กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงกีบเท้าม้าลากห้องโดยสารเร่งร้อนเดินทางไปที่ไหนสักแห่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบเนื่องจากขบวนรถม้าขบวนนี้กำลังเดินทางในช่วงเวลากลางคืน แม้ว่ากำลังเคลื่อนบนถนนในเมืองแห่งหนึ่งก็ตามทีจึงไม่แปลกที่จะไม่มีผู้คนโดยรอบ
ชาวบ้านชาวเมืองดำเนินชีวิตปกติย่อมเข้าเรือนตนเองพักผ่อนกันหมดแล้ว
คนที่เดินทางตอนเวลามืดค่ำเช่นก็มีคนไม่กี่ประเภทหรอก
หนี่ง....คือพวกนักเดินทางพเนจร พ่อค้าแม่ขายต่าง ๆที่กำลังเดินทางเข้า-ออกเมืองแห่งนี้ไปทำการค้า
สอง...คือพวกทหารลาดตระเวน คนของทางการกำลังทำงานลับ
หรืออาชีพอันใดอีกล่ะ
หรือสาม....อาจจะเป็นพวกโจร พวกทำงานใต้ดินผิดกฏบ้านเมืองกำลังลอบทำอันใดสักอย่างกระมัง
และแน่นอนว่าขบวนม้านี้คือเหล่าคนประเภทที่สามในคราบของอาชีพที่สอง
พ่อค้าทาส
ทว่าเป็นทาสผิดกฎหมาย
สินค้าของพวกมันคือเหล่าเด็กตัวน้อยที่พวกมันเรียกว่าทาส ทว่ามีแหล่งที่มาจากการขโมยลูกเด็กเล็กแดงมาจากบ้านของชาวบ้านตาดำ ๆ จากเมืองอื่นเข้ามาในเมืองแห่งนี้
เมืองหลี่ซง หนึ่งในเมืองสำคัญทางดินแดนทักษิณของแคว้นเซี่ย แคว้นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินใหญ่
ที่กล่าวว่าเมืองหลี่ซงคือเมืองสำคัญเพราะเป็นเมืองที่มีผู้ปกครองดินแดนทักษิณตระกูลเจิ้งผู้ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่
ตระกูลเจิ้งคือตระกูลเก่าแก่สืบทอดอำนาจปกครองทิศใต้จากรุ่นสู่รุ่นมาสิบชั่วอายุคนนับตั้งแต่ก่อนก่อตั้งแคว้นเซี่ยราชวงศ์หวัง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ขนาดอาณาเขตคฤหาสน์ตระกูลเจิ้งจะยึดครองพื้นที่ไปถึงหนึ่งในสิบส่วนของเมืองหลี่ซ่ง
ยิ่งสืบทอดรุ่นต่อไปยิ่งเจริญรุ่งเรืองไปพร้อมกับความยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้เลยทีเดียว
ขบวนค้าทาสเด็กผิดกฎหมายจึงเลือกเดินทางเข้ามาทำการค้าที่เมืองแห่งนี้ด้วยใจที่กล้าหาญยิ่ง
ภายในรถม้าคันใหญ่ที่ภายในบรรจุกรงเหล็กหนาแน่นเพื่อขังเหล่าสินค้ามีชีวิตไม่ต่ำกว่าสิบชีวิต เวลากลางคืน มีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทราเช่นนี้เด็กทาสส่วนใหญ่นอนหลับใหลทับกันด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางติดต่อกัน
เนื้อตัวแต่ละคนมอมแมมเปรอะเปื้อนดินโคลนจนแทบดูไม่ออกว่าเคร้าโครงพื้นเพเดิมเป็นอย่างไรก่อนเป็นหนึ่งในทาสเด็ก
หากแต่ยังมีเด็กน้อยสองคนที่ยังไม่หลับเหมือนคนอื่น คนหนึ่งเป็นเด็กชายเนื้อตัวแม้มอมแมมเลอะดินทว่ายังดูสะอาดมากกว่าคนอื่น...ดูท่าโดนจับตัวมาได้ไม่นาน กำลังนั่งนิ่งเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นพยายามไม่ร้องไห้ในปากของเด็กน้อยมีผ้าคาดไม่ให้พูดอยู่
เด็กน้อยกำลังมองไปที่สิ่งแปลกปลอมหนึ่งเดียวในห้องขังแห่งนี้
ที่บอกว่าแปลกปลอบเป็นเพราะคนที่โดนจับอยู่บนรถม้าคันนี้เป็นเด็กทั้งหมดยกเว้นนาง....
สตรีบอบบางราวกับกิ่งหลิวที่หากมีลมแรงพัดมาคงหักลงอย่างง่ายดาย
“พี่สาวมีน้ำสีแดงไหลออกมาเต็มไปหมด ฮึก ท่านพ่อข้าเคยบอกว่าหากไม่หายใจแปลกว่าขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ฮึก...”
เด็กหญิงน้อยอายุหกหนาวที่ไม่ถูกคาดปากไว้พูดไปร้องไห้ไปกับเด็กชายที่ถูกคาดปาก
สาเหตุที่บางคนไม่ถูกคาดปากแต่ถูกมัดมือเป็นเพราะเป็นเด็กดีเชื่อฟังคนคุมขบวนจนพวกมันเชื่อใจว่าจะไม่ร้องขอความช่วยเหลือสร้างความเดือดร้อนให้พวกมัน
แม้ว่าร้องไปจะไม่มีใครเชื่อก็ตามเพราะส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าพวกเด็กเหล่านี้เป็นทาสเด็กที่ถูกขายแลกเงินมาจากพ่อแม่ที่แท้จริงซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับคนจนที่ไร้ความสามารถในการเลี้ยงดูลูกที่เกิดมา ทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัวจึงเอาเลือดเนื้อเชื้อไขมาแลกเงินไปดำรงชีวิตตนเองให้รอดดีกว่านั่นเอง
“อื้อ อ่าอ้อง”
“เจ้าปลอบข้าว่าอย่าร้องหรือน้องชาย ฮึก ข้ากลัว ข้ากลัวผี ฮึก ท่านพ่อบอกว่าผีชอบกินเด็ก ฮึก”
“อ้าไอ้อ้อง”
“ไม่ร้องแล้ว ไม่ร้องก็ได้ ฮึบ....น้องชายอยากพูดใช่ไหม ให้ข้าช่วยดึงผ้าออกดีกว่า แต่น้องชายต้องสัญญานะว่าจะไม่บอกใคร ข้ากลัว ๆ หะ หาก พี่ชายใจร้ายข้างนอกรู้ข้าจะโดนตี...น่ากลัว”
“....” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าดังนั้นเด็กหญิงจึงช่วยแก้มัดให้
“ขอบใจนะ แต่อย่าเรียกข้าว่าน้อง ท่านพ่อข้ามีลูกคนเดียว”
“อ่าว แล้วให้เรียกว่าอะไรอ่ะ ก็เจ้าตัวเล็กนิดเดียวเอง”
“เรียกข้าว่าอาเว่ย อีกหน่อยข้าก็ตัวโตแล้วเถอะ”
“อ๋อ อาเว่ยกลัวผีไหม อาเว่ยไล่ผีเป็นอะป่าว พี่สาวไม่หายใจ ผีสาวคนนั้นเป็นผีไปแล้วแน่เลย”
“....” เด็กน้อยที่ให้สหายร่วมชะตาเรียกตนเองว่าอาเว่ยแววตาเศร้าหมองลงขณะมองพี่สาวนอนจมกองเลือด
พี่สาวคนนี้โดนทำร้ายจนเลือดออกเยอะมากแบบนี้ขณะช่วยเหลือเด็กที่หนีออกจากบ้านแล้วโชคร้ายโดนจับตัวมา
พี่สาวตายเพราะเด็กดื้ออย่างเขา
พอคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น อาเว่ยก็น้ำตาซึมออกมาคลอเบ้าใกล้ไหลลงมาอีกรอบโดยไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้
“ฮึก....”
“อ่าว ไหนบอกไม่ให้ข้าร้องไงอ่ะ อาเว่ยก็ห้ามร้องไห้นะ”
ทว่าราวกับมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเมื่อสตรีที่เด็กน้อยทั้งสองคิดว่าตายไปแล้วกำลังขยับตัวลุกขึ้นนั่งทั้ง ๆ ที่ศีรษะอาบเลือดแดงแห้งกรัง
“โอ๊ย เจ็บหัวเหลือเกิน....เป็นอะไรเนี่ย”
“ผะ ผี พี่สาวกลายเป็นผีแล้วอาเว่ย”
“ข้าว่านางยังไม่ตายต่างหากเล่า”
ผิดแล้ว
สิ่งที่เด็กน้อยนามว่าอาเว่ยเอ่ยผิดมหันต์ ความจริงแล้วเจียวเชิน เจ้าของร่างสตรีผู้นี้ได้สิ้นลมหายใจเพราะเสียเลือดจำนวนมากจากการโดนตีศีรษะ วิญญาณออกจากร่างไปแล้วทว่าที่ฟื้นตื่นขึ้นมานี้คือร่างเดิมแต่เป็นดวงวิญญาณชื่อเดียวกันจากมิติยุคสองพันปีล่วงหน้ามาแทนที่ต่างหาก
เจียวเชินตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดมหาศาลตรงแผลที่ศีรษะพร้อมกับปวดหัวจนแทบระเบิกเมื่อมีความทรงจำของร่างเดิมหลั่งไหลเข้ามาไม่จบไม่สิ้น
ภาพเหตุการณ์ในความทรงจำทำให้เจียวเชินคนใหม่รับรู้เหตุการณ์ต่างๆที่ร่างเดิมผ่านมารวมถึงรู้ว่าร่างนี้เป็นใครด้วยเช่นกัน
ร่างนี้เป็นอดีตองค์หญิงผู้โชคร้ายจากแคว้นเล็ก ๆ ที่แพ้สงครามจนต้องถูกบิดาส่งตัวมาเป็นของบรรณาการ โชคชะตาคงเล่นตลกไม่พอใจจึงทำให้ร่างนี้ถูกส่งตัวมาเป็นหนอนคอยส่งข่าวให้คนของฮ่องเต้แคว้นเซี่ยและในที่สุดก็โดนจับได้ เกิดเหตุการณ์พลิกผันมากมายในที่สุดนับว่าสวรรค์ยังเห็นใจพระชายาของฉินอ๋องที่ร่างนี้ต้องคอยส่งข่าวมีเมตตาขอให้ปล่อยตัวให้อิสระแก่ร่างนี้พร้อมมอบเงินทองของมีค่าจำนวนมากรวมถึงคนคุ้มกันติดตัวส่งตัวร่างนี้ไปที่เมืองอื่นซึ่งก็คือเมืองหลี่ซินแห่งนี้นั่นเอง
เวลาผันผ่านจากชีวิตตกต่ำจนมาถึงชีวิตที่มีอิสระสามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่สบายแม้ไร้ยศไร้ตำแหน่งทว่าร่างนี้มีความสุขดีมาสี่ปีแล้วจนกระทั่งเมื่อวาน....
เมื่อวานร่างนี้บังเอิญเห็นชายฉกรรจ์กำลังจับตัวเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นรถที่ซอยเล็กแห่งหนึ่งร่างนี้จึงวิ่งตามไปโดยไม่ลืมฝากคนใช้ของตนให้วิ่งไปตามเจ้าหน้าที่ทางการมาช่วย ส่วนร่างนี้ตัดสินใจวิ่งตามพวกมันไป ด้วยเพราะบริเวณนั้นเป็นซอยเปลี่ยว นอกจากไม่สามารถช่วยเด็กน้อยคนนั้นแล้วยังถูกทำร้ายและจับตัวขึ้นรถไปด้วยอีกต่างหาก
เจียวเชินวิญญาณนี้ไม่รู้จะตำหนิร่างนี้อย่างไรเชียว
ตัวเองไร้ความสามารถแท้ ๆ ยังเสี่ยงเอาตัวเข้าหาอันตรายจนตายอย่างน่าสงสารเช่นนี้อีก
เฮ้อ ทว่าถึงร่างนี้จะคิดน้อยเกินไปจนน่าด่าทว่าเจียวเชินก็รู้สึกชื่นชมในความคิดดีงามต้องการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแท้จริงของร่างนี้ยิ่งนัก
“พี่สาวไม่ใช่ผีสักหน่อย เด็กน้อยผู้น่ารักทั้งสองจ๊ะ พวกเจ้าต้องเงียบเสียงลงหน่อยน้า เดี๋ยวคนใจร้ายข้างนอกได้ยิน”
เจียวเชินได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงสามารถประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองได้แล้วจึงตั้งสติหันมาสื่อสารกับเด็กในรถม้าอย่างใจเย็น
นิ้วเรียวจ่อที่ริมฝีปากในขณะมองตาเด็ก ๆ รอยยิ้มกว้างไปถึงดวงตาเป็นตัวปลอบประโลมจิตใจเด็กน้อยให้ยอมพยักน้าทำตามคำบอกได้เป็นอย่างดี
“พี่สาวไม่ใช่ผีจริง ๆ หรือ”
“ใช่ พี่สาวเพิ่มตื่นจากการนอนหลับต่างหากเล่า เช็ดน้ำตาได้แล้วเด็ก ๆ”
“ข้าไม่ได้ร้อง อาเว่ยต่างหากเล่าที่ร้องไห้”
“ขะ ข้าไม่ได้ร้อง เม็ดเหงื่อไหลออกมาจากตาต่างหาก”
เจียวเชินยิ้มขำและเผลอส่ายหน้าจึงรู้สึกเจ็บที่แผลบนหัวขึ้นมาหญิงสาวก้มลงไปฉีกชายชุดของตนเองขึ้นมากดบาดแผลเพื่อหยุดเลือดไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้
เดี๋ยวได้ตายลงอีกรอบเพราะเลือดไหลหมดตัว
ในขณะที่เจียวเชินกำลังพยายามปฐมพยาบาลตัวเองเท่าที่ทำได้ ปรากฏว่าอยู่ดีดีรถม้าก็หยุดตัวลง เสียงคนกระเดินบนพื้นดังใกล้เข้ามาทำให้คนที่มีสติตื่นอยู่ทั้งสามหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจียวเชินอายุมากที่สุดรีบจัวมือของเด็กน้อยทั้งสองให้หันมาตั้งใจฟังสิ่งที่นางกำลังพูดด้วยท่าทีเร่งรีบ
“เด็กดีทั้งสอง พวกเจ้าไม่อยากให้พี่สาวโดนคนใจร้ายข้างนอกตีหัวใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากให้พี่สาวกลายเป็นผี”
“ข้าก็ด้วย”
“เช่นนั้นตั้งใจฟังพี่ให้ดี พี่จะแกล้งตายกลายเป็นผี หากมีใครถามเรื่องของพี่สาวพวกเจ้าตอบว่าพี่ยังนอนไม่ตื่นนะ หรือให้ตอบไม่รู้ไปก่อน เข้าใจพี่สาวหรือไม่”
“ได้สิเจ้าคะ แต่ว่าทำไมต้องโกหกท่านพ่อเคยบอกว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดีนี่นา”
“ใช่ การโกหกเป็นสิ่งไม่ดีแต่หากไม่อยากให้พี่โดนตีหัวเจ็บ ๆ ต้องโกหกให้พี่ได้หรือไม่”
“ข้าไม่อยากให้พี่สาวเจ็บ ๆ ข้าจะโกหกพวกคนใจร้าย”
“อาเว่ยเล่า”
เจียวเชินหันมาสบตากลมโตของเจ้าก้อนแป้งพูดน้อยจนพูดไม่ทันเพื่อนตนเอง
“ข้าเข้าใจ พี่สาวจะแกล้งตายจะได้ไม่ต้องโดนทำร้าย ข้าเป็นบุรุษย่อมต้องช่วยเหลือสตรี”
เจียวเชินลูบหัวเด็กชายตัวน้อยทว่าฉลาดเกินตัวรู้จุดประสงค์ของนางได้อย่างง่ายดาย
“ดีมาก”
ขณะที่เจียวเชินล้มตัวลงไปนอนบนกองเลือดแห้งกรังของตนเองก็เป็นเวลาเดียวกับประตูห้องโดยสารเปิดออก
“ตื่นได้แล้วไอ้พวกเด็กเหลือขอ ถึงเวลากินข้าว กินน้ำแล้ว”
หนึ่ง