บทที่ 14 เขาจะเอาแพง

1954 Words
(ทราบครับ ก็พี่ตั้งใจจะโทรหาหนูไง) ท่าทางตัวแข็งทื่อขึงตากว้างของคนตัวเล็ก เป็นจุดสังเกตของเพื่อนๆ ที่มองอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ต้น เธอชะงักราวกับมีใครเป็นอะไร จนพวกเขาถึงกับไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา ทว่าความเป็นห่วงกลับเลี่ยงไม่ได้ที่จะขยับปาก คนตัวเล็กจึงส่งสัญญาณมือพลางบุ้ยปากไปทางหลังห้อง เมื่อเห็นว่าเพื่อนเข้าใจจึงหมุนตัวเดินไปนอกระเบียง และไม่ลืมที่จะปิดประตูบานเลื่อนชนิดกระจกกันเสียงเล็ดลอดด้วย “คุณอาคีราเหรอคะ” ทันทีที่มายืนอยู่ตรงระเบียง ทนรับแรงของลมในช่วงดึกโกรกปะทะผมจนปลิวว่อน และมั่นใจไม่มีใครได้ยิน เธอถึงกล้าพูดได้เต็มเสียง (ใช่สิ อย่าลืมเมมเบอร์ไว้ด้วยนะ เบอร์นี้เบอร์ส่วนตัวพี่) พลันเกิดสีหน้าขมุกขมัวก็ตอนปลายสายออกคำสั่ง เธอยอมรับเสียงของเขาหล่อมากเมื่ออยู่ในโทรศัพท์ ทั้งอันที่จริงหน้าของเขาก็หล่ออยู่แล้ว แต่หากใครไม่เคยเห็นตัวตน แค่ได้ยินเสียงก็สามารถเก็บไปจินตนาการ ไปฝันได้เลย หากแต่ไม่ใช่เธอที่มีโอกาสได้เห็นธาตุแท้ไปแล้วเสี้ยวหนึ่ง อาจเป็นเพราะสาวเจ้าต่ำต้อย เป็นเพียงเด็กในร้านอาหารกระมัง ที่เขาพยายามจะซื้อกิน ถึงได้ลงทุนใช้เงินที่สำหรับเขาเป็นเพียงเศษกระดาษฟาดหัวกันง่ายๆแบบนี้ จึงไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากหรือสร้างเทสเหมือนกับตอนยืนอยู่หน้ากล้อง ตอนเข้าสังคมเท่าไหร่นัก ทว่าเพียงแต่เธอไม่ง่ายอย่างที่ใจต้องการ ถึงได้ลงทุนตามล่า คงจะสนุกดี “ทำไมต้องเมมคะ” เสียงในสายเงียบไป ได้ยินเพียงลมหายใจแรงกับเสียงจุดไฟแช็ก ถ้าให้เดาเขาคงกำลังสูบบุหรี่ คนตัวเล็กขมวดคิ้วอีกครั้ง สลับกับลดโทรศัพท์ลงมาดูจอ เมื่อเห็นเวลาวินาทียังคงทำงาน จึงนำไปแนบหูอีกครั้ง “ได้ยินไหมคะ” (ฟังอยู่) “คุณโทรมาหาหนู เพราะคนของคุณไปรายงานใช่ไหมคะ” (อ่า..) “ค่ะ คือหนู..” (หนูมีปัญหากับเงินของพี่?) ถ้าไม่ได้คิดไปเอง หรือเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทะลึ่งดื่มไปเล็กน้อย เธออาจจะเข้าใจว่าเขากำลังหงุดหงิด น้ำเสียงท้ายๆถึงได้แปรเปลี่ยนไปเป็นห้วน ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับแรกเริ่มตอนรับสาย คนตัวเล็กกลั้นหายใจ เธอกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดไปทางไหนดี ที่จะไม่ทำให้เขามีอารมณ์คุกรุ่นมากไปกว่านี้ “ใช่ค่ะ คือสำหรับหนูนะคะ มันมากเกินไปค่ะพี่..” สรรพนามของเธอเปลี่ยน ที่เปลี่ยนเพียงเพราะอยากให้เขาใจอ่อน แบบว่าพูดง่ายเสมือนคนปกติ ที่ไม่ใช้อำนาจอย่างเช่นตอนที่ใช้กับเกียรติเจ้านายของเธอ เพราะในตอนนี้เธอไม่ได้เป็นพนักงานที่นั่นแล้ว (ลาออกทำไม) “คะ?” (ลมตรงระเบียงมันแรงไปหรอ หนูถึงไม่ได้ยิน) ร่างบางตัวแข็งทื่อ คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าที่ก้มงุดอยู่ เงยขึ้นมาอัตโนมัติ เขารู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เธออยู่ตรงระเบียง “คะ คุณรู้ได้ไงคะ” (กลัวพี่เหรอ ไม่ต้องกลัว พี่อยู่ห่างกับหนูหลายไมล์เลย ตอบคำถามพี่มาสิ ลาออกจากที่นั่นทำไม เพราะพี่หรือเปล่า) พะแพงไม่ตอบ คำถามนั้นไม่ต่างกับคำขู่ ที่บอกเป็นนัยยะว่าหากตอบตามจริงว่าเป็นเขา เขาจะหักคอเธอ คนตัวเล็กถึงทำได้แค่ขบริมฝีปากตัวเอง ยืนตัวแข็งทื่อ “เปล่าค่ะ มหาลัยจะเปิดแล้ว หนูแค่...” (อย่าหัดเป็นเด็กเลี้ยงแกะตั้งแต่ตอนนี้สิ พี่ไม่ชอบ) คราวนี้เธอเอียงหน้า เพราะเริ่มจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดอย่างจริงจังขึ้นมาแล้ว คนในสายพูดราวกับว่าหลังจากวางสายไป จะยังไม่ตัดขาดจากเธอ ส่วนเธอยังมีเขาวนเวียนอยู่ในชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่เจตนาของเธอต้องการแค่คืนเงินที่มากเกินให้เขากลับไป และต่างคนต่างอยู่ก็เท่านั้น “หนูพูดเรื่องจริงค่ะ ไม่ได้โกหก..” (อ่า ถ้าอย่างนั้นก็เก็บเงินนั่นไว้สิ จะคืนให้พี่ทำไม เห็นอยู่ว่าหนูต้องใช้ ต้องเสียค่าเทอมไม่ใช่เหรอครับ) “คะ คุณรู้อีกแล้ว...” เสียงของเธอขาดห้วง จังหวะก้มหน้างุดด้วยความกลัว รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาไม่น้อย เมื่อการคุยกับเขาไม่ได้เป็นการคุยแบบปกติ เขาดูมีชั้นเชิง น้ำเสียงของเขานุ่มนวล ราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องเล็กๆ สบายๆและจัดการได้ ทั้งที่อันที่จริงประโยคเล่านั้น กำลังปั่นหัวเธอ เสียงถอนหายใจดังออกมาจากปลายสาย ราวกับเขากำลังขยับตัว คล้ายกับการเปลี่ยนท่านั่ง ไม่ก็ดึงตัวลุกขึ้นมาจากการนอนเอนหลัง (ถ้าหนูอยากคืนมากละก็ ก็ได้นะครับ พี่โอเค แต่มันติดตรงที่คนอย่างพี่ ถ้าให้อะไรใครไปแล้ว ไม่คิดจะเอาคืน ส่วนใหญ่แล้วจะแลกกับอย่างอื่นมากกว่า..) “.......” (หนูจะโอเคไหมล่ะ ถ้าพี่จะขอแลกกับร่างกายของหนู) “..........!!!” เจอประโยคนี้เข้าไปคราวนี้ไม่ได้แข็งทื่อแค่ตัว แต่ใบหน้าของเธอด้วย ที่มันร้อนวูบ ริมฝีปากเป็นตะคริวแข็งจนไม่สามารถขยับ อีกทั้งลำคอแห้งผาด นาทีนี้กลืนอะไรลงไปก็คงเจ็บ และหากจะมีขยับก็คงมีแต่หัวใจเท่านั้น เนื่องจากมันเต้นถี่เร็วและแรงซะจนจะหลุดออกมาข้างนอก (ว่าไง...) “แค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ” สุดท้ายความกลัวนั้นก็ทำให้ต้องหนีมันทันที เธอตัดสายเขาทิ้ง พลันยืนกำโทรศัพท์แน่นอยู่เป็นนานสองนาน แน่นอนเขาไม่โทรกลับมา ทว่าการเป็นแบบนั้น นั่นแหละที่ทำให้คนตัวเล็กยิ่งกังวล ประตูบานเดิมถูกเลื่อนเบาๆ ก่อนคนเลื่อนจะแทรกเข้ามา ม่อนกับบาสที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมทันทีที่เห็นหญิงสาวเดินเข้ามาราวกับคนหมดแรง และทิ้งตัวลงบนฟูกถึงกับเลิกคิ้ว “มีไรเหรอแพง” บาสเป็นคนเปิดประเด็นก่อน และเมื่อเห็นคนถูกถามเอาแต่อ้ำๆอึ้งๆ ม่อนจึงมีส่วมร่วมบ้าง “เออนั่นสิ มีอะไร หน้าแกซีดมากเลยนะ ใครเป็นอะไรหรือเปล่า..” “ถ้าจะมีก็คงเป็นฉันนี่แหละ” “ทำไม?” คนตัวเล็กหมุนตัวเองมานั่งในตำแหน่งพร้อมเล่า ขณะเดียวก็มองหน้าทั้งคู่ราวกับไตร่ตรองไปด้วย และเมื่อคำตอบในหัวคือเธอมีเพื่อนสนิทอยู่แค่สองคน จึงตัดสินใจเริ่มทันที “พวกแกจำคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ไหมวะ ตอนไปดูหนังกันอะ” “อ่า ทำไม?” “เขาคืออาคีรา เบญจรัญ” “เบญจรัญ” บาสหลุบตาต่ำทวนคำ “คุ้นๆเหมือนเคยได้ยิน” “คนรวยอะแก คนรวย คนดัง มหาเศรษฐีอะไรเถือกนั้นน่ะ” พะแพงเสริมให้ เพราะไม่อยากจะอธิบายเยอะ ทว่าม่อนเป็นผู้ไขความกระจ่าง เพราะรายนี้เปรียบเสมือนเจ้าแม่ข่าวกรอง และแน่นอนทำบาสนึกขึ้นได้ตามไปด้วย “ที่ทำอสังหาริมทรัพย์ปะ” “อ่าใช่” “ที่โคตรรวย ของรวย ของรวยอะ” “อ๋อ นึกออกแล้ว” “ถ้าเป็นคนนั้นหล่อมากนะแพง ทำไมวะ... อย่าบอกนะว่า” “อืม แพงรู้สึกว่าเขา...จะเอาแพงให้ได้เลยว่ะ” “หา!!!” ทั้งคู่อุทานพร้อมกัน พลันห้องทั้งห้องถูกปรับเข้าโหมดเครื่องบิน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาต่อ ด้วยความอึ้ง แต่ทั้งยังมึนงงอยู่ว่าระดับเสี่ยคิระ มาวิ่งตามผู้หญิงธรรมดาอย่างเพื่อนของเขาทำไม แต่พอมองไปยังใบหน้าของเจ้าตัว จ้องอยู่เช่นนั้นแบบลึกๆ และตัดความสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ม.ปลาย เป็นคนแปลกหน้าเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก ทั้งคู่ถึงกับเม้มปากแน่น หันมองหน้ากันเองราวกับนัดหมายกันไว้ “ม่อนเข้าใจแล้ว” “หืม?” “แพง แกสวยจังวะ” และนั่นคือเหตุผลทั้งหมด “อะไรอ่ะบาส อยู่ดีๆก็มาชมกัน ใช่เวลาไหม” ร่างสูงส่ายหัว ตายังคงจ้องมองเพื่อนสาวอยู่ “ก็มันใช่เวลาไง ถึงได้พูดออกมา แกรู้ไหมว่าแกสวย สวยมากเลยแหละ” เขาเพิ่งจะเข้าใจคำว่าสวยทุกมุมก็ตอนนี้ ที่ผ่านมาคงจะสนิทและเจอกันอยู่ประจำถึงได้ชินกับสิ่งที่เห็น แต่พอลองลบความรู้สึกนั้น ลองแปลงร่างเป็นคนแปลกหน้า เขาถึงกับเข้าใจเสี่ยคนนั้นเลยทันที “หุ่นเอยอะไรเอย โอ้ย...” ม่อนถึงกับกุมขมับ “พอเลยพวกแก ทั้งคู่เลย อะไรของพวกแกวะเนี่ย ฉันไม่ได้เขินหรอกนะโว้ย ยิ่งกลุ้มมากกว่าเดิม” พะแพงอยากจะร้องไห้ สีหน้าที่ยับยู่ยี่บอกคนทั้งคู่แบบนั้น ถึงได้พากันเงียบชั่วคราว และเข้าสู่หมวดจริงจัง “เมื่อกี้เขาโทรมาเหรอ” “อือ” “โทรมาขอนอนกับแก?” คนถูกถามพยักหน้า “พูดแบบไหน พูดตรงๆเลยเหรอ” “ก็ไม่เชิงหรอก...” คนตัวเล็กยืดตัวอีกครั้ง เตรียมเล่าต่อ “คืองี้นะ ฉันน่ะ หาช่องทางติดต่อที่จะคืนเงินเขา เพราะเขาโอนมาให้มากเกินไป อันที่จริงที่ตกลงกันไว้มันแค่แก้วละห้าหมื่น” นาทีนี้ม่อนกับบาสอ้าปากค้างไปแล้ว “เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ พวกฉันงง แกจะบอกฉันว่าเมื่อคืนคนที่แกไปนั่งดริงก์ด้วยคือเขาอย่างนั้นเหรอ” “อือ” “เฮ้ย” “ก็นั่นแหละ ฉันโกหกแกเพราะคิดว่ามันจะจบแล้ว ซอรี่นะ” “แล้วยังไงต่อ” “ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้เลยพวกแกรู้ปะ เพราะฉันเมามาก รู้ตัวอีกทีนอนอยู่กลางเตียงของโรงแรมหรู อย่า..อย่าคิดไปเอง ฉันนอนอยู่คนเดียว” ม่อนหุบปากทันควันให้กับประโยคทักท้วง จังหวะหล่อนอ้าปากเตรียมจะสวนแทรก “ก็คือ เขาไม่ได้ทำอะไรแก ทั้งที่แกเมา แต่พาแกไปค้างที่โรงแรม” “อ่าห่ะ” “หมอนี่มันเอาจริง..” “ยังไง” ทุกคนหันไปหาบาส ร่างสูงที่เงียบไปนาน แต่นั่งฟังไม่พลาดสักฉาก พลันอยู่ดีๆก็ขัดขึ้น “ก็มันต้องการจะเลี้ยงแพงแบบจริงจังไง เลี้ยงแบบ...เด็กเสี่ยอ่า มันเลยไม่รีบร้อน” “ไม่มีทาง!” “แล้วแพงจะทำไง คนแบบนี้จะแจ้งตำรวจเหรอ ถ้าตำรวจสามารถทำอะไรมันได้ มันคงรู้ไม่ทำตั้งแต่แรกปะ” “ใช่ บาสพูดถูก” “เผลอๆ มันจะเล่นแพงหมดอนาคตเอาด้วย” พะแพงถึงกับหน้าเสีย นาทีนี้ความกังวลที่มีมากถึงขีดสุด ชนิดที่ใครจะพูดแบบไหนหากเป็นไปได้เธอเชื่อหมด นึกถึงภาพที่เขาจูบเธอ และกระชากแขนออกจากโซฟา เพื่อจะพาไปไหนสักที่ยังรู้สึกแย่ไม่หายเลย ถึงมันจะเลือนราง ทว่าก็พอจะจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โชคดีที่เพื่อนเขาเข้ามาทัน และที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอหลับซะก่อน “เดี๋ยว กลับมาเรื่องนี้ก่อน ค้างไว้อยู่ ที่แกบอกว่าติดต่อขอคืนเงินเพราะให้เยอะไป..ทำไมนะ” “เขาไม่เอาคืน ถ้าจะคืนต้องคืนด้วยอย่างอื่น” “อย่างอื่นที่ว่านี่คือ...” “อืม ตัวแพง” “ว้าย แรงมากกก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD