“นั่นพวกน้าจะทำอะไร! ทำไมถึงบุกเข้ามาในบ้านฉัน ฟ้ามืดแล้วไม่สะดวกรับแขก กรุณาถอยออกไป”
ตอนนี้มีปัญหาใหม่เข้ามา หลังจากอี้หานกับเฟิ่งอิงช่วยกันซ่อมบ้านให้พออยู่ได้ เธอขอแยกไปทำธุระส่วนตัว จากนั้นมีกลุ่มคนไร้ยางอายคิดจะบุกมาขออยู่ด้วยหน้าตาเฉย พวกเขาอ้างถึงความลำบาก ซึ่งอี้หานโล่งใจมากที่เด็กสาวไม่อยู่ เขากำลังยืนจังก้าขวางไว้อย่างไร้ความกลัวเกรง ด้วยรู้จักนิสัยสันดานอันแย่ของคนครอบครัวนี้
“โอ๊ยอย่าใจดำนักเลย! บ้านหลังเบ้อเร่อ แค่ให้พวกเราอยู่ด้วยไม่กี่คนจะมาขวางทำไม”
“หลังใหญ่ที่ไหนกัน! นอกจากห้องที่พออยู่ได้สองคน รอบๆ ก็มีแต่ซากพังยังไม่รับการซ่อม พวกน้าเองก็มีบ้าน กลางวันกลับไม่ทำอะไรไม่ใส่ใจซ่อมแซม แต่จะมาแย่งที่นอนคนอื่น คิดจะเอาเปรียบกันแบบนี้ฉันไม่มีทางยอม”
“แย่งอะไรห้ะ! แกพูดให้มันดีๆ หน่อย เป็นเด็กที่เพิ่งเกิดกล้าพูดกับผู้อาวุโสแบบนี้ แกนะแก! อยากเจอดีนักใช่มั้ย” ลูกชายถกแขนเสื้ออาศัยร่างที่ใหญ่กว่าคุกคามให้คนหวาดกลัว แต่อี้หานกลับยืนที่เดิมอย่างสงบนิ่ง ทว่าหากมีคนเดินหน้าเขาจะขยับตามเช่นกัน ความถือดีนั่นมันช่างน่าหงุดหงิด
“หน็อย! ใครบ้างไม่รู้ว่าบ้านนี้เป็นของตาหวู คนตายไปแล้วลูกจ้างอย่างแกกลับมายึดไว้เอง ฉันกับลูกๆ จะอยู่ ไอ้เด็กเวรแกหลบไป!”
“แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้บ้านเป็นของฉันแล้ว ทางการรับคำร้องขึ้นทะเบียนบ้านในชื่อฉัน ดังนั้นฉันที่เป็นเจ้าของบ้านจะให้ใครเข้ามาโดยพลการไม่ได้ ยิ่งกับคนที่เห็นแก่ตัวไม่มีวัน!”
“หาที่ตาย! เด็กที่ไม่รู้จักเคารพเพื่อนบ้านอย่างแกมันต้องถูกสั่งสอน ยืนบื้อทำไมอัดมันสิ!”
สามคนแม่ลูกกรูเข้าไปทำร้ายร่างกายอี้หาน ถึงเขาจะพยายามสู้กลับแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ อีกทั้งคนพวกนั้นไม่มีความเมตตา พวกเขาแทบจะอยากตีคนให้ตาย ต่างกับอี้หานที่ต้องการสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ไม่ใช่เพื่อทำร้ายอีกฝ่ายให้บาดเจ็บ และเขาอดอยากมานานเรี่ยวแรงแทบไม่มี มันจึงยากที่จะล้มคนที่ตัวโตกว่าสามคน ผลลัพธ์ย่อมเห็นชัดเป็นรูปธรรม เพราะในตอนนี้อี้หานนอนขดตัวอยู่บนพื้น ถูกทั้งไม้กระหน่ำฟาดและเท้าที่ถีบยันเตะ เขาเจ็บมาก รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย
ผลัวะ! ตับ! เตะร่วงตุบ!
“อั๊ค!”
“ตีมัน! ตีเข้าไป เอาให้ตายไปเลย! บ้านหลังนี้จะได้เป็นของเรา”
เฟิ่งอิงที่เดินกลับมาได้ยินเสียงร้องเจ็บปวด หัวใจเธอหล่นวูบจึงเร่งฝีเท้ามาดู พอได้เห็นว่าเป็นอี้หานที่ถูกรุมตีจึงร้องตะโกนห้ามปราม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ถ้ายังไม่หยุดฉันจะแจ้งทหาร จะบอกว่าพวกคุณปล้นสะดมก่อความวุ่นวาย ในตอนนี้ยังมีกฎข้อบังคับรักษาความสงบ ใครที่ไม่เชื่อฟังจะถูกส่งไปเขตฟื้นฟูสงคราม” เสียงแผดคำรามดังนางเสือป่า ดวงตาเธอแดงเรื่อน้ำตาคลอเบ้า ทั้งตกใจ เธอแค่ออกไปทำธุระครู่เดียวทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
ตอนนี้เธอโกรธมาก สภาพของอี้หานย่ำแย่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดออก เขาต้องเจ็บปวดเพียงใด ยาที่ได้รับจากทหารมีไม่พอรักษาเขา และเธอไม่มีเงินจะพาไปซื้อ
ทว่าขณะที่ความคิดของเธอลอยออกไปไกล ได้ถูกเสียงหัวเราะของกลุ่มผู้บุกรุกดึงสติให้กลับมา พวกเขาไม่มีท่าทีว่าจะล่าถอย แต่กลับฮึกเหิมลำพองแสดงด้านมืดที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
“ฮะฮ่าฮ่า! คิดว่าจะไปแจ้งทหารรึ จะเอาพวกเราไปมัดรวมเป็นนักโทษเนี่ยนะ โอ้สาวน้อยความคิดของแกมันยิ่งใหญ่ ฉันอาจจะหวั่นใจถึงเรื่องนั้นก็ต่อเมื่อ... แกรอดไปได้นะ!”
เห็นเขาแบกไม้ตั้งท่าจะเดินเข้ามาหา อี้หานร้อนรนบอกให้เธอหนีไป คนพวกนี้ไม่หลงเหลือคุณธรรมใด พวกเขาพร้อมทำทุกอย่างให้ตัวเองได้ในสิ่งนั้น
“อิงอิงหนีไปซะ! ไปหาเจ้าหน้าที่ ไปสิไม่ต้องเป็นห่วงฉัน!”
“หุบปากน่า!”
ผลัวะ!
“อั๊ค” ถูกกระทืบซ้ำลงมา อี้หานจุกจนตัวงอ
เฟิ่งอิงกัดฟันกรอด มองแล้วแก้มแดงก่ำเลือดสูบฉีดสองมือกำหมัดแน่น ดวงตาที่คล้ายจะร้องไห้แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์คั่งแค้นดุดัน เธอต้องทำอะไรสักอย่าง
“คิดว่าฉันไม่เตรียมพร้อมหรือ ฉันทำข้อตกลงบางอย่างกับรองผู้บัญชาการแล้ว การที่ฉันปฏิเสธไปค่ายไม่ได้แปลว่าฉันจะไม่ติดต่อกับพวกเขา” นัยน์ตาที่แดงนั้นคือคนที่โกรธจัด เธอเชิดหน้าขึ้นอวดดีอย่างไม่กลัวเกรง กวาดมองพวกเขาทีละคนอย่างเย็นชา
“คิดว่าฉันจะไม่รู้ว่ามีคนอย่างพวกคุณ ที่จ้องขโมยข้าวสารในกระสอบคนอื่น ฉันรู้และระวังอยู่เสมอนั่นแหละ รวมถึงทหารก็เช่นกัน”
“ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ มีคนที่คิดไม่ดี ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากคนอื่น ลองถ้าฉันหายไปหรือเพียงถูกทำร้าย รายชื่อของผู้ต้องสงสัยในละแวกนี้และข้างเคียงจะถูกนำไปตรวจสอบ”
“ถุย! ถุย! คิดว่าขู่แค่นี้จะทำให้ฉันกลัวรึ แกมันคือตัวอะไร แค่คนที่ถูกโยนทิ้งไว้เท่านั้น ถึงสงครามข้างนอกจะจบลง แต่ในประเทศยังไม่สงบ ไหนจะต้องฟื้นฟูอีกมาก ทหารไม่ว่างมาสนใจเด็กกำพร้าอย่างพวกแก!”
วาจาโอหังของเฟิ่งอิงไม่ได้ทำให้สามแม่ลูกตกใจ พวกเขาพากันถ่มน้ำลายแล้วตะเบ็งเสียงสู้กลับ เพียงแค่เด็กสาวเด็กหนุ่มหายไปใครจะสนใจ ด้านนอกมีศพน้อยเมื่อไหร่แค่มีคนตายเพิ่มขึ้นทหารที่มีงานล้นมือเขาจำเป็นต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้
“ขู่หรือ? คนที่รู้หนังสือเติบโตมาอย่างดี ฉันมีสมองที่ชาญฉลาด สามารถช่วยเหลือประเทศได้ ทรัพยากรที่มีคุณค่ากับสวะที่เอาแต่สร้างปัญหา พวกแกว่าทหารเขาใส่ใจใคร” เฟิ่งอิงเบ้ปากคว่ำกล่าวคำพูดเหยียดหยาม เป็นครั้งแรกที่เธอดูถูกคนอื่น
“โอ้แกบอกว่าตัวเองฉลาดรึ! หลงตัวเองเกินไปแล้ว ฉันก็ฉลาดเหมือนกัน เห็นมั้ยว่าฉันทำอะไรกับเพื่อนแกบ้างในตอนนี้”
“แกก็เห็นว่าฉันและอี้หานสามารถพูดคุยกับทหารได้ พวกเขายังทำดีกับเรา แต่แกล่ะ มีสมองไว้เสียเปล่า คนที่ไม่มีปัญญาต้องวิ่งมาแย่งของคนอื่น”
“แกว่าใครห้ะ! นังตัวดี!”
“ทำไมเล่า? รับความจริงไม่ได้ว่าตัวเองโง่! มาสิ แน่จริงตีฉันเลย รับรองว่าถ้าทำฉันเจ็บ แกจะไม่ได้ตายดี!”
“ยัยเด็กนี่! แกอยากตายจริงๆ ใช่มั้ย” หญิงอายุมากกว่ากระทืบเท้าเดือดดาล ไม่คิดว่าตนที่ปากคอจัดจ้านจะเถียงสู้เด็กสาวคนหนึ่งไม่ได้ ลูกชายสองคนเองก็โกรธแล้ว แต่พวกเขาเห็นว่าเธอผยองอวดดีเช่นนี้ ในใจจึงเริ่มลังเลขึ้นมา หากที่พูดเป็นความจริงพวกเขาจะไม่เดือดร้อนหรือ
“แม่ พวกเราเอายังไงดี”
“ไปแบบนี้ไม่ได้มันขายหน้า ต้องทำให้ยิ่งใหญ่เข้าไว้” ถึงจะเริ่มลังเล แต่คิดว่ามันจะเสียหน้าหากจากไปเฉยๆ อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นแค่คำขู่เท่านั้น อย่างน้อยขอให้ได้สั่งสอนคนสักหลายๆ ที เพื่อเป็นการกู้คืนศักดิ์ศรี
“เหอะ! ยัยหนูอย่างแกพูดจาโอ้อวดเกินจริง ฉันอยากรู้เหมือนกัน ถ้าหน้าแกมีฝ่ามือฉันประทับจนปากฉีก พวกทหารจะมาจริงไหม”
“เข้ามาสิ!”
แกร็ก! วัตถุสีดำที่คุ้นตาถูกยกขึ้นมาปรากฏเบื้องหน้า ทำเอาสามคนที่คิดจะพุ่งทำร้ายกระโดดถอยหนีจนล้มหงายไปคนละทาง อี้หานเองที่กำลังจะห้ามยังตกตะลึงจนลืมเจ็บชั่วคราว เขาสงสัยว่าเธอไปเอาสิ่งนั้นมาจากไหน
“ว้ายตาเถร! นะนี่ ยายหนู! แก แกอย่ายิงนะ! เกิดลั่นขึ้นมามันจะแย่นะ วางลงก่อน”
“ใช่ๆ เธอไม่ควรหันมาทางนี้ ว้าก! ชี้ไปทางอื่นสิ!”
“ใช่แล้ว แทนที่ฉันจะขอความช่วยเหลือจากทหาร ฉันควรทำตัวเป็นพลเมืองดี กำจัดโจรชั่วให้บ้านเมืองสงบ อี้หานบาดเจ็บแบบนี้ ฉันสามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อป้องกันตัวได้โดยไม่มีความผิด”
“เฮ้ยน้องสาว! ปืนมันไม่มีตานะ! วางลงก่อนใจเย็น”
“แต่ฉันไม่อยากวาง จะให้เล็งที่ใครดี ที่หัวของนาย หรือปากของแม่ของนาย หรือว่าหัวใจน้องชายนาย”
“แม่! แม่เอายังไง! ยัยนี่บ้าไปแล้ว!”
“เอายังไงเล่า! ก็เผ่นสิ จะอยู่ให้มันยิงไส้แตกรึ”
“คิดว่าจะไปก็ไปได้รึ! หยุดเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นฉันยิง”
กึก! พวกเขาไม่สามารถก้าวขาไปข้างหน้าได้อีก เฟิ่งอิงดูสุขุมเด็ดขาดมาก คำพูดของเธอมีอำนาจจนไม่ทำตามไม่ได้
“อิงอิง” อี้หานยันกายลุกขึ้น ขณะที่เฟิ่งอิงเดินมาหาเขาเพื่อช่วยประคอง เธอไม่ได้ลดความระวังลง ปืนในมือยังถูกเล็งออกไปยังคนใจร้าย
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่นี้ ของเล่นในมือฉันมันพร้อมทำงานแล้ว อีกทั้งยังเป็นรุ่นพิเศษ เสียงไม่ดังมากอาจเบากว่าประทัด ดังนั้นถ้ามันลั่นออกไป คนอื่นจะไม่ได้ยิน” ความจริงเธอไม่ทราบ รู้แค่ต้องใช้ยังไง และเธอหวังอย่างยิ่งว่าจะไม่ต้องยิงใคร
“...!” คำพูดของเฟิ่งอิงทำให้สามคนสะดุ้ง ถึงพวกเขาจะไม่เคยได้ยินว่ามีปืนแบบนั้น แต่ก็เห็นว่ามันอยู่ในมือเธอ ที่สำคัญเธอยังน่ากลัวมาก ไม่เหมือนในเวลาปกติ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน
“แล้วเธอจะทำยังไงกับพวกเขา จะจับส่งทหารจริงนะหรือ”
“แม่หนู! เธอปล่อยเราไปเถอะนะ พวกเราแค่ขาดสติไปชั่ววูบ เราไม่ได้ตั้งใจเลย!”
“ใช่ๆ แม่ฉันพูดถูก น้องสาวพวกเราไม่ใช่คนไม่ดี ต่อไปจะไม่มารบกวนพวกเธออีก สาบานเลยเอา!”
“สุนัขแก้นิสัยกินอาจมไม่ได้ คิดว่าฉันจะเชื่อพวกนายรึ”
“แต่ไหนแต่ไรนายกับครอบครัวก็ชอบแย่งชิงรังแกคนอื่น วันนี้ฉันปล่อยไป นายกับแม่ของนายไม่มีทางปล่อยฉันอยู่ดี”
“ไม่อย่างนั้นเธอจะทำยังไง เธอคง... ไม่คิดจะยิงพวกเราใช่มั้ย!”
“นายคิดว่าฉันไม่กล้า”
“ปะเปล่า! แต่ แต่บ้านเมืองมีกฎหมาย เธอจะยิงปืนมั่วๆ ไม่ได้”
“ฉันจะทำเหมือนที่นายทำกับอี้หาน ใช้กฎหมู่เหมือนที่นายทำไง”
“อี้หาน นายกินยานี่ก่อน ตรงนั้นมีเชือกที่ฉันเก็บมา ใช้มันมัดพวกเขาไว้”
“มัดคน นั่นเธอจะทำอะไร จับส่งเจ้าหน้าที่รึ”
“แบบนั้นไม่ได้สิ ฉันมีวิธีที่ดีกว่า อย่างเช่น! ขายเลือดพวกเขา หรือไม่ก็ผ่าเอาอวัยวะ ได้ยินว่ามีคนไม่น้อยที่ต้องการมัน โดยเฉพาะพวกเศรษฐีที่บาดเจ็บจากระเบิด ราคาจึงพุ่งสูงมาก”
“หา! มะไม่! ไม่นะฉันไม่อยากถูกผ่า!”
“ฮื่อๆ ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นเลย! ฉันขอล่ะ ขืนโดนเจาะเอาตับไตไป ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้”
“แกต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ทำกับอี้หาน จงเลือกมา ในพวกแกสามคนใครจะยอมโดนผ่าเอาเครื่องใน!”
เฟิ่งอิงเมินเฉยต่อคำอ้อนวอน ถึงอย่างนั้นเธอยังให้โอกาสกับพวกเขา ให้เลือกว่าใครกันแน่ที่จะเป็นผู้เสียสละ
“แม่ แม่แก่แล้วแม่ยอมเถอะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลแม่เอง”
“ไอ้ลูกชั่ว! ฉันคือแม่แกนะ แกพูดแบบนี้ได้ยัง”
“มองฉันทำไม? ฉันคือลูกชายของแม่ ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์ใครจะแต่งงานด้วย ฉันยังต้องมีลูกเมียนะ แม่อายุปูนนี้แล้ว ยังไงต้องตายก่อนพวกเราอยู่ดี”
“อกตัญญู! พวกแกมันคือลูกทรพี!”