห็นเขาและมีอาการเหวออย่างเห็นได้ชัด
แขกแปลกหน้ายามวิกาล เธอคงไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่ ในเวลานี้ ...เขาเองก็เช่นกัน
****************************
เขาและเธอนั่งประจันหน้าที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งซึ่งเป็นร้านอาหารเพียงไม่กี่แห่งที่ยังเปิดยามดึก ในเมืองเล็กๆสงัดเงียบริมชายทะเล
"ผมไม่รู้ว่าควรจะแจ้งความดีหรือเปล่าถึงได้ลงมาปรึกษาคุณ"
สีหน้าของเธอดูลำบากใจไม่ต่างจากเขา ทำให้เลนรู้สึกผิดที่แบกเอาเรื่องเครียดลงมาให้เธอถึงที่นี่
"คุณลังเลที่จะแจ้งความก็ถูกแล้วค่ะ เพราะสิ่งที่เค้าทำคือการมาสารภาพ ด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ"
เลนนึกถึงแววตาอันโล่งเหมือนปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากทุกพันธนาการ ดวงตาของเขาเจิดจ้าเหมือนกลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากพูดถึงสิ่งที่ได้ทำจนหมดแต่ต้น และเลนทำได้แต่นิ่งฟังด้วยความเงียบจนจบ ชายคนนั้นก็เดินออกไปจากโบสถ์ โดยต่างคนต่างไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
"คุณคงรู้สึกผิดถ้าจะเอาเรื่องที่เขาสารภาพผิดในโบสถ์ไปบอกต่อ"
"แต่… แต่ผมไม่ใช่บาทหลวง แล้วความยุติธรรมของเหยื่อล่ะ ถ้าผมรู้ว่าใครเป็นฆาตกร แต่ผมไม่แจ้งตำรวจ ผมจะ...ผมจะ...ทำผิดต่อเหยื่อไหม"
เธอมองเขาอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคนั้นจากเขา อาจเพราะบุคลิกของเขานับแต่นาทีแรกที่เธอรู้จักไม่เคยมีมุมนี้หลุดให้เห็นมาก่อน
"คุณคิดแบบนั้นก็ถูกแล้วค่ะ คุณไม่ใช่บาทหลวง แต่คุณก็ไม่ใช่ตำรวจเหมือนกัน ดังนั้น ทุกอย่างก็อาจไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณ"
เลนอึ้งเงียบไปก่อนจะมองเธอด้วยแววตาสับสน
"แล้วผมควรทำไง"
"แต่คุณเอาเรื่องนี้มาบอกชั้น ชั้นก็อยู่ในฐานะผู้รับรู้เหตุการณ์จากมุมนอก ซึ่งไม่มีอะไรฟันธงว่ามันเกิดขึ้นจริง และเหยื่อก็อาจจะยังไม่เสียชีวิตก็ได้ คุณแน่ใจว่าเขาไม่ได้เอายานพาหนะมาด้วย แต่เดินเท้าเข้ามา?"
เธอถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจและเขาพยักหน้า
"งั้นก็แสดงว่าที่เกิดเหตุน่าจะอยู่แถวๆนั้น เรารีบแจ้งหน่วยกู้ภัยก่อนว่าสงสัยจะมีการทำร้ายร่างกายกันอยู่ในละแวกนั้น พิกัดไม่น่าเกิน 3-4 กิโลเมตรจากโบสถ์"
เลนพยักหน้า ขณะที่มีนลุกออกไปโทรคุยกับเจ้าหน้าที่ เจ้าของร้านข้าวต้มก็หยิบรีโมทย์ทีวีมาเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น เพราะต้องการจะจดจ่อกับข่าวในโทรทัศน์
"เรื่องเกิดแถวบ้านเราเลย" เจ้าของร้านตะโกนคุยกับลูกน้องโหวกเหวก
เลนเงยหน้ามองโทรทัศน์ เป็นข่าวชายคนหนึ่งเข้ามามอบตัวกับตำรวจ เป็นจังหวะที่มีมวิ่งกลับมาที่โต๊ะแล้วแจ้งข่าวเขา
"เจ้าหน้าที่บอกว่ามีคนโทรเรียกให้ไปรับศพแล้วค่ะ เหตุเกิดที่หมู่บ้านบนเขาใกล้ๆโบสถ์เรานี่เอง"
เลนยังคงมองที่ทีวีค้างอยู่ มีมหันไปมองตามเห็นนักข่าวในโทรทัศน์กำลังรายงานข่าวว่าชายคนหนึ่ง มาสารภาพว่าฆ่าชู้รักของภรรยาโดยใช้มีดแทงหลายแผล เป็นการลงมือโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า และนักข่าวก็ออกความเห็นสมทบว่าจากสีหน้าของฆาตกร ดูไม่สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำเลย
มีมหันมาถามเลน "นั่นเขาเหรอ"
เลนพยักหน้าช้าๆ โดยที่ตายังจ้องไปที่ทีวี ชายคนที่เป็นฆาตกรนั้นถูกสวมกุญแจมือและถูกนำตัวไปคุมขัง แต่สีหน้าเขากลับเป็นอิสระเหมือนผีเสื้อโบยบิน มันเป็นสีหน้าเดียวกับตอนที่เขาก้าวขาออกจากโบสถ์เมื่อสารภาพบาปเสร็จ น้ำตาของเลนรื้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เขารีบก้มหน้าหลบและปาดมันออกอย่างรวดเร๋ว
โดยไม่รู้ตัว… แววตาของมีมที่มองชายหนุ่มตรงหน้าก็เย็นชื่นด้วยความหวังขึ้นมาเช่นกัน