“ก็ยุ่งค่ะ แต่คุยได้แม่มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ...แม่ขอเงินหน่อยสิ พอดีจะเอาไปจ่ายค่าไฟ”
“ค่าไฟอะไรคะ เมื่อต้นเดือนหนูก็โอนค่าน้ำค่าไฟให้แม่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ” กานต์ธีราถามเพราะเธอโอนไปพร้อมกับเงินเดือนของแม่
“รู้ว่าโอนมาแล้ว แต่แม่เอาเงินไปใช้แล้วหามาคืนไม่ทัน” ญาณีพูดเสียงอ่อย
กานต์ธีราถอนหายใจแล้วอยากจะร้องไห้เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ ด้วยความอยากรู้เธอเลยตัดสินใจถามในสิ่งที่กลัวและระแวงออกมา
“แม่กลับไปเข้าบ่อนอีกแล้วใช่ไหมคะ”
“เปล๊า ไม่ได้ไปเข้าเลย ที่เงินมันหมดเร็วเพราะแม่ไปเล่นแชร์มือใหญ่ไว้แค่นั้นแหละ ที่ไม่บอกเพราะกลัวเกรซบ่นนี่แหละ” ญาณีพูดปฏิเสธเสียงสูงทันที
“แม่จะเล่นทำไม หนูเห็นแม่เล่นแชร์บ่อยแต่ไม่เคยเห็นได้เงินเลย แล้วแม่มาขอหนูยิบย่อยแบบนี้หนูจะเอาที่ไหนมาใช้ล่ะคะ” กานต์ธีราพูดออกมา
“ถ้าไม่ให้ก็ไม่ต้องมาบ่นขี้เกียจฟัง ไม่ให้ก็ปล่อยให้เขาตัดไฟไปอยู่มันมืด ๆ นี่แหละ” พูดจบญาณีก็วางสายไป ซึ่งก็เหมือนทุกครั้งที่เวลาทะเลาะกันท่านมักจะทำแบบนี้เสมอ และไม่ต้องคิดจะโทรไปหา เพราะโทรให้ตายแม่ก็ไม่รับสาย สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกเธอก็ต้องโอนเงินค่าไฟไปใหม่อีกรอบ เห็นทีต่อไปเธอคงต้องให้ตัดผ่านบัญชีธนาคารไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียซ้ำสองแบบนี้อีก
++++++
อัคนีเดินเข้ามาในบ้านตอนประมาณสองทุ่ม ทันทีที่เข้ามาเขาก็มองหากานต์ธีราแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหญิงสาว พอวารีเดินมาเขาเลยเอ่ยถามขึ้นมา
“กานต์ธีราไปไหนทำไมยังไม่ลงมาตั้งโต๊ะอีก”
“คุณเกรซเพิ่งกลับมาถึงเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ ตอนนี้น่าจะกำลังเตรียมเสื้อผ้าให้คุณไฟอยู่ในห้องค่ะ” วารีตอบ เพราะกานต์ธีราเพิ่งมาถึงก่อนอัคนีแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง
อัคนีนิ่งไปนิดเมื่อรู้ว่ากานต์ธีราเพิ่งกลับมาถึง ด้วยความอยากรู้เขาเลยเดินขึ้นห้องไปโดยที่ไม่ได้คุยกับใครต่อ เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นว่าเสื้อผ้าชุดนอนถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เห็นเงาของหญิงสาวเลย เขาเดินไปที่ห้องนอนของกานต์ธีราแล้วเคาะประตูเสียงดัง
“คุณอัคนี มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าจะอาบน้ำแล้ว” กานต์ธีราชะงักไปนิดเมื่อเปิดประตูมาแล้วเห็นคนหน้าดุยืนหน้านิ่งอยู่ที่หน้าประตู
“ทำไมเพิ่งกลับ ไปไหนมางานเลิกตั้งแต่ห้าโมงแล้วไม่ใช่เหรอ” เพราะเขาออกจากบริษัทก่อนห้าโมงเย็นเลยไม่รู้ว่ากานต์ธีรากลับบ้านตอนไหน
“ฉันนั่งหางานที่คุณสั่งเอาไว้อยู่ค่ะ พอหกโมงก็ออกจากบริษัทเลยถึงบ้านช้า”
“แล้วใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเลยหรือไง บริษัทกับบ้านผมก็ไม่ได้อยู่คนละจังหวัดนะ”
“ฉันนั่งรถเมล์มาค่ะ กว่ารถจะมาไหนจะรถติดอีก” กานต์ธีราบอกและอดแปลกใจไม่ได้ว่าลืมหรือไงว่ากรุงเทพฯ รถติดขนาดนั้นแล้วเวลาเลิกงานไม่ต้องพูดถึงเลย รถมาน้อยแต่คนรอขึ้นเยอะมาก
อัคนีนิ่งไปเพราะลืมคิดถึงข้อนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่มารับรู้ว่าลูกน้องและลูกหนี้จะไปกลับยังไง ขอแค่ไม่หนีหายไปก็พอ
“เดี๋ยวลงไปตั้งโต๊ะอาหารด้วย ผมหิวแล้ว” พูดจบเขาก็เดินกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยลงไปกินข้าว
ทุกครั้งที่อัคนีกลับมากินข้าวที่บ้านกานต์ธีราจะต้องนั่งร่วมโต๊ะเป็นเพื่อนกับชายหนุ่มทุกครั้ง บรรยากาศในแต่ละครั้งก็เหมือนเดิมนั้นก็คือมีแต่ความเงียบ แรก ๆ คนอื่นก็อึดอัด แต่นานวันไปก็ได้แต่ปลงและชิน เพราะทั้งอัคนีและกานต์ธีราต่างก็เป็นคนพูดน้อยกันทั้งคู่
“อีกหนึ่งชั่วโมงเข้าไปอาบน้ำให้ผมด้วย” คำพูดที่ดูเหมือนธรรมดา แต่สำหรับคนฟังต่างก็คิดไปต่างนานาทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรเกินไปมากกว่าที่กานต์ธีราไปนั่งหลับตาขัดหลังให้อัคนีเลย
...
กานต์ธีราเดินเข้ามาในบริษัทในช่วงเช้าของวันใหม่ด้วยท่าทางอ่อนเพลีย เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะทำงานเสร็จก็เกือบตีสามเข้าไปแล้ว นอนไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องตื่นแล้วไปทำหน้าที่ต่อ ทั้งเตรียมเสื้อผ้าและช่วยป้าแววทำอาหารมื้อเช้าให้อัคนี ส่วนอาหารมื้อกลางวันของตัวเองป้าแววก็ใจดีทำใส่กล่องให้ทุกวันทำให้เธอประหยัดค่าอาหารไปได้มากเลยทีเดียว
“พวกเธอหลบทางให้เด็กเส้นหน่อยสิ ดูท่าทางไม่มีแรงเดินไม่รู้ไปทำอะไร คงไม่ใช่นอนทำงานจนหมดแรงนะ” พนักงานสาวคนหนึ่งพูดเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นกานต์ธีราเดินผ่านมาทางนี้ และคำพูดนี้ทำให้คนแถวนั้นหันมามองกานต์ธีราเป็นตาเดียวกัน
“น่ารังเกียจจริง ๆ พวกใช้เต้าไต่เนี่ย” อีกคนพูดและเบะปากใส่ แต่ดูเหมือนว่ากานต์ธีราจะไม่สนใจเสียงนกเสียงกาเลยแม้แต่น้อย เธอยืนรอลิฟต์ด้วยท่าทางนิ่ง ๆ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งนิ่งก็ยิ่งถูกโจมตี
“ทำเป็นนิ่ง พูดไม่ออกล่ะสิถูกคนอื่นเขารู้ความคิดหมดแบบนี้”
“นี่ใกล้เวลาเข้างานแล้วทำไมยังนั่งจิบกาแฟสบายใจกันอยู่แบบนี้ล่ะคะ” เสียงนิ่ง ๆ ของใครบางคนดังขึ้นทำให้กลุ่มขาเมาท์ต้องหันไปมอง และพากันหน้าซีดเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มาพูดขัด
“ว่ายังไงคะ หรือว่าไม่อยากทำงานแล้วฉันจะได้ไปเรียนบอสให้ว่าพวกคุณอยากนั่งจิบกาแฟเล่น ๆ ที่บ้านกัน” ชลธิชาพูดเสียงนิ่งและใช้สายตากดดันทุกคน เมื่อพูดจบสภาขาเมาท์แกล้มกาแฟก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเลขานุการของเจ้านายตัวเองหรอก
ชลธิชาถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจที่ต้องมาเจอเรื่องไร้สาระแบบนี้
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเกรซ”
“ไม่เป็นอะไรคะ แค่นี้เองเกรซทนได้เพราะเกรซไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาพูดค่ะ” กานต์ธีราพูดและยิ้มขอบคุณให้หญิงสาวรุ่นพี่อย่างใจจริง
“พี่ไม่รู้ว่าระหว่างบอสกับเกรซเกิดอะไรขึ้น แต่พี่เป็นกำลังใจให้นะ พี่เชื่อว่าสักวันเรื่องแบบนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี” ชลธิชาพูดให้กำลังกานต์ธีราแล้วพากันเดินเข้าไปในลิฟต์
ระหว่างที่นั่งทำงานอยู่กานต์ธีรารู้สึกว่าตัวเองบ้านหมุนและเวียนศีรษะ อาการที่เกิดขึ้นเพราะนอนน้อยและความเครียดเรื่องของแม่ด้วย และอาการทุกอย่างที่เกิดขึ้นชลธิชาเองก็สังเกตเห็น
++++++