“ท่านอ๋องพระชายาหายดีแล้วจริงๆ น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็คงงั้น พวกเจ้าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปคอยดูสิว่าสกุลหลิวมีแผนการอันใดอีกนางถึงได้แกล้งบ้าตลอดระยะเวลาหลายเดือนมานี้”
“ท่านอ๋องคิดว่าพระชายาแกล้งบ้ากระนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ก็คงจะแสร้งให้ข้าเห็นใจช่างโง่เขลาสิ้นดี”
สายตาเย็นชายังคงจับจ้องใบหน้าหวานนั้นไม่วางตา แม้ก่อนหน้านี้จะตกใจที่นางได้รับบาดเจ็บแต่ใครจะรู้ว่าอาจจะเป็นตัวของนางเองที่วางแผนทำให้ตนเองบาดเจ็บก็เป็นได้
“งืมๆ ฉันอยากกลับบ้านนอนต่ออีกหน่อยเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
อยู่ๆ หลิวหรงผิงก็ละเมอพูดในสิ่งที่คนในห้องนั้นไม่เข้าใจเลยสักคน
“นางพูดว่าอะไร”
“ข้าน้อยก็ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ”
จวิ้นอ๋องได้เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างจนใจไม่รู้จะจัดการกับนางอย่างไรต่อไปจะให้คนแบกนางกลับไปที่เรือนเฟิ่งอวี้ในเวลานี้ก็คงไม่ได้ หากคนของฮองเฮาพบเข้าเขาเองก็คงจะลำบากไม่น้อย
"ท่านอ๋องข้าน้อยขอบังอาจถามบางอย่างได้หรือไม่"
"ว่ามา"
"เหตุใดท่านอ๋องไม่ส่งพระชายากลับเรือนเฟิ่งอวี้ไปเสียเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"ตอนที่เดินผ่านประตูจวนข้าเห็นองค์รักษ์เงาของฮองเฮาแอบซ่อนอยู่ในเงามืด"
"จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดข้าน้อยไม่เห็นกันนะ"
จวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองคนสนิทของเขา ทั้งคู่ที่เห็นแววตาคมกริบเชิงตำหนิของผู้เป็นนายก็รีบก้มหน้าลงกลบเกลื่อนความผิดที่ไม่รู้จักสังเกตสิ่งโดยรอบนั้นด้วยความรวดเร็ว หากมีมือสังหารย่างกรายเข้ามาใกล้พวกเขาคงได้ถูกท่านอ๋องย่างสดเป็นแน่โทษฐานละเลยต่อหน้าที่เช่นนี้
เขาถอนหายใจเล็กน้อยไม่คิดจะกล่าวโทษคนสนิทของตนแต่อย่างใด ก่อนจะหันไปมองสตรีที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงนอนของเขาแขนทั้งสองข้างกางออกอย่างลืมตัว
“สตรีบ้าอะไรนอนน้ำลายยืดเช่นนั้นน่าเกลียดเสียจริง”
เมื่อสิ้นเสียงของเขาก็ดูเหมือนจะทำให้โสตประสาทการได้ยินของหลิวหรงผิงเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง
นางภาวนาในใจอยากให้เรื่องที่พบเจอผ่านๆ มานั้นเป็นเพียงแค่ความฝันหากว่าลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ขอให้นางได้กลับบ้านของตัวเอง แม้ที่แห่งนี้จะสุขสบายมีคนคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแต่กลับไม่ได้ทำให้นางรู้สึกสบายใจแต่อย่างใด
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลิวหรงผิงก็ตั้งใจจะนอนต่อทว่ากลิ่นกำยานที่ลอยมาแตะจมูกนางนั้นทำให้ความคิดเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น
“ท่านอ๋องคือว่าเอ่อ ให้เรียกสาวใช้ของพระชายาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง”
จวิ้นอ๋องเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นักจนองค์รักษ์ทั้งสองถึงกลับหันมองกันอย่างรู้ความหมาย
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทั้งคู่เดินออกไปแล้วจวิ้นอ๋องก็หันมามองคนที่นอนอยู่บนเตียงทันที
"ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งหลับหากว่ายังไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียงของข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมเสียสละร่างกายเข้าหอกับเจ้าอีกครั้ง"
เมื่อหลิวหรงผิงได้ยินดังนั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีนางรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยความรวดเร็วแต่เพราะขยับร่างกายฉับพลันทำให้นางหน้ามืดเกือบจะเซไปข้างหน้าแล้วยังดีที่นางคว้าโต๊ะตัวเล็กๆ ข้างเตียงนอนนั้นไว้ได้ทันเวลาพอดี
"ท่านอย่าเข้ามานะ"
"กลัวอะไรทีตอนอยู่ข้างนอกยังทำเก่งอยู่เลยมิใช่หรือ"
"ข้าก็แค่ปกป้องตัวเองผิดตรงไหนกัน พวกนางมาหาเรื่องข้าก่อนจะให้ข้ายืนเฉยปล่อยให้คนอื่นรังแกกระนั้นหรือ"
"นั่นเพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองต่างหากล่ะ”
“ข้าเนี่ยนะ” หลิวหรงผิงชี้นิ้วมาที่ตัวเองไม่เข้าใจว่านางไปหาเรื่องใส่ตัวตั้งแต่ตอนไหน ใครจะอยากยุ่งกับคนอย่างพวกเขากัน
“หากเจ้าไม่วางอุบายหาหนทางแต่งงานกับข้ามีหรือที่เพ่ยเพ่ยจะวุ่นวายกับเจ้า”
“ตาของท่านของบอดไปแล้วกระมังถึงได้ไม่เห็นว่านางทำอะไรกับข้าบ้าง"
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ก็เว่ยอวิ๋นเซียนแม่คนงามคนดีของท่านอย่างไรล่ะ ท่านคิดว่านางใสซื่อจริงๆ น่ะหรือ”
“นางไม่เหมือนเจ้าสูงส่งเกินกว่าที่คนต่ำช้าเช่นเจ้าจะแตะต้องนางได้”
‘โอ้โหด่าได้แรงมาก หากว่าเจ้าของร่างนี้ไม่ชิงตายไปเสียก่อนคงได้เสียใจจนขาดใจตายไปแล้วกระมัง สามีปกป้องหญิงอื่นเช่นนี้น่าตบปากแตกจริงๆ โง่งมงายจนกู่ไม่กลับแล้ว’
“เจ้าด่าข้าอยู่กระนั้นหรือ”
“หูของท่านคงมีปัญหาแล้วกระมัง ข้าไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำเลยนะ”
“แต่เจ้ากำลังคิด”
“ท่านเป็นปีศาจหรือถึงได้ยินความคิดของข้า”
“ก็แสดงว่าพูด”
‘อะไรเนี่ยพูดวกไปวนมาจนข้าปวดหัวแล้วนะ’
“ท่านคิดจริงๆ น่ะหรือว่าข้าจะสนใจท่าน ปีศาจเช่นท่านข้าว่าก็เหมาะสมแล้วกับสตรีสองหน้าเช่นเว่ยอวิ๋นเซียน”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเชิงเย้ยหยันนั้นทำเอาจวิ้นอ๋องโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขากำหมัดในมือเอาไว้แน่นก่อนจะเอ่ยเสียงเยือกเย็นออกมา
“ออกไปจากห้องของข้า!”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลิวหรงผิงก็แสยะยิ้มจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้น แววตาคมกริบคู่นั้นเพ่งมองมาที่นางด้วยความกราดเกรี้ยวเหมือนต้องการสังหารนางอย่างไรอย่างนั้น
‘ผีเข้าหรืออย่างไรแค่พูดถึงนางไม่กี่ประโยคก็เสียการควบคุมไปเสียแล้ว ช่างน่าสงสารจริงๆ คนอะไรจะลุ่มหลงในความรักจนตาบอดไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้’
ชายหนุ่มจ้องมองนางก่อนจะยกมือหนาขึ้น หลิวหรงผิงรีบหลับตาลงด้วยกลัวว่าปีศาจที่มีอารมณ์แปรปรวนผู้นี้จะทำร้ายนางเข้าทว่าเมื่อลืมตาขึ้นนางก็มองเห็นเพียงใบหน้าที่ไร้หน้ากากปกปิดแล้ว
บนใบหน้าของเขามีบาดแผลน่ากลัวที่หากว่าเป็นสตรีคนอื่นเห็นเข้าคงได้กรีดร้องด้วยความตื่นตกใจไปแล้ว แต่สำหรับนางที่เคยพบเห็นคนป่วยมาทุกรูปแบบนั้นยากที่จะตื่นตกใจกับภาพตรงหน้าที่เห็นหนำซ้ำยังเอาแต่จ้องมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาใสซื่อปนเวทนาจนคนตรงหน้าเริ่มมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
จวิ้นอ๋องจากที่กำลังโกรธจัดอยู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นงุนงงขึ้นมาเสียอย่างนั้น นางหายบ้าแล้วแต่เขาคิดว่าสติของนางอาจไม่กลับมาเหมือนเดิมเพราะเมื่อเห็นบาดแผลของเขาแล้วนั้นนางกลับไม่มีทีท่าตื่นกลัวแต่อย่างใดหนำซ้ำยังเอาแต่จ้องมองเขาด้วยแววตาใสซื่อเช่นนั้น
'เป็นไปได้อย่างไรกัน'
"ใบหน้าของท่าน.."
"หุบปาก!"
'อ่ะ หุบปากก็ได้'
นางที่ปิดปากสนิทไม่ทันได้ขยับกายไปไหนก็ถูกกลิ่นของกำยานอ่อนๆ นั้นลอยมาแตะจมูกอีกครั้งทำให้ครั้งนี้รู้สึกคันจมูกจนอดไม่ได้ที่จะจามออกไป
“ฮะ ฮัดชิ้ว!”
"เจ้าช่าง....น่าเกลียดเสียจริง หานเฟิง!"
ท้ายประโยคกลับเรียกองค์รักษ์ส่วนตัวเข้ามาในห้อง หานเฟิงที่ได้ยินเสียงของผู้เป็นนายเรียกก็รีบรุดหน้าเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว
"ท่านอ๋องมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ"
จวิ้นอ๋องไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดกับองค์รักษ์ของตนก็ได้ยินเสียงของหลิวหรงผิงจามติดๆ กันไปอีกสองสามครั้ง ทั้งคู่หันไปมองโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้สนใจเลยสักเพียงนิด นางเอาแต่ถูจมูกตัวเองไปมาไม่ได้รับรู้เลยว่าเวลานี้มีผู้ใดจ้องมองนางอยู่
"เป็นอะไรของเจ้า"
"ก็เห็นๆ อยู่ว่ากลิ่นกำยานในห้องของท่านมันทำให้ข้าแสบจมูก กลิ่นมันหอมตรงไหนถึงจุดกันอยู่ได้"
จวิ้นอ๋องจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความแปลกใจเล็กน้อยนอกจากจะไม่กลัวบาดแผลบนใบหน้าของเขาแล้วเวลานี้นางเอาแต่เดินไปเดินมาไม่ยำเกรงเขาเลยสักเพียงนิด
เขามองตามนางไปทุกฝีก้าวจนกระทั่งเห็นหลิวหรงผิงเดินเข้าไปยังกระถางทองเหลืองที่ใช้จุดกำยานก่อนที่นางจะยื่นมือไปหยิบเอากระถางนั้นโยนออกไปนอกหน้าต่างทันที
เมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าบุรุษทั้งสองตรงหน้ากำลังจ้องมองนางอยู่อย่างไม่วางตา หานเฟิงอ้าปากค้างไม่คิดว่าพระชายาจะกล้าขว้างสิ่งของที่เป็นของท่านอ๋องทิ้งไปเช่นนั้น
'พระชายาคงได้ถูกท่านอ๋องลงโทษอีกเป็นแน่'
"ขอโทษทีข้าไม่ชอบกลิ่นของมันน่ะ"
จวิ้นอ๋องจ้องมองนางด้วยความไม่เข้าใจ
‘นางเห็นบาดแผลน่าเกลียดของเขาแล้วเหตุใดถึงยังทำตัวปกติไม่กรีดร้องไม่กลัวเหมือนคนอื่น เหมือนว่านางมองไม่เห็นมันอย่างไรอย่างนั้นเป็นไปได้อย่างไรกัน’
เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบไปหลิวหรงผิงก็ถือโอกาสเดินสำรวจภายในห้อง จวิ้นอ๋องจ้องมองสตรีตรงหน้าที่เอาแต่เดินจับนู่นจับนี่ไปทั่วทั้งห้องเหมือนกับไม่ใช่คนๆ เดียวกันกับที่ผ่านมา สตรีที่มีแต่เล่ห์เหลี่ยมมารยาผู้นั้นหายไปไหนแล้ว
"เจ้าจะเดินอีกนานหรือไม่"
“ขออภัยข้าก็เพียงแค่คิดว่าห้องของท่านช่างน่าอยู่ยิ่งนัก ดูสิหน้าต่างบานนี้แกะสลักได้งดงามเสียจริงเหตุใดที่เรือนเฟิ่งอวี้ถึงไม่งามเท่านี้ล่ะ"
ทั้งนายทั้งบ่าวหันมาจ้องมองกันด้วยความงุนงงกับคำพูดของสตรีตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม
"ที่จวนใต้เท้าหลิวก็ใช่ว่าจะไม่มีของล้ำค่าให้พบเห็นจะตื่นเต้นอะไรกับหน้าต่างแกะสลักลายมังกรนี้กัน"
"จริงหรือ"
"หยุดพูดเสียทีเถอะเจ้าออกไปได้แล้ว"
"ออกไป? ให้ข้าไปไหนหรือเพคะไหนๆ ท่านกับข้าก็แต่งงานกัน อืม...สามเดือนแล้วใช่หรือไม่แล้วเหตุใดยังต้องแยกห้องนอนกันอีกเล่า ไม่นอนด้วยกันล่ะเพคะ"
"ไม่!"
"ทำไมล่ะเพคะ" พูดจบก็ถลาเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว จนหานเฟิงเองก็ตั้งตัวไม่ทันเขาได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก
"เจ้าอย่าเข้ามาใกล้ข้านะ! ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ข้าออกไปได้แล้ว!"
"ข้าไม่ไป"
"ว่าอย่างไรนะ"
"ข้ากับท่านเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันสิเพคะ อีกอย่างนี่ก็ดึกมากแล้วข้าขี้เกียจเดินกลับไปที่เรือนเฟิ่งอวี้ก็ใครใช้ให้ท่านส่งข้าไปอยู่เรือนท้ายจวนอย่างนั้นกันเล่ามันไกลนะ ข้าขอนอนที่นี่เลยแล้วกัน"
"ไม่ได้!"
"เช่นนั้นข้าจะไปฟ้อง...."
"เจ้าจะฟ้องอะไรถึงฟ้องไปฮองเฮาก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้หรอก"
"แล้วเหตุใดฮองเฮาถึงช่วยข้าไม่ได้ล่ะ
“เจ้าอย่าคิดว่าการที่ข้ายินยอมแต่งงานกับเจ้านั่นเพราะข้าชื่นชอบในตัวเจ้า หากไม่มีผลประโยชน์ไหนเลยข้าจะอยากเข้าใกล้เจ้า”
“ข้าก็เช่นกัน”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”