บทที่ 4 -- หลบซ่อน

1545 Words
เช้าวันต่อมา เมื่อคืนพะแพงกลับถึงบ้านกว่าจะเข้านอนเกือบตีสาม แบบไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเธอช้าเพราะอะไร อาบน้ำนาน หรือมัวแต่นอนกระสับกระส่ายคิดถึงแต่เรื่องนั้น “แพง!” “...!!!” “ทำเป็นสะดุ้ง ม่อนเรียกแพงหลายรอบแล้วนะ” ตอนนี้เลยต้องมานั่งหลับอยู่ในรถของบาส ที่อุตส่าห์แวะมารับเธอก่อนถึงเวลานัดตั้งหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากกลัวเธอจะผิดนัดอย่างเช่นครั้งก่อนอีก ด้วยความไม่พร้อมแต่เพื่อนขอให้พร้อม สภาพของเธอในตอนนี้จึงไม่ต่างกับคนป่วย “ว่า?” “เปล่าค่า แค่จะให้ดูอะไร แต่มันเลยมาแล้ว ช่างเถอะ” ม่อนทำปากยู่ พะแพงเห็นอย่างนั้นถึงกับส่ายหน้าเบื่อหน่าย เตรียมจะหลับต่อ แต่อีกคนไม่ยอมปล่อย ชวนคุยอยู่นั่น “อดหลับอดนอนมาจากไหน” “ม่อนดูสภาพแพง แพงควรไปนอนโรงบาลนะเอาจริง” เธอปรือตาขึ้นมาตอบเพื่อน แต่คนขำกลับเป็นคนขับที่ฟังอยู่ด้วย เขาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาลั่นรถจนอีกฝ่ายถึงกับมองบน “ทำไมอ่า เกิดอะไรขึ้น” “ค่อยเล่าได้ไหม ขอนอนก่อน” กว่าจะถึงอีกตั้งชั่วโมง อีกทั้งรถติดขนาดนี้ หากเธอได้นอนจริงๆ ตื่นขึ้นมาอีกทีใบหน้าที่ซีดเผือด คงจะมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง แต่อีกคนก็ยังไม่ยอมปล่อยอีกตามเคย “ตอนนี้แหละ กำลังอยู่ในรถ เดี๋ยวไปดูหนัง ก็ไม่ได้คุยกันแล้ว” “ดูหนังปุ๊บ เป็นใบ้เลย?” คนตัวเล็กทำหน้ายียวน “ม่อนเห็นสภาพแพงไหมเนี่ย แต่งหน้าก็ไม่ติด ไม่อายคนอื่นเขาหรือไง” “อย่ามาเยอะ แพงสวย ต่อให้หน้าเป็นศพตอนนี้ก็ยังสวย” “เดี๋ยวเถอะ” ทั้งคู่เถียงกันโดยมีเสียงของคนขับเป็นดนตรีประกอบ พะแพงที่เลือกนั่งเบาะหลังตั้งแต่ต้นหวังนอนระหว่างเดินทางถึงกับหน้าบูดบึ้ง เธอยันตัวลุกขึ้นมานั่ง ไล่ความง่วงอยู่อึดใจจึงจะตัดสินใจเล่า และแน่นอนประโยคนั้นทำคนขับถึงกับเหยียบเบรก “เมื่อคืนมีคนมาขอเลี้ยงแพง” “บาส! ไอ้บ้า ดีไม่มีรถตามหลังมา” “โทษๆ กระผมตกใจ” ม่อนแยกเขี้ยวใส่เขาเสร็จ ทันทีที่ทรงตัวเกือบหัวคะมำกระแทกคอนโทรลขึ้นมาได้ ก็หันไปยังคนข้างหลังต่อ ที่ตอนนี้เหมือนจะหลับไปอีกแล้ว พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาใหม่ ขึงตาใส่เพื่อนสนิท “ไอ้แพง อย่าเพิ่งหลับ อะไรยังไงไหนเล่ามาสิ!” “รำคาญมากบอกเลย...” “รำคาญคนมาขอเลี้ยง?” “รำคาญม่อนนี่แหละ!” พะแพงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ทั้งสองคนฟังอย่างละเอียด พอเล่าเสร็จก็ถึงที่หมายพอดี ความเห็นหลังจากนั้นจึงสะดุดเพราะหาที่จอดรถเจอเร็วราวกับเจ้าที่มายืนโบกให้ “ถึงแล้วครับคุณหญิง” “ไปชั้นโรงหนังเลยเนอะ?” “อ้าว ไม่กินข้าวก่อน?” “โหบาส ขับรถถึงช้ายังมีน่ามาพูด แกดูหนังจะเข้าโรงอยู่แล้วเนี่ย” “ไม่ได้ขับช้าโว้ย ก็รถมันติดคุณหญิงก็เห็น” เสียงเถียงกันของคนทั้งคู่ระหว่างเดินเข้ามาในห้าง ตรงไปยังบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นชั้นสูงสุด ทำพะแพงที่ฟังอยู่ถึงกับกลั้นขำ พลันจังหวะก้าวข้ามพื้นก่อนขึ้นบันไดเลื่อน สายตาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งซึ่งเธอรู้จักดี ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ “บาส ยืมหลังแกหน่อยดิ้” “หะ ได้ๆ” แม้จะงงกับการกระทำของเพื่อน แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรที่พะแพงขอความช่วยเหลือ เขาก็พร้อมที่จะช่วยเสมอ เข้าข่ายวลีที่ว่าซัพพอร์ตไปก่อนค่อยถามทีหลัง ผิดก็ว่าไปตามถูก อะไรเถือกนั้น “มีอะไรเหรอแพง” ม่อนก้าวเร็วขึ้นมาประชิดแผ่นหลังกระซิบถาม หญิงสาวผู้ที่ไม่เคยปิดบังเพื่อนจึงหันหน้ามากระซิบกลับเช่นกัน “เพชร” “ฮะ ไหน” “มันมากับผู้หญิง สงสัยแฟน” “จริงเหรอ?” “แกอย่าให้มันเห็นฉันนะ เดี๋ยวมันมาขอเงิน ฉันไม่มีเงินจะให้มันแล้ว” “เฮ้อ... บ้าบอ” ม่อนเหลือบตามองบน พอๆกับบาสที่พอได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปตามกัน เขารู้สึกเห็นใจเพื่อนจนโกรธอีกฝ่าย แต่เพราะนั่นคือน้องชายจึงไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมา ทั้งที่แต่ก่อนมักได้ยินเป็นเรื่องเล่าจากปากพะแพง หลายครั้งทำได้แค่ออกความเห็น บางทีก็แค่เงียบเลือกที่จะปล่อยผ่าน แต่พอมาเห็นกับตาของตัวเองครั้งนี้ ถึงขั้นคนตัวเล็กกลัวจนต้องหาที่กำบัง มือที่คลายหลวมถึงกับกำหมัดแน่นทันที “แพงจะยอมเขาทุกครั้งไม่ได้นะ” “ใช่แพง ทุกวันนี้แกทำงานหนักมาก ไหนจะส่งตัวเองเรียนอีก ค่าเทอมแกอีก” “อือๆ เข้าใจแล้ว เราไปดูหนังกันเถอะ” พะแพงจงใจตัดบทเพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องเครียด หรือไม่สบายใจอะไรที่เกี่ยวกับเธอ หญิงสาวดุนแผ่นหลังเพื่อนทั้งสอง ไม่นานความตึงเครียดที่มีก็หายไป พลางถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อบาสเดินสะดุดเชือกรองเท้าตัวเองจนหน้าเกือบคะมำ และม่อนก็ตีความหมายนั้นเป็น... “สมน้ำหน้ากรรมตามสนอง เมื่อกี้แกทำพวกฉันหัวทิ่มในรถ” “ไปเรื่อยว่ะม่อน” เธอเองก็ขำ แต่เป็นการขำที่ออกไปทางฝืดสักหน่อย ช่วงสายของอีกวัน วันนี้พะแพงตื่นเช้าเนื่องจากเมื่อคืนได้นอนเต็มที่ หลังจากดูหนังจบเธอก็ไปหาอะไรกินกับเพื่อนต่อ ราวประมาณห้าโมงเย็นถึงจะพากันกลับ พอกลับถึงห้องอาบน้ำเสร็จ เธอก็หลับแบบซ้อมตายไปเลย ตื่นอีกทีคือหกโมงเช้าของวันนี้ และตอนนี้เธอกำลังคุยกับแม่ของตัวเองอยู่ (แพงกินไรหรือยังลูก) “ยังเลยค่ะ แพงกะว่าไปหาแถวที่ทำงาน” (แพงซื้อของมาแช่ตู้เย็นเก็บไว้อย่างที่แม่บอกหรือเปล่า เผื่อเวลาหิวตอนดึกจะได้ลุกมากิน ไม่ต้องทนจนถึงเช้า) “ซื้อค่ะแม่” เธอโกหก แต่การโกหกนั้นถือว่าเป็นคำหลอกลวงที่ขาวสะอาด ไม่มีเจตนาใดแอบแฝง เนื่องจากไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าลูกสาวนั้นทำงานกลางคืนแบบพาร์ทไทม์ หวังหารายได้เพิ่มส่งตัวเองเรียน และซัพพอร์ตน้องชายที่เอาแต่ขอเงินไม่หยุดหย่อน ไม่อยากบอกให้แม่รู้ว่าลำพังเงินที่แม่ส่งมาช่วยได้แค่ค่าเทอมเท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยค่าเดินทางและกินอยู่ ยิ่งมีน้องชายที่ถูกส่งมาเรียนด้วยกันที่นี่ ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงเขาจะเป็นวิทยาลัย ส่วนเธอเป็นมหาลัย แต่สมารถไปมาหาสู่กันได้อยู่ดี แถมยังมีห้าง และสถานที่เที่ยวอยู่ตรงใจกลาง กึ่งกลางระหว่างสถาบันของพวกเขา ก็ยิ่งเจอกันง่ายมากขึ้น (แม่ไม่อยากให้แพงออกไปไหนตอนกลางคืน และก็ไม่อยากให้หนูต้องทนหิวด้วย) “แพงเข้าใจค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงนะ แพงทำอย่างที่แม่บอกหมดเลย” (ดีแล้ว ว่าแต่เจอน้องบ้างไหม ไปอยู่กับลุงไม่รู้ไปสร้างปัญหาอะไรให้เขาหรือเปล่า แม่โทรไปไม่รับเลย แถมไม่ค่อยจะโทรกลับด้วยนะ) มาถึงตรงนี้คนตัวเล็กถึงกับเงียบกริบ ความทรงจำของเมื่อวานผุดขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติ มีภาพเหตุการณ์ตอนไปดูหนังแล้วเจอเขา ภาพเหล่านั้นค่อยๆเข้ามาทีละฉาก ทีละฉาก และไม่รู้มีอะไรผิดพลาดตรงไหนสมองถึงได้เลยเถิดไปไกล นึกถึงเรื่องที่นานกว่าเมื่อวานขึ้นมา ‘ถ้าเสี่ยคิระเขาสนใจแพง แพงจะโอเคไหม’ (แพง!) “ขาแม่” (แม่เรียกตั้งนานแน่ะ นึกว่าสายตัดไปซะละ) “เปล่าค่ะ แพงไม่ได้วาง เมื่อกี้แม่ถามแพงว่าอะไรนะ” (ถามว่าเจอน้องบ้างไหม) “อ๋อ ไม่ค่ะ แต่เดี๋ยวว่างๆแพงจะแวะไปหาให้นะ” (ดีเลย บอกให้น้องโทรหาแม่บ้างนะ อย่าหายเงียบ คนทางนี้เป็นห่วง จะให้โทรหาลุงทุกครั้งก็คงไม่ได้หรอก เกรงใจเขา) “ค่ะแม่ แพงจะบอกน้องให้” (ถ้าอย่างนั้นแม่เลิกละนะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ) “แม่ก็ด้วยนะคะ รักแม่ค่ะ” (รักลูกเช่นกันจ้ะ) พอวางสายเสียงถอนหายใจก็พุ่งพรวดออกมาทันที ถึงกับยกกำปั้นเคาะหัวตัวเอง ทำโทษที่เผลอวอกแวกไปนึกถึงเรื่องที่ไม่ควรนึก “จะต้องสมองกลับด้านขนาดไหนกันนะ ถ้าตอบตกลง..” คนตัวเล็กพึมพำเพียงตัวเองได้ยิน พลันส่ายหน้าติดตลก ลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปหางานเสริมเพิ่ม เพื่อเก็บไว้ทำในช่วงกลางวัน ก่อนไปทำงานร้านอาหารในช่วงเย็น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD