ตอนที่ 12 งานเทศกาลหยวนเซียว

1941 Words
ภายในงานประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสันลอยเรียงรายตามลำน้ำและบ้านเรือน ผู้คนเดินควงโคมไฟไปตามถนน แสงสีอ่อนๆ ของโคมไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งเมืองสะท้อนกับน้ำในลำธาร เสียงขลุ่ยและพิณดังก้องกังวานสร้างบรรยากาศเงียบสงบและโรแมนติกยามค่ำคืนยิ่งนัก ‘ว้าวช่างเหมือนงานวัดอะไรเช่นนี้นะขาดแค่ชิงช้าสวรรค์แล้ว’ “ทำเหมือนไม่เคยเห็นอย่างนั้นล่ะตื่นเต้นอะไรเพียงนั้น” องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันพลางปรายตาไปมองสตรีบ้าที่ดันดูโดดเด่นที่สุดในงานเสียอย่างนั้น ‘แต่ถึงอย่างไรนางก็คือคนบ้าจะมาเทียบอะไรกับพี่หญิงเว่ยของนางที่งามบริสุทธิ์เช่นนี้ได้กัน’ “พี่หญิงเว่ยคืนนี้ท่านน่ะงดงามที่สุดแล้วท่านพี่ว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ” พูดจบก็หันไปมองจวิ้นอ๋องที่เบือนหน้ามามองน้องสาวตัวแสบของเขาพอดี ก่อนจะหันไปมองเว่ยอวิ๋ยเซียนแล้วยกยิ้มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยแต่นั่นกลับทำให้เว่ยอวิ๋นเซียนรู้สึกดีใจอย่างที่สุดแล้ว ‘จวิ้นอ๋องบุรุษที่เยือกเย็นและเย็นชาเช่นเขาผู้ที่ไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดแต่เมื่อหันมามองนางกลับยิ้มออกมาเช่นนี้แสดงว่านางยังคงมีหวังอยู่อย่างแน่นอน’ “องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว ใต้หล้านี้คนที่งามที่สุดไม่ใช่ท่านหรอกหรือเพคะ” “พี่หญิงเว่ยถ่อมตัวเกินไปแล้วข้าไหนเลยจะงามเท่าท่าน” หลิวหรงผิงที่ยืนฟังคนทั้งคู่สนทนากันนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย ‘คนนั้นงามคนนี้งามแล้วอย่างไรมีประโยชน์อันใดกัน คนพวกนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง’ คิดได้ดังนั้นก็เดินหนีออกมาจากวงสนทนานั้นด้วยความรวดเร็ว สายตาคมกริบของจวิ้นอ๋องมองตามแผ่นหลังของหลิวหรงผิงที่เวลานี้ไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายอาหารแล้ว กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยมาทำเอานางน้ำลายไหลทันที หลิวหรงผิงหันซ้ายมองขวาก่อนจะพบเข้ากับเนื้อแพะเสียบไม้ย่างกลิ่นของมันช่างหอมเย้ายวนยั่วน้ำลายของนางยิ่งนัก ‘หอมเสียจริง ให้ตายสิยุคที่จากมาวันๆ เอาแต่ทำงานในห้องทดลองอาหารที่กินก็มีแต่อาหารขยะไหนเลยจะเคยได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะเช่นนี้กัน’ “พระชายาอยากกินนั่นหรือเพคะ” และแล้วเสียงอ่อนหวานของเว่ยอวิ๋นเซียนก็เอ่ยถามนางออกมา หลิวหรงผิงหันไปมองก็เห็นว่าทั้งสามที่ไม่รู้เดินตามมาเมื่อไหร่มาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากนางแล้ว ‘อะไรกันเนี่ย ข้าเดินหนีออกมาแล้วใยถึงเดินตามมาอีกเล่าอยากจะบ้าตายจริงๆ’ “ข้าเห็นท่านเอาแต่มองเนื้อแพะย่างท่านอยากกินงั้นหรือ” “พี่หญิงเว่ยจะไปสนทนากับคนเช่นนางทำไมกันเจ้าคะคนอย่างนางกินแบบนั้นเป็นที่ไหน ท่านรู้หรือไม่นางกินเป็นเพียงแค่อาหารหมูเท่านั้น” “อาหารหมูงั้นหรือ” เว่ยอวิ๋นเซียนพูดขึ้นพลางนึกสงสัยในสิ่งที่องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเอ่ยออกมาเมื่อครู่ “ก็ที่จวนของท่านพี่อย่างไรเล่า นางน่ะ” “เพ่ยเพ่ย” เสียงเย็นชาดังแทรกขึ้นมาจนองค์หญิงเพ่ยเพ่ยรีบปิดปากของตนเองเอาไว้แทบไม่ทัน ‘นางจะพูดอะไรหรือว่าอาหารหมูที่ซิ่วอิงเคยบอกว่าข้าเคยกินนั้นจะเป็นฝีมือของนาง ใช่แน่ๆ องค์หญิงผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง’ หลิวหรงผิงเม้มปากด้วยความเดือดดาลใจไม่น้อย เจ้าของร่างที่อยู่ๆ ก็สติฟั่นเฟือนและถูกรังแกมาโดยตลอดเช่นนี้นางจะรู้สึกอย่างไรกันนะที่รู้ว่าน้องสามีและสามีตัวดีร่วมมือกลั่นแกล้งนางเช่นนี้ ‘ทำร้ายกันเกินไปแล้ว’ หลิวหรงผิงจ้องมองสองพี่น้องคู่นั้นตาเขม็งก่อนจะหยิบเอาหมั่นโถที่เสี่ยวเถายัดใส่มือมาให้นางด้วย เพราะกลัวว่าพระชายาของตนที่ไม่ได้กินอาหารก่อนออกจากจวนจะหิวเข้า ไม่รู้ว่าที่ห้ามไม่ให้น้องสาวตัวแสบผู้นั้นพูดมากไปกว่านี้นั้นเพราะกลัวว่านางจะอับอายหรือว่าแท้จริงแล้วเขากลัวว่าคนอื่นๆ จะรู้ว่าตัวเองนั้นคือต้นเหตุที่คอยบงการให้ผู้คนทำร้ายชายาของตนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ อย่าหวังว่าข้าจะทำดีด้วยเลยและที่สำคัญคิดจะรังแกข้านั้นไม่ง่ายอีกแล้ว นางกัดกินหมั่นโถวอย่างมูมมามทำเอาจวิ้นอ๋องหันหน้ามามองนางก่อนจะกอดอกแล้วขมวดคิ้วมองนางไม่วางตา “เอิ้ก!” “เจ้าช่างน่ารังเกียจเสียจริง” “อะไรหรือ” หลิวหรงผิงเอียงคอมองคนทั้งสามพลางทำหน้าตาทะเล้นก่อนจะออกวิ่งไปยังทางเบื้องหน้าโดยมีตงหยางวิ่งตามนางไปแทบไม่ทัน “อยู่กับนางนานๆ ข้าคงได้อายชาวบ้านมากกว่านี้แน่ ท่านพี่เช่นนั้นท่านก็พาพี่หญิงเว่ยไปเดินดูงานเถอะเจ้าคะ พี่สะใภ้นางซุกซนและเอ่อ…ทำตัวน่าเกลียดเช่นนี้อาจสร้างเรื่องให้ท่านอับอายและปวดหัวได้ปล่อยให้นางเดินเที่ยวคนเดียวดีกว่าแค่ให้หานเฟิงกับตงหยางคอยตามดูแลนางก็พอแล้วกระมัง” “ได้อย่างไรกันข้ามีชายาแล้วคงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมหากต้องไปกับสตรีอื่น” “สตรีอื่นที่ไหนก็ยังมีข้าด้วยนี่นา” “พวกเจ้าไปเดินเล่นเถอะ ตงหยางเจ้าไปกับพวกนาง” “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” “เดี๋ยวสิเจ้าคะท่านพี่!” จวิ้นอ๋องไม่สนใจเสียงเรียกของน้องสาวเขาเดินออกมาจากวงสนทนา สายตาคมกริบมองตามแผ่นหลังของหลิวหรงผิงที่เวลานี้ไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายโคมไฟแล้ว เมื่อทิ้งระยะจากคนหน้าเนื้อใจเสือพวกนั้นมาแล้วหลิวหรงผิงก็เดินดูงานไปเรื่อยๆ โดยมีหานเฟิงเดินรั้งท้ายคอยเฝ้าดูแลนางไม่ห่าง “ข้าจะเอาอันนั้น” “แต่ว่าพระชายานั่นมันหนักนะพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าจะเอา” นางเบะปากเตรียมพร้อมจะร้องไห้ออกมาแล้วจนหานเฟิงต้องรีบผละออกจากนางหมายจะไปซื้อโคมไฟลายมังกรตัวใหญ่มาให้ตามความต้องการของสตรีผู้เป็นนายหญิงของเขา หานเฟิงทั้งเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าทั้งหันหลังกลับมามองนางเป็นระยะเหมือนกลัวว่านางจะหายไปอย่างไรอย่างนั้นแต่เมื่อมองเห็นว่าจวิ้นอ๋องกำลังเดินเข้ามาหานางแล้วเขาจึงวางใจและเดินหน้าต่อทันที หลิวหรงผิงอมยิ้มก่อนจะหันซ้ายมองขวานางเห็นร้านขายแมงป่องย่างในหัวก็คิดอะไรสนุกๆ ออก “นั่นเจ้าจะไปไหน” และแล้วเสียงที่ไม่อยากได้ยินก็ดันลอยเข้าหูของนางมาจนได้ ‘เวรกรรมจริงๆ จะปล่อยให้นางเล่นสนุกบ้างไม่ได้เลยหรืออย่างไรกัน’ โคมไฟในยุคโบราณนี้ทำขึ้นมาอย่างเรียบง่ายแม้จะไม่ได้มีลวดลายที่สลับซับซ้อนมากมายเท่าในยุคที่นางจากมาแต่เมื่อมารวมกันอยู่ในที่แห่งนี้กลับดูงดงามละลานตาไปหมด ขณะที่จวิ้นอ๋องเดินนำหน้านางเพื่อข้ามผ่านสะพานไปยังใจกลางเมืองนั้นก็มองเห็นเว่ยอวิ๋นเซียนและองค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่ยืนอยู่ตรงกลางของสะพานแล้ว นางมองมาที่หลิวหรงผิงด้วยแววตาริษยาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเช่นเคย หลิวหรงผิงมองเห็นทั้งคู่แล้วนางพยายามเบี่ยงตัวออกมาอีกฝั่งแต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านร่างบางนั้นไปก็ดูเหมือนเว่ยอวิ๋นเวียนจะขยับกายเข้ามาใกล้นางจนไหล่บางชนเข้ากับนางจนได้ ไม่ทันได้สบถคำพูดใดออกมาอีกฝ่ายก็ทำท่าจะตกลงไปในทะเลสาบเสียอย่างนั้น “อ๊ะ! องค์หญิงช่วยข้าด้วย” “กรี๊ด! ตู้ม!” ‘ปากร้องขอความช่วยเหลือแต่มือไม่ยื่นออกมาเนี่ยนะ นี่มันฉากละครหลังข่าวที่ตัวร้ายแสร้งทำเป็นถูกนางเอกกลั่นแกล้งหรือไม่’ เสียงกรีดร้องดังขึ้นหลิวหรงผิงหันไปจ้องมองก็เห็นสตรีในชุดสีขาวนั้นกำลังตะเกียกตะกายพยายามขึ้นจากผิวน้ำ ‘แต่เมื่อครู่มันอะไรกันข้าไม่ได้ออกแรงผลักนางเสียหน่อยเหตุใดนางถึงตกลงไปได้’ “อ๊ะ! ขนมของข้า” หลิวหรงผิงหันไปคว้าถ้วยขนมบัวลอยมาจากมือของตงหยางก่อนจะตักกินอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใดพลางจ้องมองเหตุการณ์ภายในทะเลสาบนั้นอย่างนึกสนุก ‘อากาศเย็นเพียงนี้นางจะสร้างเรื่องให้ตัวเองตกลงไปทำไมกันนะโง่จริงๆ’ หลิวหรงผิงส่ายหน้าพลางเคี้ยวขนมต่อ “ท่านพี่ช่วยพี่หญิงเว่ยด้วย นางว่ายน้ำไม่เป็น” องค์หญิงเพ่ยเพ่ยตะโกนร้องออกมาทหารองค์รักษ์ที่เฝ้าตามนางมาก็ไม่กล้าลงไปช่วย ชายหญิงไม่ควรแตะต้องกันและอีกฝ่ายเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยก็คงต้องรอให้จวิ้นอ๋องเป็นคนพาตัวนางขึ้นมาเท่านั้น เมื่อจวิ้นอ๋องที่ช่วยนางขึ้นมาจากทะเลสาบแล้วก็หันไปจ้องมองหลิวหรงผิงที่เวลานี้เอาแต่ยืนกินขนมหยวนเซียวไม่สนใจผู้ใดเลยแม้เพียงนิด ใบหน้าหล่อเหลายืนนิ่งไม่มีแม้แต่จะปลอบใจสตรีตรงหน้าที่กำลังนั่งจมปุกอยู่กับพื้นถนน องค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่คิดว่าพี่ชายของนางคงจะยังมีใจให้เว่ยอวิ๋นเซียนอยู่บ้างแต่เวลานี้เขาที่ช่วยนางขึ้นมาจากน้ำแล้วแต่กลับไม่ยอมหยิบยื่นเสื้อคลุมของตนเองให้นางสวมใส่เสียอย่างนั้น ‘นี่มันอะไรกันเนี่ย’ เว่ยอวิ๋นเซียนรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยความเย็นของน้ำเริ่มทำให้นางหนาวสั่นขึ้นมาแล้ว นางเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นทำเอาผู้คนที่พบเห็นต่างก็อดที่จะสงสารไม่ได้ยกเว้นก็เพียงแค่หลิวหรงผิงเท่านั้น! “เหตุใดพระชายาถึงได้ใจร้ายถึงเพียงนี้ท่านผลักข้าลงไปทำไมกัน” “ห้ะ?” “เมื่อครู่ตอนที่ท่านเดินผ่านข้าไม่ใช่ท่านหรอกหรือที่ผลักข้าลงไปในแม่น้ำนั่น” “เอ๋” แววตาเยือกเย็นของจวิ้นอ๋องหันขวับมามองนางทันที “เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่” ‘นี่เขาโง่เขลาเพียงนี้เลยหรือนี่ไม่คิดจะสืบความก็คิดว่าเป็นฝีมือของข้าแล้ว เป็นท่านอ๋องไปได้อย่างไรกันนะ’ หลิวหรงผิงหันไปจ้องมองเว่ยอวิ๋นเซียนที่นั่งจมปุกอยู่กับพื้นเนื้อตัวเปียกโซกไปด้วยน้ำในทะเลสาบทั้งยังมีน้ำตานองหน้าดูไปแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก นางเหยียดยิ้มให้กับความโง่เขลาของบุรุษตรงหน้าจนจวิ้นอ๋องเองก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงุนงงไม่น้อย ‘นางแสดงสีหน้าเช่นนี้เป็นด้วยงั้นหรือ’ “เหตุใดท่านจึงมองหน้าข้าเช่นนั้นคิดอะไรอยู่งั้นหรือเพคะสามี” ‘สตรีบ้าผู้นี้เหตุใดถึงได้ต่อปากต่อคำแบบนี้ได้ด้วย’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD