ณ ดินแดนที่ถูกลืมเลือนโดยแสงแห่งทวยเทพ... อาณาจักรเอรีดอร์กำลังจมดิ่งสู่ความมืดมิด ไร้สิ้นซึ่งความหวัง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆหมอกสีดำทะมึนอันเป็นผลพวงจากอำนาจของ "จอมมารเงามืด" อสูรร้ายจากขุมนรกที่ปรากฏกายขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ปราสาททมิฬของมันตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศเหนือ ประหนึ่งอนุสาวรีย์แห่งความสิ้นหวัง แผ่ขยายอาณาเขตแห่งความหวาดกลัวออกไปทุกขณะ สัตว์อสูรดุร้ายเพ่นพ่านไปทั่วแผ่นดิน หมู่บ้านแล้วเล่าถูกเผาทำลาย ผู้คนล้มตายดั่งใบไม้ร่วง เสียงกรีดร้องและความโศกเศร้ากลายเป็นบทเพลงกล่อมราตรีของเอรีดอร์
ท่ามกลางความมืดมิดนี้ ยังมีแสงเรืองรองแห่งคำทำนายโบราณที่ถูกกล่าวขานกันมารุ่นสู่รุ่น... "เมื่อความมืดกลืนกินแผ่นดิน แสงแห่งรุ่งอรุณจะจุติ ผู้กล้าจักปรากฏกายเพื่อพิชิตเงาทมิฬ นำพาสันติสุขกลับคืนมาอีกครั้ง" ผู้คนต่างเฝ้ารอคอย... อย่างสิ้นหวัง
ราวกับคำทำนายเริ่มบังเกิดผล ที่หมู่บ้านชายแดนเล็กๆ นามว่า "ซิลแวน" เด็กหนุ่มกำพร้าคนหนึ่งนามว่า อาริยะ ได้เติบโตขึ้นมา เขาแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ อาริยะมีดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นและความกล้าหาญเกินวัย เขามีพรสวรรค์ในการใช้ดาบและสัมผัสได้ถึงพลังงานศักดิ์สิทธิ์บางอย่างในตัวเอง ทุกครั้งที่หมู่บ้านถูกคุกคามจากสัตว์อสูร อาริยะจะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นสู้ ปกป้องผู้อ่อนแอ แม้จะด้วยกำลังเพียงน้อยนิดก็ตาม
ข่าวคราวความกล้าหาญของอาริยะดังไปถึงพระกรรณของ ราชาเธโอเดน กษัตริย์แห่งเอรีดอร์ ผู้ซึ่งกำลังอ่อนล้าจากการแบกรับชะตากรรมของอาณาจักร พระองค์ทรงเห็นแสงแห่งความหวังในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้ จึงมีรับสั่งให้อาริยะเข้าเฝ้า ณ กรุงหลวง "เอเธเรีย"
อาริยะเดินทางสู่เมืองหลวงด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยอุดมการณ์ เขาได้พบกับราชาเธโอเดน ผู้มีท่าทีเมตตาและอ่อนโยน แม้ว่าในบางขณะอาริยะจะรู้สึกเหมือนเห็นเงาบางอย่างพาดผ่านแววตาของพระองค์ หรือรอยยิ้มนั้นดูจะคำนวณบางอย่างอยู่ลึกๆ ราชาทรงมอบ ดาบศักดิ์สิทธิ์ "แสงอรุณ" (Dawnlight) ให้อาริยะ ดาบโบราณที่สืบทอดกันมาในราชวงศ์ ว่ากันว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อปราบปรามความมืดโดยเฉพาะ เมื่ออาริยะจับดาบนั้น แสงสีทองอ่อนๆ ก็ส่องสว่างออกมาจากตัวดาบ ราวกับตอบรับเจตจำนงค์อันบริสุทธิ์ของเขา
"เจ้าคือความหวังสุดท้ายของพวกเรา อาริยะ" ราชาเธโอเดนตรัส "จงไปปราบจอมมารเงามืด นำแสงสว่างกลับคืนสู่อาณาจักรของเรา"
อาริยะคุกเข่ารับบัญชา "ด้วยชีวิตของข้าพเจ้า ข้าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!"
การเดินทางของผู้กล้าได้เริ่มต้นขึ้น เขาไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง แม่ทัพกาเลน ชายร่างกำยำผู้มากประสบการณ์และภักดีต่อราชบัลลังก์ อาสาเป็นที่ปรึกษาและสหายร่วมรบ เคียงข้างด้วย เอลาร่า นักบวชหญิงผู้มีพลังในการเยียวยาและจิตใจที่อ่อนโยน และ โรนิน นักธนูพเนจรผู้เงียบขรึมแต่มีฝีมือฉกาจ พวกเขากลายเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย
คณะของผู้กล้าเดินทางผ่านป่าต้องสาป ข้ามภูเขาน้ำแข็ง และทะเลทรายอันร้อนระอุ พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคนานัปการ ต่อสู้กับเหล่าอสูรกายที่จอมมารส่งมาขัดขวาง อาริยะได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความเสียสละ และความเป็นผู้นำ เขามักจะนำหน้าเสมอ ปกป้องสหาย และช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ยากที่พบเจอตลอดเส้นทาง ชื่อเสียงของ "ผู้กล้าอาริยะ" เริ่มขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังที่กำลังจะดับมอดของผู้คน
แต่ในระหว่างการเดินทาง อาริยะมักจะฝันแปลกๆ ... ฝันเห็นเงาร่างของตัวเองสวมชุดเกราะสีดำทมิฬ ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงและความพินาศ เขาปัดมันทิ้งไป คิดว่าเป็นเพียงเพราะความเหนื่อยล้าและความกังวลในภารกิจ
ในที่สุด หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคนับไม่ถ้วน พวกเขาก็มาถึง "หุบเขาเงามรณะ" ที่ตั้งของปราสาททมิฬของจอมมาร บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือก กดดัน และเต็มไปด้วยพลังงานมืดมิดที่มองไม่เห็น อากาศหนักอึ้งด้วยกลิ่นอับชื้นของความตายและกำมะถันจางๆ มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวน่าขนลุกที่ลอดผ่านซอกหินและยอดปราสาทที่บิดเบี้ยวราวกับเขี้ยวเล็บของปีศาจที่ชี้ขึ้นไปท้าทายสรวงสวรรค์ อาริยะรู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาดกับสถานที่แห่งนี้ ลึกลงไปในใจ เขารู้สึกเหมือนเคยมาที่นี่มาก่อน... แต่เมื่อไหร่กัน? ความรู้สึกนั้นน่าอึดอัดจนเขาต้องสลัดมันทิ้งไป "ไม่มีเวลามาคิดเรื่องไร้สาระ" เขาบอกตัวเอง "ภารกิจสำคัญกว่า"