‘สตรีบ้าผู้นี้เหตุใดถึงได้ต่อปากต่อคำแบบนี้ได้ด้วย’
หลิวหรงผิงจ้องมองพวกเขาด้วยความขยะแขยงอยากจะไปให้พ้นๆ จากคนเหล่านี้เต็มทน ท่าทางของนางในเวลานี้ทำให้องค์หญิงเพ่ยเพ่ยถึงกับตะโกนร้องลั่นออกมา
“เจ้าแกล้งบ้าแน่ๆ คนบ้าที่ไหนจะยิ้มอย่างนั้นได้กัน”
“ยิ้มอย่างไรงั้นหรือ”
หลิวหรงผิงเอียงคอจ้องมองนางด้วยแววตาใสซื่อ พลางบีบน้ำตาออกมาจนคลอเต็มดวงตาแข่งกับสตรีหน้าด้านที่นั่งอยู่บนพื้นผู้นั้น
“เฮอะ! สตรีบ้าเช่นเจ้าไม่คู่ควรจะเป็นชายาของพี่ชายข้าเลยสักนิด”
จวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมาทันได้เห็นรอยยิ้มร้ายกาจที่แฝงไปด้วยความสะใจของหลิวหรงผิงแต่เมื่อเขาจ้องมองนางอีกครั้งกลับพบเพียงแววตาว่างเปล่าที่ดูเหมือนกำลังสำนึกผิดอยู่เท่านั้น
“พี่สาวข้าขอโทษ”
“คงต้องให้เจ้าเป็นคนไปส่งนางให้ถึงจวนแล้วกระมังส่วนชายาของข้าๆ จะลงโทษนางตามความเหมาะสมเอง”
พูดจบก็เข้าไปดึงแขนของหลิวหรงผิงให้เดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ตงหยางเองก็รีบสาวเท้าก้าวตามพวกเขาไปติดๆ
“เจ็บนะ”
น้ำเสียงที่ดูเจ็บปวดก็ไม่ได้ทำให้จวิ้นอ๋องสนใจเขายังคงกระชากนางออกไปจากงานไม่มีทีท่าจะผ่อนปรนลงเลยแม้เพียงนิด
“ท่านพี่เหตุใดถึงปล่อยพวกข้าไว้เช่นนี้กันเล่า!”
เสียงร้องตะโกนไล่หลังขององค์หญิงเพ่ยเพ่ยแว่วตามมา แม้จะรู้ว่านางไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่จวิ้นอ๋องกลับไม่หยุดฝีเท้าลงยังคงมุ่งตรงไปยังรถม้าโดยไม่สนใจเสียงของผู้เป็นน้องสาวอีกเลย
และแล้วผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสะพานนั้นก็เริ่มเบาบางลง บรรยากาศภายในงานกลับมาคึกคักตามเดิมเผยให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่น่าจะมายืนดูเฉกเช่นชาวบ้านเมื่อครู่เช่นกัน
“คุณชายท่านก็เห็นแล้วนี่ขอรับ นางอยู่ได้ทั้งยัง…เอ่อดูแลตัวเองได้ด้วย”
“ดูแลตัวเองได้? เจ้าควรจะพูดว่าพระชายาไม่ถูกคนกลั่นแกล้งง่ายๆ จะดีกว่า”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนเล่า”
เสียงสองบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังของเซี่ยเว่ยหมิงเอาแต่ถกเถียงกันไปมาไม่มีใครยอมใคร
“ข้าแค่คิดว่านางจะปรับตัวไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ”
“ขอรับ”
จวิ้นอ๋องพานางเดินออกมาจากงานมุ่งตรงไปยังรถม้าอีกคันโดยมีหานเฟิงที่ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่คอยควบคุมรถม้าอยู่ลำพัง
‘ไม่ใช่รถม้าขององค์หญิงนี่นา’
“รถม้าของจวนข้า ก็แค่คิดว่าเจ้าต้องก่อเรื่องจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้าก็เท่านั้นแล้วก็เป็นดังที่ข้าคิด”
‘เก่งเสียจริงพ่อคุณเอ้ย’
ชายหนุ่มปรายตามองนางก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถม้าเป็นคนแรก หลิวหรงผิงยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยไม่สนใจในท่าทีของเขาก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถม้าตามหลังเขาไป
เมื่อทั้งคู่เข้ามาในรถม้าแล้วจวิ้นอ๋องที่ก่อนหน้านี้สังเกตเห็นเลือดสดๆ ที่ไหลอาบแขนเสื้อของนางก็ได้นำผ้าสะอาดที่ได้จากหานเฟิงมาพันแขนนางเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองหญิงสาวที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใดๆ
“เจ้าไปได้แผลมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
‘หือ แผลหรือ’
นางก้มมองตามมือหนาที่จับแขนของนางอยู่ก็เห็นว่ามีเลือดสดๆ ไหลหยดลงมาบนพื้นรถม้าแล้ว
‘นี่ข้ามได้บาดแผลตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะเป็นไปได้อย่างไรกัน’
เพราะก่อนหน้าเอาแต่จ้องมองใบหน้าคมคายของคนตรงหน้าจึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของตนเองและไม่ได้สนใจเลยว่าเขากำลังเช็ดเลือดให้นางอยู่
‘แต่ว่าแผลนี้คล้ายถูกของมีคมบาดหรือว่าจะเป็นตอนที่ชนกับเว่ยอวิ๋นเซียนกันนะ นางตั้งใจชนเพื่อทำร้ายข้ากระนั้นหรือช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจเสียจริง’
จวิ้นอ๋องที่จ้องมองนางอยู่นั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดกับท่าทีของนาง
‘ตอนขึ้นสะพานก็ยังดีๆ อยู่เลยได้บาดแผลมาเช่นนี้จะไม่รู้ตัวเลยได้อย่างไรกัน’
“เจ็บหรือไม่”
“เจ็บ”
หลิวหรงผิงทำปากน่ารักน่าชังจนจวิ้นอ๋องถึงกับส่ายหัวให้นางเล็กน้อยก่อนจะถอยกลับไปนั่งพิงกับรถม้าอีกฝั่ง
“อ้าวท่านไม่ทายาให้ข้าแล้วหรือ”
“เจ้าก็ทำเองสิ”
“เอ๋”
“ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งบ้า”
“ท่านรู้ได้อย่างไร!”
หลิวหรงผิงอุดปากของตนเองทันที ‘หลุดปากพูดไปเองเสียอย่างนั้น’
“ข้าไม่ได้โง่เจ้าหายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ถามทำไม ว่าแต่ท่านเถอะรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เจ้าดูไม่เหมือนเดิม”
“ท่านช่างหลักแหลมยิ่งนัก”
“เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่”
“ข้าจะไปต้องการอะไรจากท่านกันเล่า เราสองคนเป็นสามีภรรยากันเรื่องพวกนี้ใยต้องถามให้เปลืองน้ำลายด้วย”
“หายแล้วก็ต่อปากต่อคำเก่งเสียจริง”
“เอาน่าท่านอย่าได้กังวลไปเวลานี้ข้านั้นหาได้สนใจท่านไม่อีกแล้ว ท่านดูสิชาวบ้านต่างก็ดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อกันทั้งนั้น”
นางพูดจบก็หันมามองหน้าเขา
“ข้าก็เช่นกัน”
‘พูดอะไรของนาง’
รถม้าแล่นบนถนนในตัวเมืองไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในตัวรถ สายลมเย็นลอยมาปะทะกับใบหน้าเล็กของนางเป็นระยะส่งผลให้หญิงสาวเริ่มง่วงงุนก่อนจะผล๊อยหลับไปในที่สุด
-จวนจวิ้นอ๋อง-
เป็นเวลายามไฮ่[1] คนทั้งคู่ก็เดินทางกลับถึงจวน จวิ้นอ๋องไม่ได้พานางกลับไปที่เรือนเฟิ่งอวี้เขาอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือนใหญ่ท่ามกลางสายตางุนงงของบ่าวรับใช้ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้
ภายในห้องของเจ้าของจวนนั้นกว้างขวางใหญ่โตกว่าที่เรือนเฟิ่งอวี้ร้อยเท่าข้าวของเครื่องใช้ต่างก็ดูหรูหรางดงามทั้งนั้น มีเตียงสี่เสาไม้สักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของห้อง
ทั่วทั้งห้องถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากหลายขนาด หน้าต่างไม้ที่ถูกแกะสลักด้วยลวดลายมังกรงดงามถูกเปิดให้ลมเย็นพัดผ่านเข้ามานำพาเอากลิ่นดอกหอมหมื่นลี้โชยเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่ของผู้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้
บนเตียงนอนหลังงามหลังนั้นมีสตรีผู้หนึ่งกำลังนอนหลับพริ้มอย่างไม่รู้ทุกข์ร้อนใดๆ เรือนผมของนางมีสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยดุจแพรไหมและหนาเป็นประกายคลอเคลียกับหมอนใบใหญ่พิเศษ
ผิวที่ขาวผ่องเหมือนหิมะสะท้อนความงามที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติริมฝีปากได้รูปของนางมีสีแดงระเรื่อราวกับผลอิงเถา(เชอรี่) ที่ถูกแต่งแต้มออกมาราวกับภาพวาด
เขายอมรับว่านางงดงามสมกับคำร่ำลือจริงแต่เพราะว่านางมีนิสัยใจคอโหดร้ายทั้งยังมีกิริยาที่น่ารังเกียจด้วยเพราะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในสกุลหลิวก็คงจะถูกตามใจจนเสียคนและคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งกว่าใครจึงไม่คิดเกรงกลัวผู้ใด
ซ้ำร้ายยังวางแผนกับผู้เป็นบิดาขอพระราชทานสมรสให้นางเป็นชายาเอกของเขา สตรีร้ายกาจที่พยายามยัดเยียดตนเองให้เขาและแย่งตำแหน่งชายาจากคนที่เขาหมายมั่นจะตบแต่งเข้ามาในจวน สตรีที่เขาไม่เคยชายตามองเลยแม้เพียงเงานั้นสุดท้ายแล้วก็ได้มานอนอยู่บนเตียงของเขาจนได้
‘ช่างน่าขำสิ้นดี’
- - - - - - -
[1] ยามไฮ่ = 21.00-23.00 น.