แสงสลัวสาดส่องเข้ามาในห้องหอที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงาม เมื่อยามสายวาโยพัดโชยมานำพาเอากลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ลอยละล่องเข้ามาภายในห้องที่เงียบงัน ผ้าม่านสีแดงสลับทองปลิวสยายไปตามแรงลม
แสงเทียนไหวเอนไปมาสะท้อนให้เห็นเงาของคนคู่หนึ่งสาดฉายเต็มทั่วทั้งผนังห้อง เป็นเวลาเนิ่นนานเทียนสีแดงที่ตั้งตระหง่านบนตะเกียงน้ำมันก็เผาไหม้ตัวเองจนดับมอดไปเกือบทุกเล่ม ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความมืด
หลิวหรงผิงนั่งอยู่บนเตียงนอนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอาบแก้ม นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็วไม่มีแม้แต่จะหันหลังกลับมาดูนางเลยแม้เพียงนิด
“หะ…เหตุใดท่านถึงใจร้ายกับข้านักเล่าเพคะ”
“หุบปาก! ข้าหาใช่คนที่เจ้าบังอาจมาตั้งคำถามด้วยไม่"
เขาชายตามามองนางเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า
"ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาให้หมด!”
สิ้นคำบอกกล่าวก็มีเสียงเปิดประตูจากด้านนอก เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งที่ลนลานเข้ามาก่อนจะรีบคุกเข่าลงอย่างร้อนรน
“เอายานั่นให้นางกิน หากว่านางตั้งครรภ์ขึ้นมาพวกเจ้าทั้งหมดได้หัวหลุดจากบ่าอย่างแน่นอน”
เสียงเย็นชาเยือกเย็นนั้นทำให้หลิวหรงผิงตัวสั่นสะท้านด้วยความเสียใจระคนอับอายกับสิ่งที่ได้รับ
จวิ้นอ๋อง องค์ชายสี่แคว้นต้าหยวน บุรุษที่นางเพิ่งแต่งงานด้วยยังไม่ทันถึงข้ามคืนเมื่อได้เข้าหอสมใจปรารถนาของนางแล้ว เขาก็จัดการสั่งให้นางกินยาระงับการตั้งครรภ์ทันที
หมอหลวงที่อยู่คอยรับคำสั่งนั้นรีบยกถ้วยกระเบื้องเคลือบที่มียาระงับการตั้งครรภ์นองเต็มถ้วยในนั้น
มือที่สั่นเทากำลังจะเอื้อมหยิบจอกยาให้หลิวหรงผิงชายาเอกของจวิ้นอ๋อง แต่เพราะความหวาดกลัวและความรู้สึกผิดทำให้มืออวบอ้วนนั้นชะงักค้างไป
จนองค์รักษ์คนสนิทของจวิ้นอ๋องที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินเข้ามาแล้วหยิบเอาถ้วยยานั้นส่งไปให้หลิวหรงผิงแทน
นางนั่งอยู่บนเตียงนอนน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่ได้ทำให้จวิ้นอ๋องสงสารเลยแม้เพียงนิดกลับกันนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดชังความเสแสร้งของนางมากขึ้น
“พระชายา”
องค์รักษ์ผู้นั้นเอ่ยเรียกนางอย่างจนใจเขารู้สึกเวทนาในชะตากรรมของนางไม่ต่างกับคนอื่นๆ แต่มิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้เพราะผู้เป็นนายอย่างจวิ้นอ๋องนั้นเกลียดชังนางเป็นอย่างมากนั่นเอง
หลิวหรงผิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังร่างสูงที่ยืนหันข้างให้นาง แม้ใบหน้าครึ่งซีกจะถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีทองน่าเกรงขามนั้นแต่กลับไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาของเขาน้อยลงเลยสักเพียงนิด
เขามองไปเบื้องหน้าไม่มีแม้แต่จะหันกลับมามองนางเลยแม้เพียงเสี้ยวนาทีเดียว น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงโรยลงมาดูน่าสงสารจับใจ
“แม้เจ้าจะแต่งงานกับข้าสมใจแล้วแต่จะให้มีสายเลือดของข้าปะปนกับคนตระกูลหลิวเช่นเจ้าไม่ได้! กินให้หมดมิเช่นนั้นข้าจะเป็นคนกรอกยานั่นใส่ปากของเจ้าเอง!”
“และนับจากคืนนี้เป็นต้นไปก็อย่าหวังว่าข้าจะแตะต้องเจ้าอีกแม้เพียงปลายนิ้วสตรีน่ารังเกียจเช่นเจ้าไม่คู่ควรกับข้า!”
หลิวหรงผิงที่ช้ำใจอย่างหนักกลั้นใจยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแม้ความขมของยาก็ไม่อาจทำให้นางรู้สึกขมขื่นได้เท่าหัวใจของนางในเวลานี้
เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วเรือนเฟิ่งอวี้ที่ไร้เงาของผู้คนก็กลับมาเงียบสงบและดูเหมือนจะค่อนข้างวังเวงในเวลากลางดึกเช่นนี้ยิ่งนัก
เสียงฝนตกกระทบหลังคาที่ดังสนั่นก็ไม่อาจทำให้ความเงียบเหงานั้นคลายลงไปได้
หลิวหรงผิงนั่งกอดเข่าหยาดน้ำตาร่วงรินลงมาเป็นทาง สตรีที่เคยเพียบพร้อมเป็นที่ต้องการของเหล่าบุรุษทั้งเมืองแต่เวลานี้กลับถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายในเรือนท้ายจวนแห่งนี้
นางลุกขึ้นจากเตียงนอนที่มีแต่ร่องรอยความบอบช้ำนั้นก่อนจะก้าวเท้าออกไปที่สวนดอกไม้หน้าเรือนรับเอาความเย็นชุ่มช่ำจากสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาไม่มีหยุดหย่อน ก่อนร่างบอบบางจะเริ่มร่ายรำพลางส่งเสียงหัวเราะปะปนกับเสียงร้องไห้ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเรือน
เสียงๆ นั้นดังแว่วออกไปจนถึงเรือนใหญ่คล้ายเสียงคร่ำครวญของภูตผีจนบ่าวในจวนไม่มีใครกล้าออกมาดูเลยสักคน
สาวใช้คนสนิทของนางที่ได้ยินเสียงนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปพยายามดึงร่างของผู้เป็นนายสาวให้กลับเข้าไปในเรือน
“เจ้ามาเล่นกับข้าแล้วหรือ มาสิๆ ข้าเหงามาเล่นกันนะ”
น้ำเสียงที่ไร้เดียงสาเอื้อนเอ่ยออกมาท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ สาวใช้ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันอย่างจนใจ
‘พระชายาผู้สง่างามของพวกนางกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เพราะความรักทำลายนางได้เพียงนี้เลยกระนั้นหรือ’
เพียงชั่วข้ามคืนหลิวหรงผิงก็กลายเป็นหญิงสติฟั่นเฟือน เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจนรู้กันหนาหูว่าพระชายาจวิ้นอ๋องน่าจะตื่นตกใจที่ได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นสามีจนสติฟั่นเฟือน จากสตรีที่งามล่มเมืองกลายเป็นคนบ้าพูดจาไม่รู้เรื่องช่างน่าสงสารจับใจ
จวิ้นอ๋องไม่มีแม้แต่จะแก้ตัวใดๆ เขาสั่งกักขังนางเอาไว้ที่เรือนท้ายจวนแห่งนั้นและไม่อนุญาตให้นางก้าวเท้าออกมาข้างนอกอีกเลย
เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่หลิวหรงผิงถูกกักขังเอาไว้ในเรือนเฟิ่งอวี้ กลางดึกคืนหนึ่งพายุฝนก็ตกกระหน่ำลงมาเฉกเช่นทุกๆ คืน
นางนั่งกอดเข่าอยู่หน้าเรือนพลันสายตาก็มองเห็นคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินผ่าสายฝนเข้ามาหานาง
ร่างที่ลางเลือนเดินเข้ามาเรื่อยๆ มือเรียวบางนั้นยื่นออกมาหมายจะชักชวนให้นางเดินเข้าไปหา หลิวหรงผิงก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสติอันเลื่อนลอย
นางเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบ่อน้ำไม่ไกลจากสวนดอกไม้ เสียงวิ่งดังตึกตักมาทางด้านหลังพร้อมทั้งเสียงตะโกนร้องเรียกของหญิงสาวสองคนที่ดังขึ้นประสานเสียงกันว่า
“พระชายาระวังเพคะ!”
เมื่อเห็นท่าไม่ดีสาวใช้ทั้งสองจึงรีบวิ่งเข้าไปหมายจะดึงตัวของนางออกมาให้ห่างจากขอบบ่อนั้นแต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว
หลิวหรงผิงหันไปมองทั้งคู่ที่กำลังวิ่งตรงมาหานาง สาวใช้ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็กและแล้วภาพที่นางเอาแต่ทุบตีด่าว่าคนทั้งคู่นั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่รู้จบ นางยิ้มก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ว่า
“ข้าขอโทษนะ”
เท้าที่เปล่าเปลือยเหยียบย่ำไปบนขอบตลิ่งที่อ่อนตัวเพราะโอบอุ้มน้ำจากฝนที่ตกลงมาไม่ได้แล้ว พลันร่างทั้งร่างก็พลัดตกลงไปในสระน้ำที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่
“พระชายา!"