เมื่อเข้ามาในรถม้าพลันสายตาของหลิวหรงผิงก็พบเข้ากับสตรีนางหนึ่ง แววตาสดใสของหญิงสาวทั้งใบหน้างดงามไร้ที่ตินั้นจ้องมองมาที่หลิวหรงผิงก่อนจะย้ายไปยังร่างสูงที่กำลังโอบอุ้มนางเอาไว้แววตาคู่งามนั้นไหววูบเล็กน้อย
'อย่าบอกนะว่านางแอบรักเจ้าอ๋องบ้าผู้นี้ ดูทำหน้าเข้าสิเหมือนคนอกหักอยู่อย่างไรอย่างนั้น'
"ท่านอ๋องก็ไปด้วยหรือเพคะ"
เสียงหวานใสเอ่ยถามเขา ริมฝีปากบางนั้นแย้มยิ้มออกมาทั้งยังขยับกายเข้าไปชิดด้านในเหมือนตั้งใจเว้นที่ว่างไว้ให้เขา
"อวิ๋นเซียนดีใจที่ได้พบท่านอ๋องอีกครั้งนะเพคะ"
จวิ้นอ๋องพยักหน้าให้นางเล็กน้อยเบี่ยงตัวไปอีกด้านแล้ววางหลิวหรงผิงลงบนเบาะนุ่มนิ่มก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ นางในเวลาต่อมา
ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสตรีที่กำลังจ้องมองเขาในเวลานี้เลยสักเพียงนิดแววตาของนางหม่นหมองลงเล็กน้อย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่องค์หญิงเพ่ยเพ่ยขยับกายลงไปนั่งด้านข้างของนางแล้วหันมามองหลิวหรงผิงด้วยแววตาเกลียดชัง
หลิวหรงผิงไม่สนใจท่าทีเหล่านั้นแต่เมื่อหันไปมองสตรีอีกคนอยู่ๆ ในหัวของนางก็ปรากฏภาพบางอย่างขึ้น
‘เหมือนเคยเห็นนางที่ไหนมาก่อนนะ’
นางครุ่นคิดในใจเงียบๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสตรีตรงหน้าคือคนเดียวกันกับคนที่อยู่ในความฝันของนางเมื่อคืนนี้ สตรีที่กำลังทำเรื่องน่ารังเกียจนั้นกับองค์ชายใหญ่ในจวนของจวิ้นอ๋องนั่นเอง!
'มันเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีอยู่จริงหรือจะเป็นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมกันแน่นะ'
'ก็ไม่ถูกสิ! ภาพนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่จวิ้นอ๋องกลับเข้าห้องหอได้ไม่นานแล้วทุกอย่างที่นางเห็นมันคืออะไรกันแน่'
หลิวหรงผิงนั่งครุ่นคิดอยู่นาน อาการนิ่งสงบของนางทำเอาจวิ้นอ๋องถึงกลับหันมาจดจ้องนางด้วยความประหลาดใจ
'อยู่นิ่งเหมือนคนปกติเป็นด้วยกระนั้นหรือ'
รถม้าเริ่มทะยานจากจวนอ๋องมุ่งสู่ใจกลางเมืองหลวงบรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยโคมไฟที่แต่ละบ้านนำมาแขวนห้อยเอาไว้ ความสว่างไสวในค่ำคืนนี้ทำให้ความเหงาและความอ้างว้างที่มีในใจของนางมลายหายไปจนหมดสิ้น
'อยากให้เสี่ยวเถากับซิ่งอิงมาด้วยเสียจริง อยู่เพียงในจวนคงจะเบื่อแย่เลย'
งานเทศกาลหยวนเซียวหรือเทศกาลโคมไฟนั้นถูกจัดขึ้นทุกๆ ปีในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงต้าหยวน เมื่อถึงวันงานท้องถนนทุกแห่งหนจะเต็มไปด้วยทะเลโคมไฟที่มีรูปแบบโคมไฟต่างๆ เป็นที่ดึงดูดแก่ผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก
ตลอดงานเทศกาลโคมไฟที่จัดขึ้นสามวันสามคืนนี้เหล่าคุณหนูคุณชายจากตระกูลต่างๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองโดยรอบต่างก็ออกมาเที่ยวงานเพื่อหาคู่ครองที่เหมาะสมกับตัวเองและพองานเทศกาลผ่านพ้นไปก็จะพบเห็นงานแต่งงานที่ถูกจัดขึ้นเกือบทั่วทั้งเมืองหลวง
ภายในรถม้าคันงามนั้นมีหนึ่งบุรุษและอีกสามสตรีนั่งอยู่ในนั้นแม้จะกว้างขวางแต่กลับดูอึดอัดสำหรับหลิวหรงผิงเป็นอย่างมาก นางไม่สนใจสายตาดูแคลนของคนพวกนั้นเลือกที่จะยื่นใบหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถม้าจ้องมองบรรยากาศด้านนอกแทน สายลมเย็นที่ลอยกระทบกับใบหน้าทำให้ความรู้สึกที่กำลังอึดอัดอยู่นั้นดีขึ้นมาไม่น้อยเลย
"เจ้าปิดม่านลงได้แล้ว"
แม้จะได้ยินคำสั่งนั้นแต่นางก็เลือกที่จะไม่สนใจยังคงยื่นใบหน้างดงามนั้นออกไปนอกตัวรถมากขึ้น อยู่ๆ มือหนาก็โอบเอวของนางเอาไว้ก่อนจะดึงร่างบอบบางให้กลับเข้ามาในตัวรถม้าอีกครั้ง
"ท่านทำอะไร!" นางเอ่ยออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก จวิ้นอ๋องจ้องมองใบหน้าที่กำลังหงุดหงิดนั้นแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
"หากเจ้าตกรถม้าน่ากลัวว่าข้าคงต้องลงไปเก็บศพของเจ้าที่มีใบหน้าเละเทะแข้งขาหักผิดรูป และที่สำคัญ..."
หลิวหรงผิงจ้องมองเขาก่อนจะเบะปากออกมาทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
"ละ แล้วเจ้าจะร้องไปทำไมกันท่านพี่ก็แค่กลัวว่าเจ้าจะตกรถม้าแล้วเดือดร้อนพวกเราต้องไปแก้ต่างกับเสด็จแม่ต่างหากเล่า ไม่ได้ห่วงเจ้าเสียหน่อยจริงหรือไม่เจ้าคะท่านพี่"
จวิ้นอ๋องหลับตาลงคร้านจะสนใจเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบก่อนจะใช้วงแขนแกร่งนั้นพาดไปยังด้านหลังของหลิวหรงผิงกั้นนางออกจากขอบหน้าต่างจนไม่สามารถยื่นใบหน้าออกไปด้านนอกได้อีก
หลิวหรงผิงจ้องมองชายหนุ่มตาขวางอยากที่จะจิ้มลูกตาคู่นั้นให้รู้แล้วรู้รอดแต่นางยังคงอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักนิด และคงต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปก่อนไม่อยากต่อกรกับปีศาจเช่นเขาในเวลานี้นั่นเอง
ท่าทางของเขาในเวลานี้เหมือนกำลังโอบกอดหลิวหรงผิงอยู่อย่างไรอย่างนั้นนั่นยิ่งทำให้เว่ยอวิ๋นเซียนริษยานางมากขึ้น
"ข้าเองก็เห็นด้วยกับท่านอ๋อง พระชายานั่งห่างๆ หน้าต่างคงจะดีไม่น้อยหากว่าตกลงไปจะแย่เอาได้นะเพคะ"
เสียงอ่อนหวานพูดขึ้นพลางจ้องมองมาเหมือนกำลังห่วงใยนางอย่างไรอย่างนั้น
'ก็คงจะหลอกได้แค่คนโง่เขลาสองคนนี้เท่านั้นกระมังจะมาหลอกคนอย่างนางได้ที่ไหน เมื่อครู่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแววตาคู่นั้นมองมาด้วยความริษยาอยู่แท้ๆ'
หลิวหรงผิงลอบยิ้มในใจ
'ข้าต้องเปิดเผยตัวตนของเจ้าให้ได้ เว่ยอวิ๋นเซียน'
ใช้เวลาไม่นานทั้งหมดก็เดินทางมาถึงใจกลางเมืองหลวง เมื่อรถม้าค่อยๆ จอดลงสนิทท่ามกลางแสงไฟและเสียงขับร้องเพลงที่เล็ดลอดเข้ามาในรถม้าคนขับรถม้าก็พูดขึ้นว่า
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” พูดจบเขาก็เปิดม่านประตูออกก่อนจะมัดผ้าม่านไว้อย่างเรียบร้อยแล้วรีบลงจากรถม้าเพื่อเตรียมตั่งเล็กๆ ไว้สำหรับเหยียบลงด้วยความว่องไว
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยหันไปมองเว่ยอวิ๋นเซียนก่อนจะย้ายสายตาไปมองพี่ชายของตนที่เวลานี้ยังคงไม่ยอมปล่อยแขนแกร่งนั้นออกจากขอบหน้าต่างด้านข้างของตนเองแต่อย่างใด
"ท่านพี่ไม่ลงไปหรือเจ้าคะ"
"เจ้าลงไปก่อนก็ได้"
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจในท่าทีของผู้เป็นพี่ชายนัก
'เกลียดนางแบบไหนถึงได้เอาแต่อยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมห่างเช่นนั้นกัน'
นางคิดในใจเงียบๆ ก่อนจะหันไปมองเว่ยอวิ๋นเซียนที่เวลานี้กำลังจ้องมองจวิ้นอ๋องอยู่เหมือนกำลังตัดพ้อที่เขาไม่สนใจนางอย่างไรอย่างนั้น
“ไปกันเถอะพี่หญิงเว่ย”
เว่ยอวิ๋นเซียนหันไปพยักหน้าให้นางเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไปแต่อย่างใดก็ดูเหมือนว่านางจะสะดุดกับอะไรบางอย่างจนทำให้ร่างบางเซถลามานั่งบนตักของจวิ้นอ๋อง ทั้งสองสบตากันดูแล้วช่างเหมือนคู่รักคู่หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
'ช่างสะดุดล้มได้เหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ เหมือนในละครไม่มีผิดเพี้ยนเสียจริง'
“พี่สาวคนสวยนั่งตักท่านอ๋องด้วย ฮ่าๆๆๆ”
หลิวหรงผิงแกล้งหัวเราะทั้งยังตบมือเสียงดังทำให้คนที่อยู่ในบริเวณงานนั้นมองเข้ามาในรถม้ากันเป็นตาเดียว
เว่ยอวิ๋นเซียนรีบลุกขึ้นอย่างร้อนรนใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาแล้วส่วนจวิ้นอ๋องก็หันมามองคนด้านข้างด้วยสายตาคาดโทษ หลิวหรงผิงเอียงคอจ้องมองเขาก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ท่านอ๋องหน้าแดง ฮ่าๆๆ ท่านอ๋องหน้าแดงด้วย”
“เจ้าหยุดนะลงไปได้แล้ว!” จวิ้นอ๋องตวาดนางดังลั่นแต่มีหรือที่คนอย่างหลิวหรงผิงจะเกรงกลัว
“ข้าปวดก้น คนบ้านั่นทำร้ายข้า” นางพูดจบก็ชี้ไปที่องค์หญิงเพ่ยเพ่ยผู้ที่ลงจากรถม้าไปเป็นคนแรก
นางหันมองโดยรอบก็เห็นว่าชาวบ้านกำลังมองมาที่นางพลางซุบซิบนินทากันยกใหญ่
“เจ้าพูดบ้าอะไร! สตรีบ้าเช่นเจ้าใครเขาจะเชื่อกัน”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยกำลังจะด่าทอนางต่อแต่เป็นอันต้องหยุดลงเมื่อหันไปสบตากับจวิ้นอ๋องเข้าพอดี หลิวหรงผิงอาศัยจังหวะชุลมุนนั้นรีบเดินกะเผลกๆ ก้าวขาลงจากรถม้าอย่างรวดเร็วไม่ลืมที่จะระวังตอนเหยียบตั่งนั้นเพราะเมื่อตอนอยู่ที่จวนอ๋องนางตกรถม้าจริงๆ อาการเจ็บปวดที่ก้นนั้นยังคงระบมไม่หาย
แต่เพราะไม่อยากอยู่ใกล้คนใจร้ายพวกนี้นางจึงเลือกที่จะเดินหนีออกมาไม่รอให้พวกเขาต่อว่ารีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในงานโดยไม่สนใจพวกเขาอีกเลยสักนิด
สององค์รักษ์คู่ใจของจวิ้นอ๋องที่ติดตามมาด้วยมองตามแผ่นหลังบอบบางของหลิวหรงผิงก่อนจะย้ายสายตาหันกลับไปมองจวิ้นอ๋อง เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าให้ทั้งคู่ก็รีบเดินตามหลิวหรงผิงไปในทันที
แม้ในสายตาของผู้คนนางจะเป็นสตรีบ้าสติฟั่นเฟือนแต่หญิงสาวในเวลานี้กลับงดงามโดดเด่นที่สุดในงานเสียอย่างนั้น ใบหน้าผุดผ่องแววตาสดใสที่จ้องมองไปทั่วงานด้วยความตื่นเต้นนั้นทำเอาผู้คนที่พบเห็นต่างก็อดอมยิ้มให้นางไม่ได้
หลิวหรงผิงแต่งกายด้วยชุดสีแดงสดมีผ้าคลุมไหล่สีขาวหนานุ่มทับอีกชั้น บนศีรษะปักด้วยปิ่นทองประดับด้วยทับทิมสีแดงสลับทองระยิบระยับบนเรือนผมสีน้ำตาลเงางาม ใบหน้าอ่อนหวานงดงามไร้ที่ติของนางทำให้ผู้คนที่พบเห็นไม่อาจละสายตาไปได้
“ท่านอ๋องไม่อุ้มพระชายาหรือเพคะ ดูเหมือนว่านางจะเดินไม่สะดวกนักน่าสงสารเสียจริง"
เว่ยอวิ๋นเซียนพูดขึ้นเหมือนกำลังเห็นใจหลิวหรงผิงอยู่อย่างไรอย่างนั้น หลิวหรงผิงหันกลับมามองนางแววตาอ่อนโยนของเว่ยอวิ๋นเซียนที่ทุกคนเห็นคงจะมีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่ามันคือหน้ากากที่นางกำลังสวมใส่เพื่อเล่นละครตบตาคนโง่เท่านั้น
‘ช่างเป็นสตรีที่ตีสองหน้าได้เก่งอะไรเช่นนี้นะ’