[น้อง]
ฉันเอาของขึ้นไปเก็บในห้องแล้วรีบลงมาเพราะกลัวใครบางคนจะรอนาน ทว่ามาถึงแล้วก็ต้องยืนรออยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นว่าเขากำลังยืนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่หน้าตึก ฉันจำได้ว่าพี่คนนั้นชื่อน้ำหวานเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันกับคุณพยัคฆ์สมัยมอต้น ไม่คิดเลยว่าพอเข้ามหาลัยแล้วจะเจอกันอีก ดูจากที่มาแถวนี้ก็คงเรียนที่เดียวกันกับคุณพยัคฆ์
“เป็นแฟนกันหรือเปล่านะ…” คิดได้ก็พึมพำคนเดียว ดูจากสายตาพี่น้ำหวานคนสวยมองคุณพยัคฆ์แล้วก็น่าจะใช่
“นั่นไงยัก มาแล้ว” เหมือนว่าพี่เขาเหลือบมาเห็นฉันพอดีเลยบอกคนที่ยืนหันหลังอยู่
“มาแล้วก็เดินมาสิ ยืนเอ๋ออยู่นั่นจะได้ไปไหม” เจ้าของเสียงดุหันมาว่าฉัน
ก็เห็นยืนคุยกับสาวอยู่ใครจะกล้าเข้าไปขัดล่ะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขนาดนั้นใครจะกล้าแทรก
“คนนี้… ใช่น้องคนนั้นป่าวยัก” พอฉันเดินเข้าไปเสียงพี่คนสวยก็ดังขึ้น พี่เขามองมาที่ฉันแล้วหันไปถามคุณพยัคฆ์ที่ยืนคั่นกลางเราไว้
“อือ”
“แล้ว… มาเรียนนี่เหรอ คณะอะไรล่ะ” เหมือนเขาจะคุยกันแค่สองคนนะแต่เป็นเรื่องของฉัน
“บริหาร” คนข้างฉันตอบขณะเดินกดโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“หืม? เรียนบริหารเลยเหรอ จบไปทำอะไรอะ หรือว่า… พ่อแม่ยักยกธุรกิจให้ แต่จะว่าไปงานในบริษัทยักก็เยอะอยู่นี่เนอะ คงมีตำแหน่งให้ลงนั่นแหละ”
เฮ้อ! ตั้งแต่สมัยเรียนประถมแล้วนะ พี่เขาชอบพูดอะไรให้ฉันโดนคนใจร้ายดุอยู่บ่อย ๆ เดี๋ยวคุณพยัคฆ์ก็มโนว่าฉันจะไปแย่งธุรกิจเขาหรอก ยิ่งระแวงฉันอยู่ด้วย
“เดินเร็ว ๆ หน่อย ฉันหิวแล้ว” คุณพยัคฆ์ไม่ได้ตอบคำถามของพี่คนสวย แต่หันมาดุฉันที่เดินทิ้งระยะห่างเรื่อย ๆ เพราะรู้สึกเป็นส่วนเกิน
“มานี่ รถเมล์จะมาแล้ว” เสียงดุว่าต่อก่อนจะคว้าข้อมือฉันแล้วพาวิ่งตรงไปยังป้ายรถเมล์ คนแถวนั้นก็วิ่งกรูมาเหมือนกัน ส่วนพี่คนนั้นก็เห็นแวบ ๆ ว่าทำหน้าเอ๋ออยู่ แต่ก็วิ่งตามมา
“ชิดในด้วยพี่! ชิดในด้วย!”
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก!
ทันทีที่เจ้าของมือใหญ่พาฉันเบียดผู้คนมากมายเข้ามาในรถ เสียงกระเป๋ารถเมล์ก็ดังขึ้น พร้อมกันนั้นยังมีเสียงกระบอกใส่เงินดังอยู่ไกล ๆ เราสามคนเดินเข้ามายืนช่วงท้ายรถ คนตัวสูงยืนจับราวด้านบนเอาไว้ ส่วนฉันยืนอยู่ข้างเขาแต่จับพนักเบาะผู้โดยสารคนอื่นไว้แทนเพราะจับราวไม่ถึง ตอนนี้มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนยืนเบียดกันไปหมด นี่ชีวิตในเมืองกรุงฉันกำลังเริ่มขึ้นแล้วสินะ ยังดีที่ตอนไปเรียนฉันเดินไปได้ ไม่ต้องลำบากนั่งรถเมล์แบบนี้
“ทำไมยักไม่นั่งแท็กซี่ไปล่ะ จะไปห้าง S ไม่ใช่หรือไง สายนี้รถเมล์เต็มตลอดยักก็รู้” เสียงพี่คนสวยที่ยืนอยู่อีกข้างของคุณพยัคฆ์ถามขึ้น แต่จะว่าไปแล้วคุณพยัคฆ์ก็มีรถยนต์นี่นา พาฉันมาขึ้นรถเมล์ทำไม?
“ยัยเน่าต้องหัดขึ้นรถเมล์” เขาตอบสั้น ๆ พร้อมกันนั้นความสงสัยของฉันก็กระจ่างแจ้ง มาสอนฉันนั่งรถเมล์นี่เอง “เวลาขึ้นรถเมล์ถ้าเป็นตอนเช้ากับตอนเย็นรถจะแน่นแบบนี้ เธอต้องรีบขึ้นมาแล้วหาที่ยืนให้มั่น หาที่จับให้ดี อย่าไปยืนตรงทางขึ้นลง”
“ค่ะ” พอได้ยินแบบนั้นฉันก็พยักหน้าให้ แต่รถเมล์ที่นึกจะเร่งความเร็วก็เร่ง นึกจะเบรกก็เบรก ทำให้ฉันเสียหลักล้มไปชนกับคนอื่น
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ” ฉันหันไปบอกคุณป้าคนข้าง ๆ ก่อนจะหันกลับมามองคนตัวสูงกว่าเพราะเขาเอาแต่ยืนมองฉัน คงมีแต่พระเอกในนิยายเท่านั้นแหละที่จะรับนางเอกไว้ตอนจะล้มจนเกิดเป็นโมเมนต์หวาน ๆ
“ถ้าเธอยืนไม่ดีจะล้มแบบนี้ ต่อไปกระเป๋าหรืออะไรที่เกะกะเก็บให้เรียบร้อยค่อยขึ้น”
“ค่ะ”
พอฉันพยักหน้าให้อีกครั้งวงแขนแกร่งก็รั้งตัวฉันไปยืนแทรกหน้าเขา ท่อนแขนใหญ่ที่รั้งหน้าท้องฉันไว้แน่นทำให้ฉันเกร็งกว่าตอนรถเบรกอีก ไหนจะแผงอกแข็งที่กลายเป็นผนังให้ฉันยืนพิงก็ทำฉันยืนแข็งทื่อไม่กล้าขยับ เคยกอดพี่พระเพลิงกับพี่พระพายนะ แต่คนนี้ไม่เคยแตะตัวเลย พอเป็นแบบนี้มันก็เกร็งน่ะสิ
“เรื่องแค่นี้เอง ยักน่าจะปล่อยให้น้องเขาเรียนรู้เองนะ ตอนเรามาอยู่แรก ๆ ก็เรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งนั้น ไม่งั้นจะอยู่ได้ยังไง” เสียงนั้นดังเข้ามาในหู ทำฉันแอบถอนหายใจออกมา
“สามคนครับ” คุณพยัคฆ์ไม่ได้คุยอะไรกับพี่น้ำหวาน เขาหันไปบอกกระเป๋ารถเมล์ที่ยืนเขย่ากระบอกใส่เงินอยู่ตรงหน้าพร้อมยื่นค่ารถที่เตรียมไว้ให้
“สามคนยี่สิบสี่บาท” กระเป๋ารถเมล์ทอนเงินให้คนตัวสูงแล้วฉีกตัวให้สามใบก่อนจะเดินไปเก็บเงินคนอื่นต่อ
“BTS XXX ครับ มีลงเดินออกมาเลยครับ เดินหน้าเลยพี่ เดินหน้าเลย!” เสียงกระเป๋ารถเมล์ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อรถเมล์ชะลอ คุณยายสองท่านที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันค่อย ๆ พากันลุกเดินออกไป แน่นอนว่าที่นั่งว่างมีแค่สองแต่พวกเรามีสาม
“ว่างพอดีเลยยัก นั่งสิ” พี่น้ำหวานรีบเข้ามานั่งพร้อมตบเบาะว่างข้างตัวเองให้คนที่ยืนซ้อนหลังฉันอยู่ไปนั่งด้วยกัน แน่นอนว่าคนโดนชวนก็รีบนั่งลง ตอนนี้คนเริ่มบางลงแล้ว ฉันมองหาที่นั่งบ้างแต่ก็ไม่มีว่างเลย
“มานั่งนี่”
ตุบ
“…” เป็นอีกครั้งที่ฉันตัวแข็งทื่อบนตักกว้างของใครบางคน วงแขนที่ตวัดเอวฉันไปนั่งลงตักเขายังคงวางอยู่บนหน้าขาฉันไม่ขยับไปไหน
“ยักทำอะไรน่ะ น้องเน่าเขาเป็นสาวแล้วนะให้นั่งตักได้ไง ไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ สักหน่อย” แต่ประโยคของใครบางที่ดังขึ้นก็ทำให้ฉันหายเกร็งเพราะสนใจสรรพนามล่าสุดที่เขาใช้กับฉัน
“ชื่อนั้นฉันเรียกได้คนเดียว” ท้ายทอยฉันเย็นวาบทันทีที่ใครบางคนพูดขึ้น พอ ๆ กับคนข้างฉันที่หน้าเริ่มถอดสี “เข้าใจหรือเปล่า” คราวนี้เหมือนเจ้าของตักจะหันไปหาคนข้าง ๆ แถมยังทำหน้าไร้อารมณ์ใส่พี่น้ำหวานอีก
“อ่า แหม อะไรเนี่ย แค่นี้ก็หวง”
“ฉันถามว่าเข้าใจหรือเปล่า” คราวนี้เสียงเจ้าของตักเข้มขึ้นจนใจฉันแทบหยุดเต้น
“อ่า หวานเข้าใจแล้ว”
@ห้างสรรพสินค้าXXX
“น้องเขาซื้อของใช้แค่นี้เองไม่เห็นต้องมาถึงห้างเลยยัก แค่แป้งทาตัวกับโลชั่นทาผิวขวดเดียวในร้านสะดวกซื้อก็มี ไม่ก็ซื้อตลาดนัดแถวมอก็ได้ นั่งรถมาตั้งไกล หวานเมื่อยอะ” หลังจากซื้อของใช้ฉันเสร็จพวกเราก็เดินหาร้านข้าวกันต่อ
“กินข้าวแล้วกลับเลยแล้วกัน ไม่เอาอะไรแล้วใช่ไหม” คนที่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถืออยู่เงยหน้ามาถามฉัน
“ไม่ค่ะ ก่อนจะไปหอพ่อกับแม่พาน้องแวะซื้อก่อนแล้ว”
“อาหารจีนดีไหมยัก ร้านนั้นหวานอยากกินนานแล้ว” นิ้วชี้ยาว ๆ ของพี่คนสวยจิ้มเข้าที่ต้นแขนแกร่งของคนตัวสูง แต่ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้ยินหรือไม่ได้สนใจกันแน่ พอละสายตาจากหน้าจอก็ดันไหล่ฉันให้เดินนำหน้าไปอีกทาง
“ไปฟู้ดเลยง่ายดี” เสียงทุ้มว่าขณะเดินตามหลังฉันมาติด ๆ แหงล่ะว่าเราสามคนต้องกินข้าวในศูนย์อาหารกัน แต่ก็ดี เพราะร้านอาหารในห้างใหญ่ใจกลางเมืองหลวงแบบนี้ ราคาคงไม่เป็นมิตรกับนักศึกษาอย่างฉัน ถึงพ่อกับแม่จะให้ค่าขนมไม่น้อยหน้าพี่ ๆ แต่ฉันน่ะ รับปากกับใครบางคนไว้แล้วว่าจะใช้เงินที่ได้มาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
เราสามคนสั่งเมนูเดียวกันนั่นก็คือก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำใส เพราะร้านอื่นคิวยาวเกินไปใครบางคนเลยชวนกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน
“ของคุณพยัคฆ์ค่ะ” ฉันวางก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ที่ปรุงเครื่องแล้วลงตรงหน้าคนที่นั่งเฝ้าของอยู่ “ชามนี้ของน้อง” ชามที่พิเศษลูกชิ้นเป็นของฉัน
“น้องน้องกินเยอะจังเลย” พี่น้ำหวานเดินตามมาเห็นเข้าก็ทักขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างคุณพยัคฆ์
“เปล่าค่ะ น้องสั่งลูกชิ้นมาเผื่อคุณพยัคฆ์” ว่าแล้วก็ดันชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองไปตรงหน้าคนที่กำลังฉีกซองตะเกียบ
“เดี๋ยวนะ ถ้ายักชอบกินลูกชิ้นเยอะ ๆ งั้นทำไมไม่สั่งพิเศษให้ยักเลยล่ะ ทำไมต้องสั่งพิเศษให้น้องแล้วมานั่งคีบลูกชิ้นใส่ชามยัก” พี่เขาแค่นหัวเราะออกมาคล้ายเย้ยหยัน แหงล่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงคิดว่าวิธีของฉันมันโง่ แต่ว่า…
“คุณพยัคฆ์ไม่ได้ชอบกินลูกชิ้นเยอะ ๆ หรอกค่ะ แค่ชอบกินลูกชิ้นของน้อง”
“…”
ฉันตอบพี่เขาแล้วก็นั่งมองคนตรงหน้าคีบลูกชิ้นจากชามฉันไปใส่ชามตัวเองสามสี่ลูกก่อนจะดึงชามกลับมาเมื่อเห็นว่าเขาพอแล้ว หรือบางทีคนใจร้ายนี่อาจจะไม่ชอบกินลูกชิ้นเลยก็ได้ แต่แค่อยากแกล้งฉัน หรืออยากหางานให้ฉันแค่นั้น -_-
__________
>>> อ่านแล้วชอบ ถูกอกถูกใจ อย่าลืมกดไลก์ กดหัวใจ เป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ