ตอนที่ 13 ตัวตนของนาง

1361 Words
‘สตรีบ้าผู้นี้เหตุใดถึงได้ต่อปากต่อคำแบบนี้ได้ด้วย’ หลิวหรงผิงจ้องมองพวกเขาด้วยความขยะแขยงอยากจะไปให้พ้นๆ จากคนเหล่านี้เต็มทน ท่าทางของนางในเวลานี้ทำให้องค์หญิงเพ่ยเพ่ยถึงกับตะโกนร้องลั่นออกมา “เจ้าแกล้งบ้าแน่ๆ คนบ้าที่ไหนจะยิ้มอย่างนั้นได้กัน” “ยิ้มอย่างไรงั้นหรือ” หลิวหรงผิงเอียงคอจ้องมองนางด้วยแววตาใสซื่อ พลางบีบน้ำตาออกมาจนคลอเต็มดวงตาแข่งกับสตรีหน้าด้านที่นั่งอยู่บนพื้นผู้นั้น “เฮอะ! สตรีบ้าเช่นเจ้าไม่คู่ควรจะเป็นชายาของพี่ชายข้าเลยสักนิด” จวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมาทันได้เห็นรอยยิ้มร้ายกาจที่แฝงไปด้วยความสะใจของหลิวหรงผิงแต่เมื่อเขาจ้องมองนางอีกครั้งกลับพบเพียงแววตาว่างเปล่าที่ดูเหมือนกำลังสำนึกผิดอยู่เท่านั้น “พี่สาวข้าขอโทษ” “คงต้องให้เจ้าเป็นคนไปส่งนางให้ถึงจวนแล้วกระมังส่วนชายาของข้าๆ จะลงโทษนางตามความเหมาะสมเอง” พูดจบก็เข้าไปดึงแขนของหลิวหรงผิงให้เดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ตงหยางเองก็รีบสาวเท้าก้าวตามพวกเขาไปติดๆ “เจ็บนะ” น้ำเสียงที่ดูเจ็บปวดก็ไม่ได้ทำให้จวิ้นอ๋องสนใจเขายังคงกระชากนางออกไปจากงานไม่มีทีท่าจะผ่อนปรนลงเลยแม้เพียงนิด “ท่านพี่เหตุใดถึงปล่อยพวกข้าไว้เช่นนี้กันเล่า!” เสียงร้องตะโกนไล่หลังขององค์หญิงเพ่ยเพ่ยแว่วตามมา แม้จะรู้ว่านางไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่จวิ้นอ๋องกลับไม่หยุดฝีเท้าลงยังคงมุ่งตรงไปยังรถม้าโดยไม่สนใจเสียงของผู้เป็นน้องสาวอีกเลย และแล้วผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสะพานนั้นก็เริ่มเบาบางลง บรรยากาศภายในงานกลับมาคึกคักตามเดิมเผยให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่น่าจะมายืนดูเฉกเช่นชาวบ้านเมื่อครู่เช่นกัน “คุณชายท่านก็เห็นแล้วนี่ขอรับ นางอยู่ได้ทั้งยัง…เอ่อดูแลตัวเองได้ด้วย” “ดูแลตัวเองได้? เจ้าควรจะพูดว่าพระชายาไม่ถูกคนกลั่นแกล้งง่ายๆ จะดีกว่า” “แล้วมันต่างกันตรงไหนเล่า” เสียงสองบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังของเซี่ยเว่ยหมิงเอาแต่ถกเถียงกันไปมาไม่มีใครยอมใคร “ข้าแค่คิดว่านางจะปรับตัวไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ” “ขอรับ” จวิ้นอ๋องพานางเดินออกมาจากงานมุ่งตรงไปยังรถม้าอีกคันโดยมีหานเฟิงที่ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่คอยควบคุมรถม้าอยู่ลำพัง ‘ไม่ใช่รถม้าขององค์หญิงนี่นา’ “รถม้าของจวนข้า ก็แค่คิดว่าเจ้าต้องก่อเรื่องจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้าก็เท่านั้นแล้วก็เป็นดังที่ข้าคิด” ‘เก่งเสียจริงพ่อคุณเอ้ย’ ชายหนุ่มปรายตามองนางก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถม้าเป็นคนแรก หลิวหรงผิงยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยไม่สนใจในท่าทีของเขาก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถม้าตามหลังเขาไป เมื่อทั้งคู่เข้ามาในรถม้าแล้วจวิ้นอ๋องที่ก่อนหน้านี้สังเกตเห็นเลือดสดๆ ที่ไหลอาบแขนเสื้อของนางก็ได้นำผ้าสะอาดที่ได้จากหานเฟิงมาพันแขนนางเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองหญิงสาวที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใดๆ “เจ้าไปได้แผลมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ‘หือ แผลหรือ’ นางก้มมองตามมือหนาที่จับแขนของนางอยู่ก็เห็นว่ามีเลือดสดๆ ไหลหยดลงมาบนพื้นรถม้าแล้ว ‘นี่ข้ามได้บาดแผลตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะเป็นไปได้อย่างไรกัน’ เพราะก่อนหน้าเอาแต่จ้องมองใบหน้าคมคายของคนตรงหน้าจึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของตนเองและไม่ได้สนใจเลยว่าเขากำลังเช็ดเลือดให้นางอยู่ ‘แต่ว่าแผลนี้คล้ายถูกของมีคมบาดหรือว่าจะเป็นตอนที่ชนกับเว่ยอวิ๋นเซียนกันนะ นางตั้งใจชนเพื่อทำร้ายข้ากระนั้นหรือช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจเสียจริง’ จวิ้นอ๋องที่จ้องมองนางอยู่นั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดกับท่าทีของนาง ‘ตอนขึ้นสะพานก็ยังดีๆ อยู่เลยได้บาดแผลมาเช่นนี้จะไม่รู้ตัวเลยได้อย่างไรกัน’ “เจ็บหรือไม่” “เจ็บ” หลิวหรงผิงทำปากน่ารักน่าชังจนจวิ้นอ๋องถึงกับส่ายหัวให้นางเล็กน้อยก่อนจะถอยกลับไปนั่งพิงกับรถม้าอีกฝั่ง “อ้าวท่านไม่ทายาให้ข้าแล้วหรือ” “เจ้าก็ทำเองสิ” “เอ๋” “ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งบ้า” “ท่านรู้ได้อย่างไร!” หลิวหรงผิงอุดปากของตนเองทันที ‘หลุดปากพูดไปเองเสียอย่างนั้น’ “ข้าไม่ได้โง่เจ้าหายตั้งแต่เมื่อไหร่” “ถามทำไม ว่าแต่ท่านเถอะรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” “เจ้าดูไม่เหมือนเดิม” “ท่านช่างหลักแหลมยิ่งนัก” “เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่” “ข้าจะไปต้องการอะไรจากท่านกันเล่า เราสองคนเป็นสามีภรรยากันเรื่องพวกนี้ใยต้องถามให้เปลืองน้ำลายด้วย” “หายแล้วก็ต่อปากต่อคำเก่งเสียจริง” “เอาน่าท่านอย่าได้กังวลไปเวลานี้ข้านั้นหาได้สนใจท่านไม่อีกแล้ว ท่านดูสิชาวบ้านต่างก็ดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อกันทั้งนั้น” นางพูดจบก็หันมามองหน้าเขา “ข้าก็เช่นกัน” ‘พูดอะไรของนาง’ รถม้าแล่นบนถนนในตัวเมืองไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในตัวรถ สายลมเย็นลอยมาปะทะกับใบหน้าเล็กของนางเป็นระยะส่งผลให้หญิงสาวเริ่มง่วงงุนก่อนจะผล๊อยหลับไปในที่สุด -จวนจวิ้นอ๋อง- เป็นเวลายามไฮ่[1] คนทั้งคู่ก็เดินทางกลับถึงจวน จวิ้นอ๋องไม่ได้พานางกลับไปที่เรือนเฟิ่งอวี้เขาอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือนใหญ่ท่ามกลางสายตางุนงงของบ่าวรับใช้ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ ภายในห้องของเจ้าของจวนนั้นกว้างขวางใหญ่โตกว่าที่เรือนเฟิ่งอวี้ร้อยเท่าข้าวของเครื่องใช้ต่างก็ดูหรูหรางดงามทั้งนั้น มีเตียงสี่เสาไม้สักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของห้อง ทั่วทั้งห้องถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากหลายขนาด หน้าต่างไม้ที่ถูกแกะสลักด้วยลวดลายมังกรงดงามถูกเปิดให้ลมเย็นพัดผ่านเข้ามานำพาเอากลิ่นดอกหอมหมื่นลี้โชยเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่ของผู้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้ บนเตียงนอนหลังงามหลังนั้นมีสตรีผู้หนึ่งกำลังนอนหลับพริ้มอย่างไม่รู้ทุกข์ร้อนใดๆ เรือนผมของนางมีสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยดุจแพรไหมและหนาเป็นประกายคลอเคลียกับหมอนใบใหญ่พิเศษ ผิวที่ขาวผ่องเหมือนหิมะสะท้อนความงามที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติริมฝีปากได้รูปของนางมีสีแดงระเรื่อราวกับผลอิงเถา(เชอรี่) ที่ถูกแต่งแต้มออกมาราวกับภาพวาด เขายอมรับว่านางงดงามสมกับคำร่ำลือจริงแต่เพราะว่านางมีนิสัยใจคอโหดร้ายทั้งยังมีกิริยาที่น่ารังเกียจด้วยเพราะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในสกุลหลิวก็คงจะถูกตามใจจนเสียคนและคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งกว่าใครจึงไม่คิดเกรงกลัวผู้ใด ซ้ำร้ายยังวางแผนกับผู้เป็นบิดาขอพระราชทานสมรสให้นางเป็นชายาเอกของเขา สตรีร้ายกาจที่พยายามยัดเยียดตนเองให้เขาและแย่งตำแหน่งชายาจากคนที่เขาหมายมั่นจะตบแต่งเข้ามาในจวน สตรีที่เขาไม่เคยชายตามองเลยแม้เพียงเงานั้นสุดท้ายแล้วก็ได้มานอนอยู่บนเตียงของเขาจนได้ ‘ช่างน่าขำสิ้นดี’ - - - - - - - [1] ยามไฮ่ = 21.00-23.00 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD