4# ตอน สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

2054 Words
เมื่อผ่านไปหลายวัน จากซากที่พังเริ่มกลายเป็นบ้านเรือนกลับมาเรียงราย มีอาสาสมัครเข้ามาตรวจดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน พวกเขานำยาแก้ปวดมาแจกจ่ายให้กับผู้ป่วย จดรายชื่อคนที่มีความจำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าเมื่อใด เพราะศูนย์พยาบาลมีเตียงไม่เพียงพอ ดังนั้นจะรับคนที่มีอาการหนัก ทว่ามีแนวโน้มรักษาให้หาย ส่วนคนที่ประเมินแล้วว่าไม่รอดต้องรอดูว่าโชคชะตาจะเป็นอย่างไร “ในอีกสามวัน จะมีการนำเมล็ดข้าวโพดกับมันฝรั่งมาแจกเพื่อเพาะปลูก พวกเราก็ได้รับมันเพียงแต่จำนวนที่ได้มันน้อยมาก” “ดังนั้นนายจึงเหม่อลอยหรือ” “ฉันอยากหาวิธีเพื่อเพิ่มผลผลิต เพราะหากปลูกแล้วเราจะต้องส่งคืนเป็นภาษีเกษตร ถ้าจัดการไม่ดีเราจะไม่เหลืออะไรเลย ฉันทำงานกับลุงหวูมานาน ส่วนใหญ่นอกจากทำไร่มันเทศทำนาแล้ว เขาจะพาไปรับจ้างขายแรงงานเท่านั้น พืชผักเคยปลูกอยู่บ้างแบบพอกิน ไม่สวยงอกงามเหมือนคนที่ปลูกขาย” “อิงอิงเธอมีคำแนะนำมั้ย” “ย่าเคยสอนฉันในเรื่องนี้ เราเคยทำแปลงผักไว้กินเองไม่ซื้อ ย่าฉันท่านเป็นคนประหยัดอดออม ท่านใส่ใจทุกอย่างทั้งยังพร่ำสอนฉัน ดังนั้นนายอย่ากังวล เชื่อมือฉันเถอะ!” “ฉันไม่เอาไหนเลย ถ้าฉันมีความรู้มากกว่านี้อาจทำให้เธอสุขสบาย” “ตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบาก นายมองไปรอบๆ สิ ในบ้านเรามีปลาแห้งตุนเป็นอาหารไว้เพียบ หอยพวกนั้นตากเพียงสลด พอดองน้ำมันพริกเก็บไว้กินได้หลายวัน ถึงพวกเราจะกินแค่วันละมื้อแต่ยังได้กินเนื้อสัตว์ คนอื่นต้องดื่มเพียงน้ำ” “ถ้าตอนนั้นฉันได้เข้ากองทัพ เธออาจไม่ต้องลำบากมากนัก เธอมีความรู้ขนาดนี้ อาจได้เป็นคนที่โดดเด่น” “นายอยากไปหรือ! ตอนนี้...นายเสียใจแล้ว” เฟิ่งอิงก้มหน้าลง เธอกำลังรู้สึกหนักอึ้ง ถ้าอี้หานเกิดเปลี่ยนใจ หากเป็นเช่นนั้นจริงเธอจะสามารถอยู่ที่นี่ลำพังได้ไหม หัวใจบีบรัดมันหน่วง พอคิดว่าอี้หานผู้จิตใจดีตรงหน้าจะกลายเป็นจอมเผด็จการที่โหดร้าย แค่ให้บรรลุเป้าหมายเขาไม่สนวิธีการ เธอเชื่อความฝันของตัวเอง เธอไม่อยากไปที่นั่น กลายเป็นเครื่องมือให้เขา ไว้รอโตกว่านี้เธอค่อยย้ายไปที่อื่น อาจต้องตัดขาดการติดต่ออย่างสิ้นเชิง อย่างไรในฝันเขามีอนาคตที่ดี ต่างจากเธอที่กลายเป็นศพเย็นชืด “อย่าโทษตัวเองสิ! ฉันตัดสินใจแล้ว และตัดสินมันด้วยตัวฉันเอง ฉันไม่เสียใจ แค่รู้สึกว่าหากเลือกต่างไปจากเดิมมันอาจดีก็เท่านั้น ในตอนนี้เธอต้องช่วยฉันขัดไม้ให้เรียบ เรายังต้องซ่อมหลังคาที่มีรูให้สนิท อีกไม่กี่วันฝนน่าจะตก” ใช่! เขาต้องเลือกเส้นทางที่ต่างจากเดิม ไม่เช่นนั้นด้วยสิ่งปลุกเร้าและกฎข้อบังคับ จะบีบให้เขาต้องทำร้ายเธอ “อื้ม” เห็นเขามุ่งมั่น เฟิ่งอิงเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้น สองมือช่วยขัดไม้ให้เรียบ ขณะที่เธอผ่อนลมหายใจเล็กน้อย และแอบสังเกตสีหน้าอี้หานไปด้วย ถึงอย่างนั้นเธอไม่ได้วางใจเสียทั้งหมด ไม่ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ “อี้หาน! เฟิ่งอิง! พวกเธออยู่มั้ย” “ใครมา เดี๋ยวฉันลุกไปดู” “เราไปด้วยกันเถอะ” “ได้” เมื่อเดินออกมาหน้าบ้านเห็นว่าเป็นนางจี คนในหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งคู่หันสบตากันครู่หนึ่งเพราะไม่ได้สนิทสนมกับคนตรงหน้านัก แต่เห็นสีหน้าร้อนรนจึงไม่สามารถนิ่งเฉยได้ ต้องเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง “น้าจีมีอะไรหรือ ทำไมถึงมาหาพวกเราครับ” “เธอพอจะมียาลดไข้เหลือบ้างรึเปล่า น้าถามคนแถวนี้พวกเขาล้วนปฏิเสธที่จะให้ ถือว่าน้าขอร้องพวกเธอล่ะ! แบ่งให้น้าสักครึ่งเม็ดก็ยังดี” “เดี๋ยวก่อนค่ะ! มีอะไรค่อยๆ พูดเถอะ มันเกิดอะไรขึ้นคะ? คนที่บ้านน้าป่วยหรือ” “ใช่แล้ว! อาเป่าไม่สบายตัวร้อนจี๋เลย ยาในบ้านถูกนำมาป้อนแต่อาการยังไม่ดีขึ้น จะไปหาหมอก็ไม่มีเงิน สามีน้าก็วิ่งไปยืมคนรู้จัก พวกเขาต่างลำบากไม่มีให้ น้าจนปัญญาไม่รู้ว่าจะทำยังไง ถึงบากหน้ามาถามเธอ” “ก่อนหน้านี้น้าให้อาเป่ากินยาอะไรไปบ้าง ทำไมอาการเขาจึงหนักอยู่” “เป็นยาสมุนไพรที่เก็บไว้นานแล้ว ยาเม็ดที่ทหารแจก สามีน้ากินแก้ปวดเข่าไปหมดตั้งแต่วันแรก ไม่คิดว่าอาเป่าจะป่วยอีกคน เขาเพิ่งสี่ขวบเท่านั้น” “อิงอิงจะเอายังไงดี ยาพวกนั้นเราขายไปหมดแล้ว” อี้หานพูดอย่างลำบากใจ เพราะต้องการเสื้อผ้าไว้ใส่ สองคนจึงตกลงแลกเปลี่ยนด้วยยาทั้งหมดเมื่อวาน คำพูดของเขา เหมือนค้อนที่ทุบแสงสว่างเดียวในใจนางจี ตอนนี้ทั่วหมู่บ้านไม่มีใครมอบยาให้ตนได้ คนที่เต็มใจช่วยกลับไม่มีของ คนที่มีของไม่ยินดี “โอ้หมดกัน! หรือว่าฉันต้องทนมองลูกป่วยตายจริงๆ” “น้าจีคะใจเย็นก่อน! ช่วยเล่าอาการของอาเป่าให้ฉันฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง ตอนนี้ยาไม่มีแล้วก็จริง แต่เราต้องลองเสี่ยงเพื่อช่วยเขา มันต้องมีสักทางสิ” “บอกเธอแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร!” นางจีตวาดลั่นมองเฟิ่งอิงอย่างโมโห ในใจกล่าวโทษเด็กสาวที่ขายยาเหล่านั้น ยังผลักเธออย่างแรง หากไม่เพราะอี้หานรับเธอไว้คงหงายหลังล้มลง “อิงอิง! เธอเป็นอะไรไหม” “ฉันไม่เป็นไร แค่ตกใจ” “น้าจีครับ ผมรู้ว่าน้าเสียใจ แต่ว่าน้าทำแบบนี้กับเราไม่ได้ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็เดือดร้อนทั้งนั้น” “เพราะแกขายยาพวกนั้น! คอยดูนะถ้าอาเป่าของฉันเป็นอะไรฉันจะให้แกตายเหมือนกัน” “ทำไมน้าถึงโทษผม? แบบนี้มันไร้เหตุผลมาก ไม่ใช่ว่าผมไม่ช่วยแต่ช่วยไม่ได้ อีกอย่างยามันเป็นของผมไม่ใช่ของน้า!” “อี้หานใจเย็นก่อน นายอย่าโกรธน้าจีเลย ตอนนี้น้าเขากำลังเสียใจ” “เสียใจแล้วมาขู่ฆ่าคนอื่นได้หรือ ทั้งหมู่บ้านมีแค่เรารึไง ไม่ว่าใครก็ลำบากทั้งนั้น” “แก! แกมันไร้หัวใจ! แกไม่รู้หรอกว่าการที่ฮึก! ต้องทนมองลูกตายมันเป็นยังไงฮื่อ อาเป่าคือลูกชายคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฉันนะ ลูกคนอื่นเขาตายตอนเกิดสงครามหมดแล้วฮา!” “....” เขายังหงุดหงิดคิดจะพูดอะไรสักคำ เฟิ่งอิงจึงลูบอกที่เต็มไปด้วยความโกรธของอี้หาน เธอส่ายหน้าไม่ให้ถือสานางจี เพราะรู้ว่าหัวใจของมารดามันเหวอะจนแทบไม่เหลือชิ้นดี เรื่องนี้เธอเองก็ได้ยินมา บ้านน้าจีเดิมเป็นครอบครัวใหญ่ มีพ่อแม่สามีครอบครัวน้องชายอีกสามบ้าน น้าจีกับสามีเป็นบ้านสาม ทั้งคู่มีลูกมากถึงหกคนเป็นชายสี่หญิงสอง แต่ละคนอายุน้อยๆ กันทั้งนั้น พอมีสงคราม ทำให้สมาชิกในบ้านทยอยจากไป ทั้งจากแรงระเบิดและความหิวโหยจนป่วย ตอนนี้จากยี่สิบกว่าคนเหลือแค่สามคนคือครอบครัวน้าจีกับสามี แรงกดดันนี้คงเก็บไว้มานาน เมื่อทนไม่ไหวจึงพังทลายลง เหมือนกำแพงสูงที่พยายามยืนอยู่กลางพายุ ทว่าอิฐก้อนสุดท้ายแตกออกจึงล้มลงสลายกลายเป็นฝุ่นดิน “เอ่อ..! น้าจีคะ” ปล่อยคนร้องไห้ฟูมฟายจนผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งอิงจึงทำใจกล้าเดินเข้าไปหา นั่งยองลงข้างๆ มีอี้หานที่เฝ้าระวังเผื่อว่าคนจะบ้าอาละวาดขึ้นมาอีก “เมื่อกี้..! เป็นฉันที่ทำร้ายเธอ อย่าถือสาคนแก่อย่างฉัน เอาเป็นว่าฉันจะไม่มารบกวนพวกเธออีก” นางจีปาดเช็ดน้ำตา พอมีสติให้อับอายที่อาละวาดด่าคนแบบนั้น อี้หานพูดถูกทั้งหมู่บ้านทุกคนล้วนปฏิเสธเธอ เขาไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยแต่ไม่มีให้ อย่างไรอยู่ร่วมหมู่บ้านในอนาคตต้องพบหน้าเสมอ การที่สาปแช่งคนอื่นอาจทำลายตัวเองในภายหลัง “น้าคะ ฉันไม่โกรธที่น้าทำแบบนั้น แต่ฉันยังอยากรู้อาการของอาเป่า น้าบอกว่าเขาป่วยจนกินยาทั้งหมดแล้ว แสดงว่าเป็นมาหลายวัน ช่วงนี้ยังมีไข้สูงตลอดเวลารึเปล่า” “ที่จริงก็ไม่ตลอดเวลาเท่าไหร่ เป็นฉันที่บ้าไปเอง ฉันกลัวลูกจะตาย” พูดไปพูดมายิ่งหน้าแดงเสียงตะกุกตะกัก เมื่อกี้เหมือนคนบ้า อีกนิดจะบีบคอคนอื่นแล้ว เฟิ่งอิงเพียงยิ้มบางไม่ได้กล่าวตำหนิ ยังหันไปมองอี้หานอย่างทะเล้น แต่เขายังทำหน้าเข้มขึงขัง “แสดงว่าไข้ของเขามาเป็นพักๆ แล้วเขายังมีสติคุยรู้เรื่องไหมคะ” “บางครั้งก็คุยรู้เรื่องจนวันนี้อาการเขาแย่ลง ฉันไม่รู้จะทำยังเลยสติแตกอย่างที่เห็น” “แล้วน้าได้เช็ดตัวให้เขารึยัง” “เช็ดตัวหรือ? ปกติก็เอาผ้าแปะหน้าผาก ไม่รู้ว่าต้องเช็ดด้วย เขาหนาวขนาดนั้นจะไม่ยิ่งทำให้แย่” “เวลามีไข้ขึ้นสูง ยิ่งตัวร้อนมากยิ่งอันตราย ดังนั้นจึงต้องเช็ดตัวค่ะ หลายคนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน คิดว่าเป็นไข้แล้วต้องห่อผ้าให้หนา ห้ามโดนความเย็น แต่แบบนั้นคือสิ่งที่อันตรายมากเพราะไข้จะยิ่งสูง อาจทำให้ชักและถึงขั้นที่ว่า...” “หา! มีเรื่องแบบนั้นด้วย เพราะแบบนี้รึเปล่าอาการเขาที่ดูไม่หนักถึงแย่ลง ฉันคิดว่าต้องห่มผ้าให้ลูกหลายชั้น” “ไม่ดีค่ะ! น้าลองดู อย่าให้ผ้าหนาเกินไป หมั่นเช็ดตัวให้เขาบ่อยๆ ป้อนน้ำอุ่นเยอะๆ เพื่อลดอุณหภูมิไข้ ถ้าเขาดีขึ้น ก็หาน้ำแกงหรืออะไรที่เป็นอาหารอ่อนหรืออาหารเหลว คนนอนซมมาหลายวันต้องกินบ้างถึงจะมีแรง” “อ้อ! ถ้าเป็นไปได้ ให้ต้มน้ำใส่น้ำตาลแดงสักช้อน กับเกลือนิดหนึ่ง ป้อนเขาตอนอุ่นให้จิบบ่อยๆ คืนนี้ลองทำตามที่ฉันบอกดูก่อน อย่างไรก็ไม่มียาแล้ว ดีกว่าปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไร” “ได้! ยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่มีทางเลือก เอาเป็นว่าฉันจะฟังเธอ” นางจีได้ยินจึงมีความหวังอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้เชื่อคำพูดของเฟิ่งอิงนัก รู้สึกว่าถ้าทำตามลูกของเธอจะหาย จึงหมุนกายวิ่งกลับบ้านรีบไปเช็ดตัวให้ลูก “เฮ้อเธอไม่น่าเข้าไปยุ่ง! เกิดว่าเด็กคนนั้นไม่รอด น้าจีจะต้องมาอาละวาดเราอีกแน่ เขาจะกล่าวหาเธอโทษที่ทำให้ลูกตาย” “ฉันรู้ แต่ฉันอยากช่วยอาเป่า คนทั้งคน บางทีเขาอาจไม่เป็นไร อีกอย่างยิ่งเราไม่สนใจยิ่งสร้างความแค้นให้ครอบครัวนั้น อย่างที่พวกเขาบอก ตอนนี้มีคนตายมากเกินไป ฉันไม่อยากเป็นหนึ่งในสาเหตุ มันคงรบกวนจิตใจฉัน” “จะพูดแบบนั้นได้ยังไง เราไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่อง กลับเข้าบ้านกันเถอะ” เพราะคนเรามองแต่ตัวเอง ต้องการให้คนอื่นช่วยพอไม่ได้ดังใจก็ก่นด่าสาปแช่ง พวกเขาไม่มีสำนึกดีชั่วใด เพราะแบบนี้อี้หานจึงไม่สุงสิงกับใคร ยิ่งสนิทยิ่งปวดหัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD